สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาระบายเรื่องเกี่ยวกับการไปใช้บริการโรงพยาบาลรัฐชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดที่ไม่ไกลจากกทม.มากนัก เรื่องมีอยู่ว่า ยายเราป่วยค่ะเลยต้องนอนโรงพยาบาล และเผื่อใครยังไม่รู้นะคะ ในฐานะญาติคนไข้และตัวคนไข้เองมีสิทธิที่จะรู้อาการป่วยของคนไข้ร่วมไปถึงแผนการรักษา ดังนั้นเมื่อเราถามบุคคลากรทางการแพทย์มีหน้าที่ต้องตอบ ซึ่งครั้งแรกเราก็ไปถามอาการของยายเรากับพยาบาลก็เจอเหวี่ยงใส่เลยจ้า ไม่รู้ไปหงุดหงิดอะไรมา เราก็เขาไปถามดีๆ รู้ค่ะว่าคนไข้เยอะและการดูแลคนไข้เป็นอะไรที่เหนื่อยมาก เราถึงเดินเข้าไปถามดีๆไง จะเหวี่ยงใส่ฉันเพื่อ พูดเสียงดังใส่ โทษนะยังหูดีอยู่ไม่ต้องตะโกน แล้วคือก็ไม่ได้เซ้าซี้นะ มันน่ารําคาญขนาดนั้นเลยหรอ นี่ก็ประเด็นหนึ่งแหล่ะ อีกประเด็นก็หมอ คือโรคยายเรามันก็ค่อนข้างร้ายแรงแหล่ะ และทั้งตัวยายแล้วก็ครอบครัวก็ทำใจไว้แล้วบ้าง แต่หมอมาบอกยายว่า ต้องยอมรับความจริงนะ รักษาไปมันก็ไม่หาย ให้ตัดสินใจเองตัวของตัวเอง แล้วหันไปคุยกับหมอที่เหมือนจะเป็นผู้ช่วยว่าจะรักษาต่อก็ต้องทำเหมือนเดิมมันไม่หายหรอก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตกลงว่าจะค่อยๆบอกแกเพราะกลัวแกจะทรุดเร็วเพราะเสียกำลังใจ ในมุมของหมอคือการต้องบอกความจริงกับคนไข้เข้าใจค่ะ แต่ลองพูดว่าจะช่วยให้เต็มที่ถึงจะเป็นเรื่องโกหก ก็พอจะพูดให้คนไข้พอได้ใจชื่นขึ้นมาได้ไหมละ ในมุมของคนไข้กับญาติ แม้จะมีความหวังแค่นิดเดี่ยวแต่มันก็เป็นกำลังใจให้สู้ไปได้อีกนิด แต่เขาก็ยังเผื่อใจไว้ เพราะรู้สถานการณ์ของตัวเองดี การตัดกำลังใจกับการพูดให้คนไข้ยอมรับความจริง มันมีเส้นบางๆกั้นอยู่นะ หรือคำว่าหมอจะช่วยอย่างเต็มที่มันมีไว้เฉพาะคนบางประเภทหรอ อีกเคสคนไข้ข้างยายเราเห็นหมอมาก็ยกมือไหว้ ตามประสาคนต่างจังหวัด การรับไหว้สวัสดีตามปกติมันก็ไม่เหนื่อยมากหรอกมั้ง นี่มาพูดกับคนไข้ จะให้ฉันอายุสั้นหรอ จากที่คนไข้ยิ้มอยู่หน้าเสียไปเลย คือก่อนหน้านี้ตอนแม่ป่วยเคยพาไปรักษาที่รพ.รัฐชื่อดังในกทม.ค่ะเขาบริการดีมาก และคำพูดที่หมอพูดกับคนไข้ข้างต้นก็ได้มาจากรพ.นี่แหล่ะ นั้นแหล่ะ เลยพอมาเจอที่นี่เลยช็อคนิดหน่อย ขอบคุณทุกท่านที่รับฟังนะคะ
เมื่อพายายไปรักษาที่รพ.รัฐชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดที่อยู่ไม่ไกลจาก กทม.มาก