ลูกหมาชาเป่ยตามหาเจ้าของ ถูกกำหนดชีวิตให้ต้องอยู่กับลุงซึ่งไม่พร้อมอย่างมากในทุกด้าน ทั้งๆ ที่น้องมีบ้านดีๆ รออยู่

ก่อนหน้านี้ได้โพสต์เรื่องนี้ลงเพจใน FB อยู่บ้างค่ะ เรื่องนี้อัดอั้นตันใจมาก สงสารหมามากๆ น้องยังเล็กต้องอยู่แบบโดนล่าม ไม่ได้ไปหาหมอ กฏหมายบ้านเราก็ล้าหลังไม่เอื้ออำนวย เราหาทางจนมีวิธีให้น้องจะได้ย้ายบ้าน แต่ทุกอย่างจบลงเพียงเพราะการตัดสินใจของคนๆ นึงที่คิดแทนหมา และคนส่วนใหญ่ที่ติดตามเค้าคิดว่าเรื่องเคลียร์แล้วอย่างสวยงาม ซึ่งไม่ใช่เลย เราอยากแชร์เรื่องนี้ เพราะอยากให้ทุกคนรู้ความจริง และยังมีหวังว่าอาจมีใครมีทางช่วยน้องได้ (ถ้าเห็นด้วยกับเรา) ขอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดตั้งแค่ต้นจนถึงตอนนี้นะคะ ยาวนิดนึงค่ะ

ปลายปี 66 มีลูกหมาชาเป่ยอายุ 4-5 เดือน หลงมาประกาศหาเจ้าของ ลุงร้านก๋วยเตี๋ยวแถวนั้นเจอน้องและเป็นบ้านพักชั่วคราวให้ ชาวเน็ตแห่กันคอมเม้นท์ว่าเป็นหมาราคาแพง แต่เลี้ยงยาก ป่วยง่ายหาหมอบ่อย ค่าใช้จ่ายสูงมาก ไม่แน่ใจว่าลุงได้รับสารแค่หมาพันธุ์ราคาแพงหรือเปล่า ลุงเริ่มแสดงออกว่าจะเลี้ยงเอง และไม่พอใจเวลาคุยเรื่องหาเจ้าของหรือหาบ้านใหม่ จะติดประกาศตามเสาไฟก็ไม่ให้ หมาอยู่กับลุงแค่ 2 อาทิตย์ มีปัญหาผิวหนังเห็นชัด ร้านลุงอยู่ติดถนน เลยต้องล่ามน้องไว้แทบตลอดเวลา และอยู่ในอากาศร้อนที่ไม่เหมาะกับชาเป่ยเลย จนต้นโพสต์ที่ช่วยหาเจ้าของลงภาพสภาพน้องหมาที่เริ่มเยิน เพื่อบอกเป็นนัยๆ ว่าหมาเริ่มจะแย่ละ แต่จะไม่ยุ่งกับการหาเจ้าของแล้วเพราะลุงจะเลี้ยงเอง

เราเห็นโพสต์นี้ประมาณปลาย ธ.ค. มีคนส่งมาให้ดูเพราะรู้ว่าเราเคยเลี้ยงชาเป่ย เราเห็นสภาพน้องแล้วเป็นห่วงเลยไปดู ใจคิดว่าจะแค่ไปให้ข้อมูลเพราะจะเลี้ยงพันธุ์นี้มันมีหลายสิ่งที่ต้องรู้ เราเจอลูกสาวกับป้า (ลุงนอนอยู่) เราออกตัวก่อนเลยว่าไม่ได้มาเอาหมา แต่เคยเลี้ยงเลยจะมาคุยด้วย เรานั่งคุยกับลูกสาวลุง เปิดรูปให้ดูว่าโตขึ้นจะไม่ค่อยย่น นิสัยดื้อมาก และจะดุถ้าเลี้ยงไม่ดี สมัยโบราณเลี้ยงไว้กัดกันเพื่อการพนัน หมานี้เหมือนคนที่ผิดปกติทางพันธุกรรม เจ็บป่วยสารพัด  ผิวหนัง หู หนังตาม้วน ต้องผ่าตัด และจู่ๆ จะเป็นโรคไต หรือ มะเร็ง แบบไม่รู้สาเหตุ ค่ารักษาหลักหลายแสน หาหมอครั้งละเป็นหมื่น ถึงตรงนี้ลูกสาวลุงก็พูดออกมาว่า “ถ้าให้พูดแบบจริงๆ เลยนะ เป็นหนูคงไม่ไหว คงต้องปล่อยให้มันตาย” เราเข้าใจว่าเค้าจริงใจ คิดยังไงก็พูดแบบนั้น เราไม่ว่าเค้าเรื่องนี้ แต่มันก็ทำให้รู้ว่า เค้าเลี้ยงหมาพันธุ์นี้ไม่ได้แน่ๆ เพราะค่าใช้จ่ายมันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ แน่นอน แปลว่าหมาอาจจะต้องเจ็บป่วยไม่ได้รักษาจนตาย 

ระหว่างนั้นลุงก็จูงน้องออกมา เรามองไปแว๊บนึงเห็นผิวหนังแดงชัดถลอกหลายจุด และน้องยังเด็กมาก ลุงพาน้องจูงเดินริมถนนไปประมาณ 10 เมตรแล้วจูงกลับมา (เราไม่ได้สนใจหมามาก กลัวเค้าคิดว่าเราจะมาแย่งหมาไป) เราถามว่าหมาได้เจาะเลือดตรวจร่างกายมั้ย ไปหาหมอรึยัง ลุงบอกพาไปหาหมอแล้วไม่หาย เสียไปแล้ว 700 บาท เค้าเลยเอาใบรางจืดตำผสมกำมะถันทาผิวหนังให้ เราเลยบอกลูกสาวลุงเราพาหมาไปหาหมอได้นะ ออกค่าใช้จ่ายให้ได้ หรือถ้าไม่ไว้ใจไปด้วยกันก็ได้ หมาควรตรวจร่างกายอย่างละเอียดกับรักษาผิวหนัง ลูกสาวลุงก็บอกไม่ว่างไปไม่ได้ เราชวนไปคลีนิคใกล้ๆ นี้ก็ได้ เดินไปได้ เค้าก็ยังบอกว่าไม่ว่างไม่ไป เราไม่อยากเซ้าซี้เพราะเพิ่งเจอกันครั้งแรก เลยกะว่าหลังปีใหม่ค่อยมาอีกที ก่อนเรากลับ เราให้เบอร์เรากับลูกสาวลุงไว้ ถ้าต้องการถามอะไรเกี่ยวกับหมา หรือเห็นอะไรผิดปกติ โทรมาได้เลย ลูกสาวลุงก็ให้เบอร์เค้ามาด้วย และบอกว่าที่จริงเค้ากับป้าไม่ได้อยากเลี้ยง แต่ลุงจะเลี้ยงและลุงดื้อมาก เค้าจะหาโอกาสคุยกับลุงให้ เราก็รู้สึกใจชื้นขึ้นนิดหน่อย บอกตามตรงว่าเห็นสถานที่และการเลี้ยงดูของบ้านนี้แล้ว เป็นห่วงหมามากๆ ที่แย่สุดคือไม่พาไปหาหมอ พันธุ์นี้อึดอดทนมาก เป็นอะไรไม่ออกอาการเลย โดยเฉพาะโรคไต กับ มะเร็ง ต้องคอยสังเกตและไปตรวจทันทีถ้ามีอะไรผิดปกติ เพราะถ้าออกอาการหนักเมื่อไหร่ เตรียมใจเลยว่ารักษาไม่ทันแล้วไปเลยอีกไม่นานแน่นอน



กลับบ้านไปนอนไม่หลับ คิดแล้วก็กังวลเพราะถ้าปล่อยไว้รอจนเค้าโทรหาเรา อาจสายไปก็ได้ วันถัดไปเลยโทรหาลูกสาวลุงกะว่าจะลองคุยให้พาหมาไปหาหมอกัน ยังไม่ทันพูดอะไร ลูกสาวลุงบอกขายของอยู่ไม่ว่าง เราไม่อยากกวนเลยบอกไปแค่ว่า ถ้าว่างแล้วโทรกลับทีนะ แต่เค้าก็ไม่โทรมา

เราสืบข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับน้องหมาตอนที่ลุงเจอแรกๆ เลยรู้ว่าน้องมีอาการหอบหืดด้วย ลุงพาไปหาหมอด้วยงบจำกัด (คนเล่าเรื่องไม่ได้บอกว่างบเท่าไหร่ แต่เราเดาว่า 700 บาท เพราะลุงเคยพูดออกมา) และไม่เคยรักษาเรื่องผิวหนัง เพราะงบจำกัดเลยต้องโฟกัสเรื่องหอบหืดก่อน หลังจากนั้น แกก็มาแค่ซื้อยาพ่น แต่ไม่ได้พาหมาไปหาหมอ แล้วบอกว่าจะให้ลูกสาวมาจ่ายเงิน (ไม่แน่ใจว่าจนถึงตอนนี้จ่ายเงินแล้วหรือยัง) ลุงมักจะล่ามน้องหมาไว้ริมถนน (ร้านแกติดถนน) พอน้องเริ่มเป็นผิวหนัง คิดว่าคงมีคนทักเยอะ แกเลยเอาไปซ่อน ผูกน้องไว้หลังประตูรั้วของตึกที่อยู่ข้างๆ แล้วหาอะไรมาปิดไม่ให้คนเห็น คนที่เป็นห่วงลองผ่านไปดู ไม่ว่าเวลาไหน ก็จะเห็นน้องหมาถูกล่ามไว้ตลอด แกขายของถึงดึกๆ ตอน 4-5 ทุ่ม ก็ยังเห็นน้องหมาถูกล่ามไว้อยู่

หลังปีใหม่เราไปอีกครั้ง รอบนี้กะว่าจะเอาหมาไปหาหมอให้ได้ เราไปถึงเจอลูกสาวลุงก็ทักทายกัน เราบอกที่มาวันนี้คืออยากชวนพาหมาไปหาหมอกัน เพราะพันธุ์นี้โอกาสเป็นมะเร็งผิวหนังสูงมาก พาเค้าไปตรวจร่างกายหน่อยดีกว่า ลูกสาวลุงก็พูดเหมือนเดิมว่าไม่ว่าง ต้องทำนั่นนี่หลายอย่างไปไม่ได้เลย เราเลยบอกงั้นเราพาไปได้มั้ย เดี๋ยวเอามาส่ง สัญญาว่าเราไม่ได้จะเอาหมาไปจริงๆ เราแค่อยากให้น้องได้ไปหาหมอเช็คร่างกายอย่างละเอียดแค่นั้น มันไม่เหมือนหมาทั่วไปจริงๆ ลูกสาวลุงก็บอกว่าต้องถามพ่อ เราเลยบอกงั้นขอคุยกับลุงได้มั้ย เค้าก็บอกพ่อนอนหลับ เพราะต้องขายของกลางคืน เราเลยพูดว่า (พูดดีๆ เลย) แล้วแบบนี้ต้องทำยังไงดึ หมาควรไปหาหมอนะ ถ้าไม่สะดวกพาไป เราพาไปใหัก็ได้ หมามีโอกาสได้ไปหาหมอ ทำไมไม่ให้เค้าไป ทำแบบนี้ก็เหมือนไปปิดกั้นโอกาสเค้านะ เราพูดจบแค่นี้ ลูกสาวลุงก็เงียบแล้วพูดเสียงแข็งขึ้นมาเลยว่า “ทำไมพี่พูดแบบนี้ พูดเหมือนหนูเป็นคนใจร้ายใจดำ” เราเลยรีบพูดขอโทษเค้า บอกเราไม่ได้ตั้งใจให้รู้สึกแบบนั้น และไม่ได้ต่อว่า เราแค่อยากพูดให้ลองมองในมุมนี้ดู แต่เค้าไม่ฟัง ดราม่าขึ้น พูดซ้ำๆ ว่าเราต่อไปว่าเค้า แย่มากเลย ทำไมมาว่าเค้าเป็นคนใจร้าย พูดพร้อมเดินเข้าไปในร้านซึ่งป้านั่งอยู่ ป้าก็เลยขึ้นมาบ้างว่า แล้วเรามายุ่งอะไรกับบ้านเค้า หมานี้เค้าจะเลี้ยงเค้าดูแลเองได้ เค้าเลี้ยงหมามาเยอะ เราพยายามบอกว่าหมาพันธุ์นี้ไม่เหมือนหมาทั่วไป มันต้องไปหาหมอบ่อยๆ ปล่อยแบบนี้ไม่ได้ เค้าก็ไม่ฟังอะไรและเริ่มโวยวายต่อว่าเรา จนลุงที่นอนในร้านก็ลุกขึ้นมาสมทบ ทีนี้พ่อแม่ลูกโวยวายใหญ่ ป้าก็ไปฟ้องลูกค้าให้มองเรา แล้วบอกเราไม่ปกติ เรานิ่งๆ ไม่โต้ตอบ เราบอกเค้าขอคำถามเดียว (ถามแบบดีๆ ไม่ได้ขึ้นเสียงหรือมีอารมณ์โกรธเลย) คิดว่าหมามีสิทธิ์ได้ไปหาหมอมั้ย เค้าทำเป็นไม่ฟัง ยังคงโวยวายอะไรต่อไป จนเราถามย้ำๆ แบบจริงจัง ทำไมไม่ให้หมาไปหาหมอ ไม่สงสารมันเลยเหรอ เค้าก็อึ้งไปนิดนึง แล้วเปลี่ยนเป็นโกรธ พูดว่า แล้วเกี่ยวอะไรกับเรา เราบอกอีกว่าหมาพันธุ์นี้ 90% เจอเป็นโรคมะเร็ง หรือ ไต และตาย เค้าก็ยังโวยวายพูดซ้ำๆ แค่ว่า แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณ เราบอกเค้าว่า น้องเป็นหมาหลงมาหาเจ้าของอยู่ ผู้มีจิตอาสาเห็นว่าน้องไม่สบายก็มาช่วยกันดูแล เรายินดีช่วยพาไปหาหมอ อีกอย่างการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้องแบบนี้ ก็จะมีหน่วยงานมาตรวจสอบได้ แต่พวกเค้าก็ยังโวยวายเสียงดังบอกว่า เค้าจะเลี้ยงยังไงมันเรื่องของเค้าและเราเกี่ยวอะไร ถ้ามีปัญหาก็ไปตามมูลนิธิมาเลย เราเลยออกมา

เราพยายามขอความช่วยเหลือไปที่ NGO ที่ต่างๆ แต่ไม่มีใครตอบรับเนื่องจากมองว่าเป็นหมามีเจ้าของ ซึ่งมีแค่หน่วยงานรัฐเท่านั้นที่จัดการได้ เราเลยติดต่อกองสวัสดิภาพสัตว์ ดีใจมากที่กองฯ ตอบรับ เราได้ไปพบคุณหมอของกองฯ เล่าเรื่องและอธิบาย เรารู้ว่าสายพันธุ์นี้ไม่ค่อยมีคนรู้จัก และไม่รู้ถึงปัญหาสุขภาพของมัน เราเลยเอาบทความจากต่างประเทศเกี่ยวกับหมาชาเป่ยให้ดูว่าบอบบางและซีเรียสมากๆ ขนาดไหน ที่อเมริกา กับ อังกฤษ มีมูลนิธิช่วยเหลือหมาชาเป่ยโดยเฉพาะเยอะมาก การเพาะพันธุ์ก็ถูกควบคุมหนักมาก การให้หมาอยู่กับลุงจะเกิดปัญหาขึ้นแน่ๆ เราเข้าใจว่าตามกฏหมายบ้านเรา สภาพของหมาไม่ได้เยินหนักถึงขนาดจะยึดมาได้ แต่เราอยากให้พยายามหาทางแยกหมาออกมา เช่น ไปตรวจการเลี้ยงดู ถ้าหมาป่วยอยู่ ถึงจะเป็นผิวหนังยังไม่ถึงชีวิต ลุงก็ต้องพาหมาไปหาหมอเพราะเกี่ยวกับสวัสดิภาพสัตว์ ไม่งั้นมันจะเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ และลามไปอย่างอื่นได้ หมาไม่ควรถูกล่ามไว้ ต้องปล่อยอิสระให้เค้าได้วิ่ง ไม่งั้นอาจทำให้หมาดุเป็นอันตราย ทางกองฯ เข้าใจในเจตนาและลงตรวจให้ครั้งแรก ได้เจาะเลือดไปตรวจเบื้องต้น (น้องไม่ได้ไปตรวจสุขภาพที่ รพ อย่างละเอียด ซึ่งเราอยากให้ทำแบบนั้นมากกว่า แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ตรวจเลย) มีการตักเตือนแนะนำลุง และเจรจาเพื่อให้ลุงปล่อยหมา แต่ยังไงลุงก็ไม่ยอมปล่อย นิติกรของกองฯ เล่าว่า หมอถามลุงว่าถ้ามีคนมาขอเลี้ยงต่อ ลุงให้มั้ย แกตอบว่า "ไม่ให้ กลัวคนอื่นเลี้ยงไม่ดี" เราได้ยินแล้วก็แอบมองบน ถอนหายใจเบาๆ

หลังตรวจครั้งแรก เราโพสต์ลงเพจต่างๆ ใน Facebook เพื่อตามหาเจ้าของอีกครั้ง เผื่อว่าติดต่อได้จะได้ให้เอาหมาออกมา และสืบเพิ่มได้ว่า เจ้าของน้องน่าจะเป็นชาวจีน ที่มาอยู่แถวนั้นแค่เดือนเดียว ช่วงประมาณเดือน กย-ตค มีคนจีน 2 คน อุ้มลูกหมาชาเป่ยมาฉีดวัคซีน น่าจะตัวเดียวกัน คนจีนพูดไทยหรืออังกฤษไม่ได้เลย ต้องใช้ google แปลคุยกัน คนจีนบอกว่าได้หมามาจากจตุจักร แอบเลี้ยงในอพาร์ทเม้นท์ และเข้าใจว่าเป็นหมาพันธุ์เล็ก เค้าบอกว่าจะย้ายที่อยู่ด้วย แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้มาอีก เราเช็คอพาร์ตเมนต์แถวนั้นหลายๆ ที่ จนเจอที่นึงที่เคยมีคนจีน 4-5 คนเช่าอยู่ในช่วงเวลาใกล้ๆ กับที่ได้ข้อมูลมา เราติดต่อเจ้าของอพาร์ตเมนต์เลยรู้ว่าคนจีนให้เอเจนท์ช่วยทำเรื่องให้ ที่อพาร์ตเมนต์มีข้อมูลหมดทั้งของคนจีนที่เช่า และ เอเจนท์ แต่ให้ข้อมูลไม่ได้ นอกจากจะมีหนังสือราชการมา เราเลยรีบติดต่อไปที่กองสวัสดิภาพสัตว์หวังว่าจะให้ออกหนังสือมาให้เราเอาไปยื่นขอดูข้อมูลได้ แต่นิติกรของกองฯ แจ้งว่าไม่สามารถให้ได้ และถามไปทางตำรวจ ก็ไม่ได้อีก เพราะไม่ได้เป็นเรื่องคดีอาญา เราลองคุยกับเจ้าของอพาร์ตเมนต์อีกครั้งว่าพอจะให้อะไรได้บ้างมั้ยที่ทางเค้าไม่เดือดร้อน จนเจ้าของอพาร์ตเมนต์ไปถามเอเจนท์ให้ว่ามีใครเลี้ยงหมาบ้าง ซึ่งคำตอบก็แน่นอนอยู่แล้วว่า ไม่มี ถึงมีก็ไม่ยอมรับหรอก เพราะเค้าแอบเลี้ยง ความหวังเรื่องหาเจ้าของก็พับไป

หลังจากโพสต์ใน FB ก็มีคนเป็นห่วงน้องหมาสอบถามเข้ามา แนะนำวิธีต่างๆ หนึ่งในนั้นคือให้หาคนสวมรอยเป็นเจ้าของ ซึ่งแอบยากเพราะลุงก็รู้ว่าเจ้าของน้องเป็นคนจีน ก่อนหน้านี้แกพูดเลยว่า ถ้ามีใครมาบอกว่าเป็นเจ้าของ จะตรวจสอบอย่างหนักเพราะน้องเป็นหมาพันธุ์ราคาแพง น่าจะมีมาแอบอ้างเยอะ แต่เราเองก็ไม่ค่อยอยากใช้วิธีนี้เหมือนกัน เพราะถ้าแกจับโป๊ะได้ เราจะกลายเป็นมิจฉาชีพทันที เรื่องขอซื้อต่อก็มีหลายเสียง ที่จริงเป็นสิ่งแรกเลยที่เราคิดว่าจะทำ แต่พอมาเจอคนบ้านนี้แล้ว บอกตามตรงไม่อยากให้เงินเลย เอาเงินนั้นไปรักษาหมาแมวที่เจ็บป่วยไม่มีเจ้าของ หรือซื้อข้าวให้ยังดีกว่า ถ้าลุงเลี้ยงน้องอย่างที่ควรเป็นไม่ได้ ไม่มีกำลังพาไปหาหมอ ถ้ารักหมาจริง ก็ควรสำนึกได้ปล่อยมือเอง น้องก็มีบ้านใหม่ที่พร้อมกว่ารออยู่ หรือถ้าอยากเลี้ยงเองจริงๆ ไม่ไหวก็ต้องไหว ก็ต้องลงทุนรักษาน้องอย่างถูกวิธีเพื่อให้เค้าหายเจ็บป่วย ไม่ใช่เอายาแปลกๆ ราคาที่ตัวเองรับได้ให้น้อง ซึ่งอาจจะส่งผลเสียไปอีก ยิ่งไม่มีที่ให้น้องวิ่ง ปล่อยเป็นอิสระไม่ได้ ยิ่งควรคิดได้แล้วว่าไม่ควรเลี้ยงรึป่าว หมาเด็กพลังงานสูง กลับต้องถูกล่ามตลอด มันน่าสงสารเกินไป ลุงจะอยากได้อยากมีจนไม่สนใจว่าหมาจะมีความสุขหรือไม่ คนแบบนี้สมควรจะได้รับเงินเหรอ แล้วเค้าจะรู้สึกว่าทำแบบนี้ก็หาเงินได้อีกรึเปล่า

** ขอเล่าเรื่องต่อในอีกโพสต์นะคะ และหาก tag ผิดกลุ่ม ขออภัยด้วยค่ะ **
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่