สวัสดีค่ะ นานแล้วที่ไม่ได้ตั้งกระทู้ในนี้ ส่วนใหญ่จะอ่านของท่านอื่นมากกว่า แต่หลังๆมาอยากจะบอกเล่าเรื่องราวของคุณพ่อตัวเองค่ะ
ก่อนหน้านี้เคยเขียนกระทู้ที่พ่อป่วยเป็นโรคไตไว้ แล้วพ่อก็รักษาและแข็งแรงปกติค่ะ
จวบจนปลายปี 2566 ที่ผ่านมาคุณพ่อตกเตียงแล้วไหปลาร้าหัก ระหว่างนั้นมีการเข้าผ่าตัดดามเหล็กในกระดูก ต่อมาคุณพ่อเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด แต่เนื่องด้วยคุณหมอที่โรงพยาบาลต้องการตรวจอย่างละเอียดก็เลยโป๊ะแตกว่าเจอมะเร็งที่ตับด้วยค่ะ เป็นแบบระยะสุดท้าย (พ่อเราไม่กินเหล้า สูบบุหรี่เลยนะคะ ออกกำลังกายตลอด)
วันแรกที่ทราบผลว่าเป็นระยะสุดท้าย พ่อก็เรียกเรา แม่ พี่สาวและหมอมาแจ้งพร้อมกันเลยว่า พ่อขอว่าขอให้ไปอย่างสบายที่สุด ไม่ขอใส่ท่อช่วยหายใจใดๆ ไม่ขอยื้อรั้งใดๆ ไม่ยินยอมให้ปั๊มหัวใจ และพ่อได้เคยทำบริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่ไว้ด้วยค่ะ เราทั้งครอบครัวต่างก็เข้าใจ แต่ก็อดร้องไห้ไม่ได้หรอกค่ะ
เราโชคดีมากที่พ่อเป็นคนรอบคอบเสมอ พ่อทำพินัยกรรม ทำข้อมูลวิธีการต่างๆหากว่าพ่อไม่อยู่แล้วเราต้องดำเนินการอย่างไรต่อ เพราะพ่อชอบพูดเสมอว่า หากพ่อไม่อยู่แล้วก็ไม่อยากให้เป็นภาระกับใครอีก
ช่วงนั้นพ่อนอน รพ.นานมาก นานจนท้อขอร้องหมอว่าอยากกลับบ้านแล้ว ขอกลับบ้านไปรักษาแบบประคับประคองจะดีกว่า ตอนแรกหมอไม่ยอม แต่เรากับแม่ก็ไปไฟล์ทมาให้ได้กลับก่อนวันปีใหม่ พ่อกลับมาบ้านวันที่ 29 ธันวาคม 2566 พ่อสดชื่นมาก สิ่งแรกที่ถามหาคือลูกๆทั้ง 3 ตัว(น้องหมาค่ะ) เค้ารักของเค้ามาก เราเลยพาเด็กๆมาให้พ่อกอด
หลังจากนั้นพวกญาติที่สนิทกันก็ทราบเรื่องทั้งหมด พ่อก็เลยบอกว่า ปีนี้อยากให้จัดกินเลี้ยงปีใหม่ จับฉลากกันที่บ้าน เพราะตั้งแต่เราเกิดมาไม่เคยมีการจัดเลยค่ะ เพราะพ่อเป็นคนไม่ชอบงานสังสรรค์ต่างๆ เราก็เลือกจัดกันคืนที่ 30 ธันวาคม 2566 เป็นคืนที่สนุกมากๆ พ่อนั่งที่รถเข็นมองพวกเราอย่างเอ็นดูและให้พร แล้วพ่อก็พูดว่า "รู้แบบนี้น่าจะให้จัดตั้งนานแล้วเน้อะ"
ผ่านพ้นปีใหม่ไปพ่อก็เริ่มทรุดลงเรื่อยๆค่ะ เราก็ดูแลกันไป พี่สาว เรา แม่ พี่สาวอีกคน อา อาสะใภ้ ลูกพี่ลูกน้องเวียนกันมาช่วยดูแลค่ะ
เราดีใจมากนะคะที่ชีวิตนึงได้เช็ดตัวเช็ดก้น ป้อนข้าวให้พ่อ มันเหมือนตอนเด็กๆที่พ่อทำให้เราเลย แค่สลับกันเฉยๆ
บ้านเราถือว่าโชคดีที่ยังพอมีกำลังทรัพย์ในการซื้อเครื่องมือต่างๆเช่น รถเข็น เตียงสำหรับผู้ป่วย เครื่องให้อ็อคซิเจน แผ่นปูรองต่างๆ และก็พอจะได้จ้างน้องๆพยาบาลมาสลับเปลี่ยนบ้างในบางวัน
ตลอดเวลาเราจะบอกรักกันทุกวันค่ะ ฟ้ารักพ่อนะ น้ำรักพ่อ แม่ก็รักพ่อ พ่อก็จะตอบกลับมาทุกครั้งว่า พ่อก็รักทุกคนเลย
จนกระทั้งวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันครบรอบแต่งงานของพ่อแม่ปีที่ 47 พอดีเลยค่ะ ช่วงเช้าพ่อไม่ทานอะไรเลยค่ะ นอนอย่างเดียว มีแต่บอกว่าอยากให้แม่อยู่ใกล้ๆ พวกเราก็นั่งเฝ้ากัน จนกระทั่งตอน 19:10น. คุณพ่อก็เลือกเวลาออกเดินทางไปอย่างสงบ
ช่วงแรกๆเราทำใจไม่ได้เลยค่ะ เราสนิทกับพ่อมากๆ แต่ก็ยังดีใจที่พ่ออยู่จนถึงเรารับปริญญาโทพอดี ก่อนพ่อจะเข้าโรงพยาบาล ทุกวันนี้ก็ทำใจไม่ได้นะคะ แต่ก็จะพยายามร้องไห้ให้น้อยที่สุด เพราะเรารู้ว่าพ่อจะอยู่ในใจเราเสมอ
เราไม่เสียใจหรือเสียดายเวลาเลยค่ะ เราทำเต็มที่มากๆ ที่ได้ดูแลพ่อ ได้สนิทกับพ่อ ได้คุยเล่นกัน ได้พาพ่อไปในที่ต่างๆ แค่บางทีมันก็อยากกอดเค้าแน่นๆอ่ะเน้อะ เพราะตอนนี้ไลน์ไปหาเค้าก็ไม่ตอบน่ะสิ สงสัยจะยังไม่มีสัญญาณ แต่สักวันเราเชื่อว่าเราจะได้เจอพ่ออีกครั้งค่ะ
นี่เป็นรูปที่ดีที่สุดเลยค่ะ ที่เราทั้งหมดได้ถ่ายพร้อมๆกันในวันเลี้ยงปีใหม่
เมื่อพ่อป่วยต้องฟอกไตมาเป็นสิบปี แต่พอเจอมะเร็งแค่ 2 เดือนพ่อก็ออกเดินทางไปก่อนแล้ว
ก่อนหน้านี้เคยเขียนกระทู้ที่พ่อป่วยเป็นโรคไตไว้ แล้วพ่อก็รักษาและแข็งแรงปกติค่ะ
จวบจนปลายปี 2566 ที่ผ่านมาคุณพ่อตกเตียงแล้วไหปลาร้าหัก ระหว่างนั้นมีการเข้าผ่าตัดดามเหล็กในกระดูก ต่อมาคุณพ่อเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด แต่เนื่องด้วยคุณหมอที่โรงพยาบาลต้องการตรวจอย่างละเอียดก็เลยโป๊ะแตกว่าเจอมะเร็งที่ตับด้วยค่ะ เป็นแบบระยะสุดท้าย (พ่อเราไม่กินเหล้า สูบบุหรี่เลยนะคะ ออกกำลังกายตลอด)
วันแรกที่ทราบผลว่าเป็นระยะสุดท้าย พ่อก็เรียกเรา แม่ พี่สาวและหมอมาแจ้งพร้อมกันเลยว่า พ่อขอว่าขอให้ไปอย่างสบายที่สุด ไม่ขอใส่ท่อช่วยหายใจใดๆ ไม่ขอยื้อรั้งใดๆ ไม่ยินยอมให้ปั๊มหัวใจ และพ่อได้เคยทำบริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่ไว้ด้วยค่ะ เราทั้งครอบครัวต่างก็เข้าใจ แต่ก็อดร้องไห้ไม่ได้หรอกค่ะ
เราโชคดีมากที่พ่อเป็นคนรอบคอบเสมอ พ่อทำพินัยกรรม ทำข้อมูลวิธีการต่างๆหากว่าพ่อไม่อยู่แล้วเราต้องดำเนินการอย่างไรต่อ เพราะพ่อชอบพูดเสมอว่า หากพ่อไม่อยู่แล้วก็ไม่อยากให้เป็นภาระกับใครอีก
ช่วงนั้นพ่อนอน รพ.นานมาก นานจนท้อขอร้องหมอว่าอยากกลับบ้านแล้ว ขอกลับบ้านไปรักษาแบบประคับประคองจะดีกว่า ตอนแรกหมอไม่ยอม แต่เรากับแม่ก็ไปไฟล์ทมาให้ได้กลับก่อนวันปีใหม่ พ่อกลับมาบ้านวันที่ 29 ธันวาคม 2566 พ่อสดชื่นมาก สิ่งแรกที่ถามหาคือลูกๆทั้ง 3 ตัว(น้องหมาค่ะ) เค้ารักของเค้ามาก เราเลยพาเด็กๆมาให้พ่อกอด
หลังจากนั้นพวกญาติที่สนิทกันก็ทราบเรื่องทั้งหมด พ่อก็เลยบอกว่า ปีนี้อยากให้จัดกินเลี้ยงปีใหม่ จับฉลากกันที่บ้าน เพราะตั้งแต่เราเกิดมาไม่เคยมีการจัดเลยค่ะ เพราะพ่อเป็นคนไม่ชอบงานสังสรรค์ต่างๆ เราก็เลือกจัดกันคืนที่ 30 ธันวาคม 2566 เป็นคืนที่สนุกมากๆ พ่อนั่งที่รถเข็นมองพวกเราอย่างเอ็นดูและให้พร แล้วพ่อก็พูดว่า "รู้แบบนี้น่าจะให้จัดตั้งนานแล้วเน้อะ"
ผ่านพ้นปีใหม่ไปพ่อก็เริ่มทรุดลงเรื่อยๆค่ะ เราก็ดูแลกันไป พี่สาว เรา แม่ พี่สาวอีกคน อา อาสะใภ้ ลูกพี่ลูกน้องเวียนกันมาช่วยดูแลค่ะ
เราดีใจมากนะคะที่ชีวิตนึงได้เช็ดตัวเช็ดก้น ป้อนข้าวให้พ่อ มันเหมือนตอนเด็กๆที่พ่อทำให้เราเลย แค่สลับกันเฉยๆ
บ้านเราถือว่าโชคดีที่ยังพอมีกำลังทรัพย์ในการซื้อเครื่องมือต่างๆเช่น รถเข็น เตียงสำหรับผู้ป่วย เครื่องให้อ็อคซิเจน แผ่นปูรองต่างๆ และก็พอจะได้จ้างน้องๆพยาบาลมาสลับเปลี่ยนบ้างในบางวัน
ตลอดเวลาเราจะบอกรักกันทุกวันค่ะ ฟ้ารักพ่อนะ น้ำรักพ่อ แม่ก็รักพ่อ พ่อก็จะตอบกลับมาทุกครั้งว่า พ่อก็รักทุกคนเลย
จนกระทั้งวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันครบรอบแต่งงานของพ่อแม่ปีที่ 47 พอดีเลยค่ะ ช่วงเช้าพ่อไม่ทานอะไรเลยค่ะ นอนอย่างเดียว มีแต่บอกว่าอยากให้แม่อยู่ใกล้ๆ พวกเราก็นั่งเฝ้ากัน จนกระทั่งตอน 19:10น. คุณพ่อก็เลือกเวลาออกเดินทางไปอย่างสงบ
ช่วงแรกๆเราทำใจไม่ได้เลยค่ะ เราสนิทกับพ่อมากๆ แต่ก็ยังดีใจที่พ่ออยู่จนถึงเรารับปริญญาโทพอดี ก่อนพ่อจะเข้าโรงพยาบาล ทุกวันนี้ก็ทำใจไม่ได้นะคะ แต่ก็จะพยายามร้องไห้ให้น้อยที่สุด เพราะเรารู้ว่าพ่อจะอยู่ในใจเราเสมอ
เราไม่เสียใจหรือเสียดายเวลาเลยค่ะ เราทำเต็มที่มากๆ ที่ได้ดูแลพ่อ ได้สนิทกับพ่อ ได้คุยเล่นกัน ได้พาพ่อไปในที่ต่างๆ แค่บางทีมันก็อยากกอดเค้าแน่นๆอ่ะเน้อะ เพราะตอนนี้ไลน์ไปหาเค้าก็ไม่ตอบน่ะสิ สงสัยจะยังไม่มีสัญญาณ แต่สักวันเราเชื่อว่าเราจะได้เจอพ่ออีกครั้งค่ะ
นี่เป็นรูปที่ดีที่สุดเลยค่ะ ที่เราทั้งหมดได้ถ่ายพร้อมๆกันในวันเลี้ยงปีใหม่