สวัสดีค่ะทุกคน
เนื่องด้วยจากเป็นการแชร์ประสบการณ์ครั้งแรกของเรา หากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
เนื่องจากช่วงนี้ทางทุนรัฐบาลอินเดีย หรือทุนสภาวัฒนธรรมอินเดีย ที่เรารู้จักกันในนามว่า Indian Council for Cultural Relations (ICCR) กำลังปเปิดรับสมัครนักศึกษาที่สนใจต้องการมาศึกษาต่อ ณ ประเทศอินเดีย โดยมีตั้งแต่ระดับชั้น ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ซึ่งจะเปิดรับสมัครไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 นี้ สามารเข้าไปดูเงื่อนไขการสมัครและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
https://www.iccr.gov.in
โดยเราจะมาเล่าในส่วนของสถาบันที่เรานั้นกำลังศึกษาอยู่ในปัจจุบัน และเป็นสถาบันในฝันที่อยากเข้ามาศึกษานานแล้ว นั่นก็คือ Indian Institutes of Technology (IIT) อยู่ในวิทยาเขต Dhanbad หรือเรียกกันสั้นว่าๆ IIT Dhanbad และเราก็เป็นนักศึกษาไทยคนแรกคนเดียวที่ได้รับทุนมาศึกษาต่อ ณ สถาบัน IIT ภายใต้ ICCR Scholarship
สถาบันของเรานั้นตั้งอยู่ในรัฐ Jharakhand ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกของประเทศอินเดียติดกับรัฐ West Bengal ซึ่งเป็นรัฐที่คนไทยหลายคนนั้นไมคุ้นชิน จนถึงไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีแน่นอน เพราะไม่ใช่เมืองเอกของประเทศ ไม่ใช่เมืองเศรษฐกิจแต่อย่างใด แต่เป็นเมืองที่มีอุตสาหกรรมเหมืองแร่ เหมืองถ่าน และอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย
เนื่องจากเรานั้นได้มีการสมัครขอทุน ICCR เพื่อศึกษาต่อในระดับชั้นปริญญาเอกของปีการศึกษา 2023-2024 ในสาขา Industrial Engineering Management ซึ่งในตอนนั้นเราเลือกสถาบันที่ต้องการศึกษาต่อเอาไว้ 5 อันดับคือ
1. IIT Dhanbad
2. IIT Delhi
3. IIT Bombay
4. IIT Madras
5. IIT Roorkee
ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากส่งใบสมัครผ่านเว็บไซต์ของ ICCR แล้วระบบจะส่งไปยังสถาบันที่เราเลือกเอาไว้ทั้งหมด และทางสถาบันจะทำการคัดเลือกบุคคลที่ผ่านเกณฑ์เข้าสู่รอบของการสอบสัมภาษณ์แต่ละที่ โดยเฉลี่ยเวลาสัมภาษณ์อยู่ที่ 15-30 นาที โดยเน้นคำถามในเชิงทฤษฎี และเทคนิคต่างๆ ให้ตรงกับงานวิจัย หรือเอกที่เราต้องจะเลือกทำและศึกษาต่อ
ของเรานั้นได้สัมภาษณ์ที่แรกคือ IIT Dhanbad ตามมาด้วย IIT Bombay และ IIT Roorkee ส่วนที่เหลือคือไม่ได้สัมภาษณ์ต่อเนื่องจากเราตกลงเข้าเรียนกับสถาบันที่เราเลือกไปแล้ว จึงเป็นการสละสิทธิ์ไปในทันที ข้อเสียของทุนส่วนใหญ่คือสถาบันมักจะตัดสินไม่พร้อมกัน อย่างของเราคือสถาบันแรกตัดสินใจรับเราหลังจากสัมภาษณ์ไป 1 อาทิตย์ และระบบถูกส่งเข้า ICCR ทันที ทำให้ทางสถานทูตนั้นได้รับจดหมายยืนยันเพียงสถาบันเดียว ประจวบกับใกล้เวลาเปิดเทอมแล้ว ทำให้เราต้องยืนยันเข้าศึกษากับทาง IIT Dhanbad และรีบทำวีซ่าภายใน 3 วัน และบินไปอินเดียทันที ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
จนกระทั้งเรามาถึงอินเดียเราก็ได้รับอีเมลล์ยืนยันรับเข้าศึกษาของสถาบัน IIT Bombay กับ อีเมลล์ขอเอกสารเพิ่มเติมกับเลือกที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการของ IIT Roorkee กับ นัดสัมภาษณ์ของสถาบันที่เหลือ 2 ที่ดังกล่าว ตอนนั้นคือใจแบบร่วง จะเปลี่ยนสถาบันก็ไม่ได้เพราะทางทุนกับสถานทูตไม่อนุญาตให้เปลี่ยน เนื่องจากเอกสาร ใบส่งตัว ทุกอย่างคือเรียบร้อยแล้ว และเราก็มาถึงสถาบันแล้วด้วย
หลังจากที่เรานั้นมาถึงสถาบัน จะมีเจ้าหน้าที่ขับรถมารับที่สถานีรถไฟ และพาไปรายงานตัวที่แผนกดูแลนักศึกษาต่างชาติ พร้อมกับมาส่งที่หอพัก โดยที่นี่จะแยกเป็น International Hostel เป็นหอรวม และแน่นอนว่าขึ้นชื่อว่า เด็กส่วนใหญ่คือวิศวกรรม ในหอจะถูกแบ่งเป็นฝั่งปีกชาย ปีกหญิง โดยมีนักศึกษาหญิงแค่ 4 คน และนักศึกษาชาย 27 คน
อันนี้จะเป็นบรรยากาศในหอพักโดยรวม
บรรยากาศภายในห้องนอนของหอใน เขาจะให้เป็นห้องพักแบบเดี่ยวทุกคน ทางเจ้าหน้าที่เตรียมทั้งผ้าปูใหม่ ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดผม และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น แอร์ เครื่องฮีทเตอร์ กาต้มน้ำร้อน เก้าอี้ และโต๊ะเขียนหนังสือ
ในส่วนของพื้นที่ส่วนรวม และสิ่งอำนวยความสะดวกนอกเหนือจากนี้จะมีทั้ง เครื่องซักผ้า ห้องอาหาร ห้องนั่งเล่นหรือห้องสันทนาการ ห้องครัว และห้องรับแขก
ในส่วนของบรรยากาศรอบสถาบันนั้นจะมีความร่มรื่น บวกกับเป็นเมืองที่ค่อนข้างร้อนชื้น อีกทั้งยังมีฝนเกือบทั้งปี ทางสถาบันจะเน้นให้ใช้รถจักรยานไม่เน้นให้นักศึกษาใช้รถมอเตอร์ไซต์ในสถาบันกัน
ในส่วนของบรรยากาศห้องเรียนในตึกคณะของเรา
ในส่วนของห้องสมุดของสถาบันจะถูกแบ่งออกเป็นห้องสมุดประจำคณะ กับห้องสมุดหลักของสถาบัน ซึ่งห้องสมุดหลักบางส่วนจะประมาณนี้
อย่างที่เราได้กล่าวเอาไว้ข้างต้นว่าสถาบัน IIT นั้นเป็นสถาบันที่เน้นศึกษาในด้าน วิศวกรรมศาตร์เป็นหลักและได้มีการเปิดให้มีสายบริหารธุรกิจ และภาษาศาตร์ (บางแคมปัสเท่านั้น) มาได้ไม่นานนี้ ซึ่ง IIT นั้นจะมีทั้งหมด 23 แห่งในประเทศอินเดีย คนส่วนใหญ่จะรู้จักตัวท็อปกันเป็นอย่างดี เช่น
IIT Bombay IIT Madras IIT Delhi IIT Kanpur IIT Kharagpur IIT Roorkee IIT Guwahati ตามมด้วย IIT Ropar IIT Bhubaneswar IIT Hyderabad IIT Gandhinagar IIT Jodhpur IIT Patna IIT Indore IIT Mandi IIT Varanasi IIT Dhanbad IIT Palakkad IIT Tirupati IIT Bhilai IIT Darwad IIT Goa และ IIT Jammu
การศึกษาของที่นี่ต้องยอมรับว่าหลังจากเข้ามาสัมผัสได้สองเทอมการศึกษานั้น เรียกว่ายากแบบยากมากๆ เนื้อหาการเรียนของเขาจะมีเอกลักษณ์เฉพาะ และเข้มข้นกว่าสถาบันอื่นในอินเดีย เนื่องจากตอนปริญญาโทเราก็ได้ทุนเดียวกันศึกที่อินเดีย ทำให้เรานั้นรู้สึกได้ว่า การเรียนการสอนนั้นมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังเอาไปเทียบกับสถาบันอื่นแล้วยังรู้สึกได้ว่า ถ้าใครสนใจมาศึกษาต่อที่นี่ต้องถึก และเรียนหนักในระดับที่มาก
การสอบแอดมิดชั่นเพื่อเข้าศึกษาต่อของสถาบันกลุ่มนี้ เด็กปริญญาตรีนั้นจะต้องทำการสอบ JEE Exam โดยสถิติส่วนใหญ่คือคะแนนเต็ม 100 เด็กที่ติดจะทำคะแนนได้ที่ 95-99.99 คะแนน และแน่นอนว่าเด็กลงสอบทั้งหมดอยู่ที่ ปีละ 1.5 -2 ล้านคนต่อปี แต่รับเพียงแค่ปีละ 15,000 คนเท่านั้นสำหรับ 23 IITs ในส่วนของปริญญาโทจะรับแค่สาขาละ 40 คน และปริญญาเอก 10-15 คนต่อสาขา
นั่นจึงทำให้สถาบันนี้เป็นอันดับต้นๆ ทั้งยังมีชื่อเสียงมากในประเทศอินเดีย และเป็นที่ยอมรับในทางสากลอีกด้วย จึงไม่แปลกที่ทางครอบครัวคนอินเดียจะนิยมส่งลูกไปเรียนติวหนังสือกันทั้งวันทั้งคืน และรอลุ้นผลสอบกันทุกๆ ปี เพราะเมื่อจบมาแล้วเด็กทุกคนจะได้งานในทันที และเงินเดือนนั้นจะดีมากจนแทบจะเลื่อมล้ำกว่าสถาบันอื่น
แต่กว่าจะจบนั้นการเรียนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ไหนจะการสอบที่เคร่งเครียด ยากจนแบบจะร้อง อ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืน เรียกได้ว่าช่วงสอบ 2-3 อาทิตย์ สถาบันจะเงียบ ไม่มีคนเดินกันเลยทีเดียว ทุกคนจะหมกอยู่ในห้องนอนยันเช้า กับห้องสมุดจนถึงเที่ยงคืน เวลาไปสอบทางสถาบันจะเข้มงวดคือ ห้ามเอาโทรศัพท์ออกจากหอพัก กระเป๋าต่างๆ หนังสือ และโน๊ตเรียนคือห้ามเด็ดขาด ทุกคนจะเอาไปได้แค่ใบเซ็นเข้าห้องสอบ เครื่องคิดเลข และอุปกรณ์ในการสอบเท่านั้น การสอบของสถาบันจะแบ่งเป็น 4 ส่วนคือ สอบ Quiz 2 รอบคือก่อนกลางภาค กับก่อนปลายภาค สอบกลางภาค และสอบปลายภาค
การเรียนการสอนจะใช้สื่อกลางเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น แม้กระทั้งการสื่อสารกับอาจารย์ในชั้นเรียน การตอบคำถาม การนำเสนองานต่างๆ และข้อสอบ เพราะฉะนั้นนักศึกษาต่างชาติจึงไม่มีปัญหาในส่วนนี้อย่างแน่นอน
การเป็นอยู่โดยทั่วไปนั้นโดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบอยู่อินเดียอยู่แล้วทำให้การใช้ชีวิต การกินอยู่นั้นไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด สังคมเพื่อนทั้งต่างชาติ และอินเดียนั้นถือว่าดีมากเลยทีเดียว ทุกคนคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ในเรื่องของอาหารในหอพักนั้นจะแบ่งเป็นแบบบุฟเฟ่ห์ 4 มื้อคือ เช้า กลางวัน ชาช่วงเย็น และ ค่ำ ซึ่งอาหารนั้นจะถูกปรับเปลี่ยนในทุกวันไปซ้ำกัน โดยมีเนื้อสัตว์อาทิตย์ละ 4 วัน และมังสวิรัต 3 วัน และในทุกเดือนจะมี Special dinner 1 วัน โดยมีรายการอาหารเยอะกว่าวันธรรมดา และมีเนื้อแพะให้อีกด้วย
ส่วนตัวนั้นการใช้ชีวิตเป็นคนไทยคนเดียวในสถาบัน และเป็นคนไทยคนแรกของที่นี่ เลยค่อนข้างมีความกดดันในระดับนึง บวกกับกังวลในหลายๆ อย่าง เนื่องจากทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาก็ตั้งความหวังกับเราเอาไว้สูงมาก แต่ท่านก็เป็นที่ซัพพอรต์เราด้วยเช่นกัน ไหนจะเรื่องการปรับตัวด้านวิชาการ การรับภาระงานที่ต้องทำมากกว่าปริญญาโท และตรี การลาพักผ่อนที่ไม่เหมือนเดิม เพราะจะอนุญาตแค่ปีละ 30 วันเท่านั้น การไปสแกนนิ้วมือในทุกวันตามเวลาราชการ ไหนจะต้องเข้าพบที่ปรึกษาตามเวลาที่กำหนด ไหนจะต้องหัดวิเคราะห์งานวิจัยที่ได้รับมอบหมาย เรียกว่าเทอมแรกหลังสอบเสร็จคือร้องไห้ในห้องเลยทันที เพราะความกังวลในเรื่องของการเรียนเป็นหลัก
อาจารย์ที่ปรึกษากับรุ่นพี่แต่ละชั้นปีของเรา
อันนี้ก็จะเป็นการแชร์เรื่องราวโดยรวมทั่วไปของเราในช่วงสอมเทอมที่ผ่านมากับสถาบัน IIT Dhanbad ไว้รอบหน้าเราจะมาแชร์ในเรื่องของการเป็นอยู่ชีวิตในประเทศอินเดียกันบ้าง ตลอดระยะเวลาที่อยู่กับอินเดียมา 5 ปีนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่เรียนปริญญาโทจนถึงปัจจุบันนั้น เราพบเจออะไร มีประสบการณ์อะไรบ้างในต่างเมือง โดยเฉพาะเมืองที่ไม่มีคนไทยอยู่เลยนั้นจะเหงา หรือเป็นยังไงต้องรอติดตามกระทู้หน้านะคะ
แชร์ประสบการณ์ กับบรรยากาศการไปเรียนต่อประเทศอินเดียกับสถาบัน Indian Institutes of Technology (IIT) ผ่านทุน ICCR
เนื่องด้วยจากเป็นการแชร์ประสบการณ์ครั้งแรกของเรา หากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
เนื่องจากช่วงนี้ทางทุนรัฐบาลอินเดีย หรือทุนสภาวัฒนธรรมอินเดีย ที่เรารู้จักกันในนามว่า Indian Council for Cultural Relations (ICCR) กำลังปเปิดรับสมัครนักศึกษาที่สนใจต้องการมาศึกษาต่อ ณ ประเทศอินเดีย โดยมีตั้งแต่ระดับชั้น ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ซึ่งจะเปิดรับสมัครไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 นี้ สามารเข้าไปดูเงื่อนไขการสมัครและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.iccr.gov.in
โดยเราจะมาเล่าในส่วนของสถาบันที่เรานั้นกำลังศึกษาอยู่ในปัจจุบัน และเป็นสถาบันในฝันที่อยากเข้ามาศึกษานานแล้ว นั่นก็คือ Indian Institutes of Technology (IIT) อยู่ในวิทยาเขต Dhanbad หรือเรียกกันสั้นว่าๆ IIT Dhanbad และเราก็เป็นนักศึกษาไทยคนแรกคนเดียวที่ได้รับทุนมาศึกษาต่อ ณ สถาบัน IIT ภายใต้ ICCR Scholarship
สถาบันของเรานั้นตั้งอยู่ในรัฐ Jharakhand ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกของประเทศอินเดียติดกับรัฐ West Bengal ซึ่งเป็นรัฐที่คนไทยหลายคนนั้นไมคุ้นชิน จนถึงไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีแน่นอน เพราะไม่ใช่เมืองเอกของประเทศ ไม่ใช่เมืองเศรษฐกิจแต่อย่างใด แต่เป็นเมืองที่มีอุตสาหกรรมเหมืองแร่ เหมืองถ่าน และอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย
เนื่องจากเรานั้นได้มีการสมัครขอทุน ICCR เพื่อศึกษาต่อในระดับชั้นปริญญาเอกของปีการศึกษา 2023-2024 ในสาขา Industrial Engineering Management ซึ่งในตอนนั้นเราเลือกสถาบันที่ต้องการศึกษาต่อเอาไว้ 5 อันดับคือ
1. IIT Dhanbad
2. IIT Delhi
3. IIT Bombay
4. IIT Madras
5. IIT Roorkee
ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากส่งใบสมัครผ่านเว็บไซต์ของ ICCR แล้วระบบจะส่งไปยังสถาบันที่เราเลือกเอาไว้ทั้งหมด และทางสถาบันจะทำการคัดเลือกบุคคลที่ผ่านเกณฑ์เข้าสู่รอบของการสอบสัมภาษณ์แต่ละที่ โดยเฉลี่ยเวลาสัมภาษณ์อยู่ที่ 15-30 นาที โดยเน้นคำถามในเชิงทฤษฎี และเทคนิคต่างๆ ให้ตรงกับงานวิจัย หรือเอกที่เราต้องจะเลือกทำและศึกษาต่อ
ของเรานั้นได้สัมภาษณ์ที่แรกคือ IIT Dhanbad ตามมาด้วย IIT Bombay และ IIT Roorkee ส่วนที่เหลือคือไม่ได้สัมภาษณ์ต่อเนื่องจากเราตกลงเข้าเรียนกับสถาบันที่เราเลือกไปแล้ว จึงเป็นการสละสิทธิ์ไปในทันที ข้อเสียของทุนส่วนใหญ่คือสถาบันมักจะตัดสินไม่พร้อมกัน อย่างของเราคือสถาบันแรกตัดสินใจรับเราหลังจากสัมภาษณ์ไป 1 อาทิตย์ และระบบถูกส่งเข้า ICCR ทันที ทำให้ทางสถานทูตนั้นได้รับจดหมายยืนยันเพียงสถาบันเดียว ประจวบกับใกล้เวลาเปิดเทอมแล้ว ทำให้เราต้องยืนยันเข้าศึกษากับทาง IIT Dhanbad และรีบทำวีซ่าภายใน 3 วัน และบินไปอินเดียทันที ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
จนกระทั้งเรามาถึงอินเดียเราก็ได้รับอีเมลล์ยืนยันรับเข้าศึกษาของสถาบัน IIT Bombay กับ อีเมลล์ขอเอกสารเพิ่มเติมกับเลือกที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการของ IIT Roorkee กับ นัดสัมภาษณ์ของสถาบันที่เหลือ 2 ที่ดังกล่าว ตอนนั้นคือใจแบบร่วง จะเปลี่ยนสถาบันก็ไม่ได้เพราะทางทุนกับสถานทูตไม่อนุญาตให้เปลี่ยน เนื่องจากเอกสาร ใบส่งตัว ทุกอย่างคือเรียบร้อยแล้ว และเราก็มาถึงสถาบันแล้วด้วย
หลังจากที่เรานั้นมาถึงสถาบัน จะมีเจ้าหน้าที่ขับรถมารับที่สถานีรถไฟ และพาไปรายงานตัวที่แผนกดูแลนักศึกษาต่างชาติ พร้อมกับมาส่งที่หอพัก โดยที่นี่จะแยกเป็น International Hostel เป็นหอรวม และแน่นอนว่าขึ้นชื่อว่า เด็กส่วนใหญ่คือวิศวกรรม ในหอจะถูกแบ่งเป็นฝั่งปีกชาย ปีกหญิง โดยมีนักศึกษาหญิงแค่ 4 คน และนักศึกษาชาย 27 คน
อันนี้จะเป็นบรรยากาศในหอพักโดยรวม
บรรยากาศภายในห้องนอนของหอใน เขาจะให้เป็นห้องพักแบบเดี่ยวทุกคน ทางเจ้าหน้าที่เตรียมทั้งผ้าปูใหม่ ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดผม และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น แอร์ เครื่องฮีทเตอร์ กาต้มน้ำร้อน เก้าอี้ และโต๊ะเขียนหนังสือ
ในส่วนของพื้นที่ส่วนรวม และสิ่งอำนวยความสะดวกนอกเหนือจากนี้จะมีทั้ง เครื่องซักผ้า ห้องอาหาร ห้องนั่งเล่นหรือห้องสันทนาการ ห้องครัว และห้องรับแขก
ในส่วนของบรรยากาศรอบสถาบันนั้นจะมีความร่มรื่น บวกกับเป็นเมืองที่ค่อนข้างร้อนชื้น อีกทั้งยังมีฝนเกือบทั้งปี ทางสถาบันจะเน้นให้ใช้รถจักรยานไม่เน้นให้นักศึกษาใช้รถมอเตอร์ไซต์ในสถาบันกัน
ในส่วนของบรรยากาศห้องเรียนในตึกคณะของเรา
ในส่วนของห้องสมุดของสถาบันจะถูกแบ่งออกเป็นห้องสมุดประจำคณะ กับห้องสมุดหลักของสถาบัน ซึ่งห้องสมุดหลักบางส่วนจะประมาณนี้
อย่างที่เราได้กล่าวเอาไว้ข้างต้นว่าสถาบัน IIT นั้นเป็นสถาบันที่เน้นศึกษาในด้าน วิศวกรรมศาตร์เป็นหลักและได้มีการเปิดให้มีสายบริหารธุรกิจ และภาษาศาตร์ (บางแคมปัสเท่านั้น) มาได้ไม่นานนี้ ซึ่ง IIT นั้นจะมีทั้งหมด 23 แห่งในประเทศอินเดีย คนส่วนใหญ่จะรู้จักตัวท็อปกันเป็นอย่างดี เช่น IIT Bombay IIT Madras IIT Delhi IIT Kanpur IIT Kharagpur IIT Roorkee IIT Guwahati ตามมด้วย IIT Ropar IIT Bhubaneswar IIT Hyderabad IIT Gandhinagar IIT Jodhpur IIT Patna IIT Indore IIT Mandi IIT Varanasi IIT Dhanbad IIT Palakkad IIT Tirupati IIT Bhilai IIT Darwad IIT Goa และ IIT Jammu
การศึกษาของที่นี่ต้องยอมรับว่าหลังจากเข้ามาสัมผัสได้สองเทอมการศึกษานั้น เรียกว่ายากแบบยากมากๆ เนื้อหาการเรียนของเขาจะมีเอกลักษณ์เฉพาะ และเข้มข้นกว่าสถาบันอื่นในอินเดีย เนื่องจากตอนปริญญาโทเราก็ได้ทุนเดียวกันศึกที่อินเดีย ทำให้เรานั้นรู้สึกได้ว่า การเรียนการสอนนั้นมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังเอาไปเทียบกับสถาบันอื่นแล้วยังรู้สึกได้ว่า ถ้าใครสนใจมาศึกษาต่อที่นี่ต้องถึก และเรียนหนักในระดับที่มาก
การสอบแอดมิดชั่นเพื่อเข้าศึกษาต่อของสถาบันกลุ่มนี้ เด็กปริญญาตรีนั้นจะต้องทำการสอบ JEE Exam โดยสถิติส่วนใหญ่คือคะแนนเต็ม 100 เด็กที่ติดจะทำคะแนนได้ที่ 95-99.99 คะแนน และแน่นอนว่าเด็กลงสอบทั้งหมดอยู่ที่ ปีละ 1.5 -2 ล้านคนต่อปี แต่รับเพียงแค่ปีละ 15,000 คนเท่านั้นสำหรับ 23 IITs ในส่วนของปริญญาโทจะรับแค่สาขาละ 40 คน และปริญญาเอก 10-15 คนต่อสาขา
นั่นจึงทำให้สถาบันนี้เป็นอันดับต้นๆ ทั้งยังมีชื่อเสียงมากในประเทศอินเดีย และเป็นที่ยอมรับในทางสากลอีกด้วย จึงไม่แปลกที่ทางครอบครัวคนอินเดียจะนิยมส่งลูกไปเรียนติวหนังสือกันทั้งวันทั้งคืน และรอลุ้นผลสอบกันทุกๆ ปี เพราะเมื่อจบมาแล้วเด็กทุกคนจะได้งานในทันที และเงินเดือนนั้นจะดีมากจนแทบจะเลื่อมล้ำกว่าสถาบันอื่น
แต่กว่าจะจบนั้นการเรียนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ไหนจะการสอบที่เคร่งเครียด ยากจนแบบจะร้อง อ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืน เรียกได้ว่าช่วงสอบ 2-3 อาทิตย์ สถาบันจะเงียบ ไม่มีคนเดินกันเลยทีเดียว ทุกคนจะหมกอยู่ในห้องนอนยันเช้า กับห้องสมุดจนถึงเที่ยงคืน เวลาไปสอบทางสถาบันจะเข้มงวดคือ ห้ามเอาโทรศัพท์ออกจากหอพัก กระเป๋าต่างๆ หนังสือ และโน๊ตเรียนคือห้ามเด็ดขาด ทุกคนจะเอาไปได้แค่ใบเซ็นเข้าห้องสอบ เครื่องคิดเลข และอุปกรณ์ในการสอบเท่านั้น การสอบของสถาบันจะแบ่งเป็น 4 ส่วนคือ สอบ Quiz 2 รอบคือก่อนกลางภาค กับก่อนปลายภาค สอบกลางภาค และสอบปลายภาค
การเรียนการสอนจะใช้สื่อกลางเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น แม้กระทั้งการสื่อสารกับอาจารย์ในชั้นเรียน การตอบคำถาม การนำเสนองานต่างๆ และข้อสอบ เพราะฉะนั้นนักศึกษาต่างชาติจึงไม่มีปัญหาในส่วนนี้อย่างแน่นอน
การเป็นอยู่โดยทั่วไปนั้นโดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบอยู่อินเดียอยู่แล้วทำให้การใช้ชีวิต การกินอยู่นั้นไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด สังคมเพื่อนทั้งต่างชาติ และอินเดียนั้นถือว่าดีมากเลยทีเดียว ทุกคนคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ในเรื่องของอาหารในหอพักนั้นจะแบ่งเป็นแบบบุฟเฟ่ห์ 4 มื้อคือ เช้า กลางวัน ชาช่วงเย็น และ ค่ำ ซึ่งอาหารนั้นจะถูกปรับเปลี่ยนในทุกวันไปซ้ำกัน โดยมีเนื้อสัตว์อาทิตย์ละ 4 วัน และมังสวิรัต 3 วัน และในทุกเดือนจะมี Special dinner 1 วัน โดยมีรายการอาหารเยอะกว่าวันธรรมดา และมีเนื้อแพะให้อีกด้วย
ส่วนตัวนั้นการใช้ชีวิตเป็นคนไทยคนเดียวในสถาบัน และเป็นคนไทยคนแรกของที่นี่ เลยค่อนข้างมีความกดดันในระดับนึง บวกกับกังวลในหลายๆ อย่าง เนื่องจากทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาก็ตั้งความหวังกับเราเอาไว้สูงมาก แต่ท่านก็เป็นที่ซัพพอรต์เราด้วยเช่นกัน ไหนจะเรื่องการปรับตัวด้านวิชาการ การรับภาระงานที่ต้องทำมากกว่าปริญญาโท และตรี การลาพักผ่อนที่ไม่เหมือนเดิม เพราะจะอนุญาตแค่ปีละ 30 วันเท่านั้น การไปสแกนนิ้วมือในทุกวันตามเวลาราชการ ไหนจะต้องเข้าพบที่ปรึกษาตามเวลาที่กำหนด ไหนจะต้องหัดวิเคราะห์งานวิจัยที่ได้รับมอบหมาย เรียกว่าเทอมแรกหลังสอบเสร็จคือร้องไห้ในห้องเลยทันที เพราะความกังวลในเรื่องของการเรียนเป็นหลัก
อาจารย์ที่ปรึกษากับรุ่นพี่แต่ละชั้นปีของเรา
อันนี้ก็จะเป็นการแชร์เรื่องราวโดยรวมทั่วไปของเราในช่วงสอมเทอมที่ผ่านมากับสถาบัน IIT Dhanbad ไว้รอบหน้าเราจะมาแชร์ในเรื่องของการเป็นอยู่ชีวิตในประเทศอินเดียกันบ้าง ตลอดระยะเวลาที่อยู่กับอินเดียมา 5 ปีนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่เรียนปริญญาโทจนถึงปัจจุบันนั้น เราพบเจออะไร มีประสบการณ์อะไรบ้างในต่างเมือง โดยเฉพาะเมืองที่ไม่มีคนไทยอยู่เลยนั้นจะเหงา หรือเป็นยังไงต้องรอติดตามกระทู้หน้านะคะ