แม่ทำของสะสมมา20ปีหาย ที่แปลกคือหายไปทั้งกล่องไม่ได้หายชิ้นใดชิ้นนึง พอถามก็รู้เลยว่าโกหก บ่ายเบี่ยง ไม่ยอมบอก จะให้ยอมรับเรื่องนี้แบบง่ายๆก็ทำใจไม่ได้ มันคือเวลาและความทรงจำ มีเงินก็หาซื้อไม่ได้
ตัดสินใจอยู่พักนึงว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีไหม? แต่ก็คิดว่าอยากทราบความคิดเห็นของทุกคนเพื่อจะได้ตัดสินใจและเดินหน้าต่อได้
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า แม่เราทำของที่เราสะสมมากว่า 20 ปีหาย ของที่หายเป็นของสะสมวินเทจมูลค่าถ้าตีรวมทุกอย่างที่หายไปก็คงประมาณ 6 หลัก (ด้วยความที่มันมีคละแบบและบางอันหาซื้อไม่ได้แล้ว ถึงซื้อได้ก็ราคาสูงมากๆ) แต่ประเด็นคือมันไม่ใช่แค่เรื่องของเงิน สำหรับเรามันเป็นเรื่องของคุณค่าทางจิตใจ เวลา และความทรงจำ เรารู้สึกเหมือนโดนพราก โดนขโมย ช่วงเวลาเหล่านั้นไป ทำให้รู้สึกเสียใจมาก ทำใจไม่ได้ และยิ่งเสียใจเข้าไปอีกที่คนที่ทำก็คือ แม่ของตัวเอง
เป็นความรู้สึกเสียใจแบบไม่รู้จะจัดการกับมันยังไง ตอนนี้กลายเป็นว่าถ้าได้ยินเพลงหรือเห็นสิ่งของแบบเดียวกันที่คนอื่นมีก็น้ำตาไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว เรารู้สึกว่าเราแตกสลาย ซึ่งคิดว่าที่เป็นแบบนี้เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่ครั้งนี้มันคือของสำคัญสำหรับเราจริงๆ
ลำดับเหตุการณ์
ปี2567 เหตุมันเกิดขึ้นจากเราจะเอาของๆเรามาเก็บที่กทม. (บ้านอยู่ตจว.) เลยให้เขาหาให้ แม่หาอยู่หลายวันไม่เจอ ตอนแรกคิดว่าหายแค่ของ 2-3 อย่างที่ตามหาอยู่ ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา จึงกลับบ้านเพื่อไปหาเอง ปรากฏว่ามันหายไปทั้งกล่องที่เก็บ (กล่องที่เก็บเป็นกล่องพลาสติกที่ใช้เก็บของขนาด 100L) จำนวนกล่องที่หายไปคือทั้งหมด 5 กล่องที่แม่ไม่สามารถตอบเราได้ว่าหายไปไหน ที่แปลกคือหายไปโดยที่บอกว่าไม่รู้ว่ามันหายไปได้ยังไง สอบถามแล้วได้คำตอบที่ไม่ตรงกันสักครั้ง
ที่ไม่ตรงกันสักครั้งเพราะ
1. เขาบอกว่าคงเอาไปบริจาคให้บ้านเด็กกำพร้า แต่เรามีรูปหลักฐานว่าตอนที่บริจาคนั้น มันคือปี 2561 ซึ่งรูปที่แสดงว่ายังมีของอยู่(ถ่ายไว้) อยู่ในปี 2563 เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ตัดไปได้เลย
2. พอเราบอกว่ามันไม่ใช่ตามเหตุผลข้างต้น เขาก็บอกจำไม่ได้ จำไม่ได้ บ่ายเบี่ยงต่างๆนานา แล้วบอกว่ากล่องมันแตก เลยย้ายของไปที่กล่องอื่น
แต่แล้ว…ตอนที่เรากลับไปเพื่อหาของเราคาดหวังว่าจะเจอของอย่างอื่นที่เคยอยู่ในกล่องนั้นบ้าง แต่ไม่เลย ไม่มีเลย นั่นแปลว่ามันหายแบบวาปเลย อารมณ์แบบคุณต้มมาม่าทิ้งไว้บนเตาแก๊ส แทนที่จะหายแค่มาม่า แต่มันดันหายไปทั้งเตาแก๊สแบบนั้นเลย นั้นแปลว่าเหตุผลข้อที่2 ก็ตกไป
3. สุดท้ายหลังจากที่เราหาทุกซอกทุกมุมของบ้านแล้วก็ไม่เจอ เราเลยตัดสินใจคุยกับแม่ตอนกินข้าว ถามเขาไปตรงๆว่า สรุปแล้วของๆเรามันไปไหนกันแน่ มันแปลกที่หายไปแบบนี้ แล้วยิงคำถามไปว่า “แม่เอาไปให้ใคร” ได้คำตอบว่าเอาไปให้เพื่อน แล้วเขาก็อ้างเหตุการณ์ที่เคยโทรมาบอกเราแล้วว่าจะเอาให้เพื่อนคนนั้น ซึ่งเราจำได้ว่าเราบอกไปอย่างหนักแน่นแล้วว่า “ไม่ให้ ของมันแพง“ (ซึ่งตอนที่โทรมาขอ มาขออุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียน ไม่ได้มาขอของสะสมแต่ทำไมของสะสมหาย)
ช่วงเวลาที่หายก็คือช่วงปี 2563-2565 เพราะปี 2566 เรากลับบ้านมาแล้วพบว่ากล่องมันหายไปแล้วเขาบอกว่าอยู่ในห้องเก็บของ เราเลยจะรื้อเพื่อหา แต่ด้วยช่วงเวลาที่อยู่น้อยเลยทำให้ไม่ได้รื้อ
คำถามที่เราสงสัยคือ
• ของมันหายไปได้ยังไง มันแปลกที่ของจะหายยกกล่องไปแบบนี้ การที่ให้ของเพื่อนคือ ไม่คิดจะแยกของหน่อยเหรอ? คือคิดจะให้อะไรใครก็ยกให้เขาไปทั้งกล่องเลยแบบที่ไม่สนใจว่าในนั้นจะมีของส่วนตัวอะไรบ้าง? (ของส่วนตัวหนึ่งในนั้นที่หาย มีรูปอัลบัมงานศพ,เฟรนชิพสมัยประถม,ไดอารี่ของเรา ซึ่ง…มันเป็นของที่ควรให้คนอื่นเหรอ?) และในเหตุผลนี้เราคิดว่าเขาโกหก
• เราอยากได้ความจริงมาว่าของมันหายไปได้ไง
เอาไปให้ใครที่ไหน เวลาใด เพราะตลอดเวลาที่เราอยู่บ้านเขาเอาแต่หลบหน้าหลบตา บ่ายเบี่ยง และตอบว่าไม่รู้ จำไม่ได้ท่าเดียว ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าเขาโกหก ทั้งเราก็โกรธและเสียใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้เรารู้สึกว่าครอบครัวของเราไม่ใช่ safe zone อีกต่อไป เพราะทุกครั้งที่กลับบ้านไปของเราจะหายทุกครั้ง หายจนไม่เหลืออะไรแล้ว หายจนรู้สึกว่าไม่ใช้บ้านเราอีกต่อไป สิ่งที่ทำให้กลับไปตอนนี้ก็เพราะยาย อยากให้ยายได้ใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ด้วยกับเราดีที่สุด แต่ด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้ทำให้เราต้องใช้ความอดทน อดกลั้นสูงมาก ในการที่จะไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา(กลัวไปกระทบยาย) ทำให้เรายิ่งรู้สึกแตกหักอยู่ในใจตัวเอง ตอนนี้กลับกทม.แล้วแต่ก็ยังทำใจไม่ได้ และคิดว่าเขาควรได้รับบทเรียนอะไรบ้าง ไม่ใช่ว่าเป็นพ่อแม่จะมาละเมิดสิทธิ์ของลูกได้ตลอดเวลา เราควรแจ้งความไหม? เพราะถ้าเราเค้นเองก็คงไม่ได้รับคำตอบที่จริง เราควรจัดการเรื่องนี้ต่อยังไงให้เหมาะสมที่สุด และเราควรจัดการกับความรู้สึกของตัวเองยังไง และมีทางออกไหนไหมที่ดีกว่า “การทำใจ”
ปล.เราคิดว่าคงจะมีดราม่าประเภทลูกอกตัญญูเห็นสิ่งของดีกว่าพ่อแม่ เขาเลี้ยงเรามาบลาๆๆๆ ซึ่งเราคิดว่ามันคนละประเด็นกัน เราก็เป็นลูกที่ทำหน้าที่ของลูกได้ดี การทำให้เสียความรู้สึกแล้วพอเกิดเรื่องก็จะอ้างเรื่องความกตัญญู มันตลก การทำตัวเป็น Toxic parents จนเคยชินคิดว่าเป็นเรื่องปกติแบบนี้เราคิดว่ามันแย่ มันควรจบที่รุ่นเรา ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปละ ไม่ใช่คนเป็นพ่อเป็นแม่จะมาละเมิดสิทธิ์ของลูกเมื่อไหร่ก็ได้ ละทำอย่างกะว่าเป็นเรื่องปกติ
แม่ทำของสะสมมา20ปีหาย ที่แปลกคือหายไปทั้งกล่องไม่ได้หายชิ้นใดชิ้นนึง พอถามก็รู้เลยว่าโกหก
ตัดสินใจอยู่พักนึงว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีไหม? แต่ก็คิดว่าอยากทราบความคิดเห็นของทุกคนเพื่อจะได้ตัดสินใจและเดินหน้าต่อได้
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า แม่เราทำของที่เราสะสมมากว่า 20 ปีหาย ของที่หายเป็นของสะสมวินเทจมูลค่าถ้าตีรวมทุกอย่างที่หายไปก็คงประมาณ 6 หลัก (ด้วยความที่มันมีคละแบบและบางอันหาซื้อไม่ได้แล้ว ถึงซื้อได้ก็ราคาสูงมากๆ) แต่ประเด็นคือมันไม่ใช่แค่เรื่องของเงิน สำหรับเรามันเป็นเรื่องของคุณค่าทางจิตใจ เวลา และความทรงจำ เรารู้สึกเหมือนโดนพราก โดนขโมย ช่วงเวลาเหล่านั้นไป ทำให้รู้สึกเสียใจมาก ทำใจไม่ได้ และยิ่งเสียใจเข้าไปอีกที่คนที่ทำก็คือ แม่ของตัวเอง
เป็นความรู้สึกเสียใจแบบไม่รู้จะจัดการกับมันยังไง ตอนนี้กลายเป็นว่าถ้าได้ยินเพลงหรือเห็นสิ่งของแบบเดียวกันที่คนอื่นมีก็น้ำตาไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว เรารู้สึกว่าเราแตกสลาย ซึ่งคิดว่าที่เป็นแบบนี้เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่ครั้งนี้มันคือของสำคัญสำหรับเราจริงๆ
ลำดับเหตุการณ์
ปี2567 เหตุมันเกิดขึ้นจากเราจะเอาของๆเรามาเก็บที่กทม. (บ้านอยู่ตจว.) เลยให้เขาหาให้ แม่หาอยู่หลายวันไม่เจอ ตอนแรกคิดว่าหายแค่ของ 2-3 อย่างที่ตามหาอยู่ ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา จึงกลับบ้านเพื่อไปหาเอง ปรากฏว่ามันหายไปทั้งกล่องที่เก็บ (กล่องที่เก็บเป็นกล่องพลาสติกที่ใช้เก็บของขนาด 100L) จำนวนกล่องที่หายไปคือทั้งหมด 5 กล่องที่แม่ไม่สามารถตอบเราได้ว่าหายไปไหน ที่แปลกคือหายไปโดยที่บอกว่าไม่รู้ว่ามันหายไปได้ยังไง สอบถามแล้วได้คำตอบที่ไม่ตรงกันสักครั้ง
ที่ไม่ตรงกันสักครั้งเพราะ
1. เขาบอกว่าคงเอาไปบริจาคให้บ้านเด็กกำพร้า แต่เรามีรูปหลักฐานว่าตอนที่บริจาคนั้น มันคือปี 2561 ซึ่งรูปที่แสดงว่ายังมีของอยู่(ถ่ายไว้) อยู่ในปี 2563 เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ตัดไปได้เลย
2. พอเราบอกว่ามันไม่ใช่ตามเหตุผลข้างต้น เขาก็บอกจำไม่ได้ จำไม่ได้ บ่ายเบี่ยงต่างๆนานา แล้วบอกว่ากล่องมันแตก เลยย้ายของไปที่กล่องอื่น
แต่แล้ว…ตอนที่เรากลับไปเพื่อหาของเราคาดหวังว่าจะเจอของอย่างอื่นที่เคยอยู่ในกล่องนั้นบ้าง แต่ไม่เลย ไม่มีเลย นั่นแปลว่ามันหายแบบวาปเลย อารมณ์แบบคุณต้มมาม่าทิ้งไว้บนเตาแก๊ส แทนที่จะหายแค่มาม่า แต่มันดันหายไปทั้งเตาแก๊สแบบนั้นเลย นั้นแปลว่าเหตุผลข้อที่2 ก็ตกไป
3. สุดท้ายหลังจากที่เราหาทุกซอกทุกมุมของบ้านแล้วก็ไม่เจอ เราเลยตัดสินใจคุยกับแม่ตอนกินข้าว ถามเขาไปตรงๆว่า สรุปแล้วของๆเรามันไปไหนกันแน่ มันแปลกที่หายไปแบบนี้ แล้วยิงคำถามไปว่า “แม่เอาไปให้ใคร” ได้คำตอบว่าเอาไปให้เพื่อน แล้วเขาก็อ้างเหตุการณ์ที่เคยโทรมาบอกเราแล้วว่าจะเอาให้เพื่อนคนนั้น ซึ่งเราจำได้ว่าเราบอกไปอย่างหนักแน่นแล้วว่า “ไม่ให้ ของมันแพง“ (ซึ่งตอนที่โทรมาขอ มาขออุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียน ไม่ได้มาขอของสะสมแต่ทำไมของสะสมหาย)
ช่วงเวลาที่หายก็คือช่วงปี 2563-2565 เพราะปี 2566 เรากลับบ้านมาแล้วพบว่ากล่องมันหายไปแล้วเขาบอกว่าอยู่ในห้องเก็บของ เราเลยจะรื้อเพื่อหา แต่ด้วยช่วงเวลาที่อยู่น้อยเลยทำให้ไม่ได้รื้อ
คำถามที่เราสงสัยคือ
• ของมันหายไปได้ยังไง มันแปลกที่ของจะหายยกกล่องไปแบบนี้ การที่ให้ของเพื่อนคือ ไม่คิดจะแยกของหน่อยเหรอ? คือคิดจะให้อะไรใครก็ยกให้เขาไปทั้งกล่องเลยแบบที่ไม่สนใจว่าในนั้นจะมีของส่วนตัวอะไรบ้าง? (ของส่วนตัวหนึ่งในนั้นที่หาย มีรูปอัลบัมงานศพ,เฟรนชิพสมัยประถม,ไดอารี่ของเรา ซึ่ง…มันเป็นของที่ควรให้คนอื่นเหรอ?) และในเหตุผลนี้เราคิดว่าเขาโกหก
• เราอยากได้ความจริงมาว่าของมันหายไปได้ไง
เอาไปให้ใครที่ไหน เวลาใด เพราะตลอดเวลาที่เราอยู่บ้านเขาเอาแต่หลบหน้าหลบตา บ่ายเบี่ยง และตอบว่าไม่รู้ จำไม่ได้ท่าเดียว ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าเขาโกหก ทั้งเราก็โกรธและเสียใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้เรารู้สึกว่าครอบครัวของเราไม่ใช่ safe zone อีกต่อไป เพราะทุกครั้งที่กลับบ้านไปของเราจะหายทุกครั้ง หายจนไม่เหลืออะไรแล้ว หายจนรู้สึกว่าไม่ใช้บ้านเราอีกต่อไป สิ่งที่ทำให้กลับไปตอนนี้ก็เพราะยาย อยากให้ยายได้ใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ด้วยกับเราดีที่สุด แต่ด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้ทำให้เราต้องใช้ความอดทน อดกลั้นสูงมาก ในการที่จะไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา(กลัวไปกระทบยาย) ทำให้เรายิ่งรู้สึกแตกหักอยู่ในใจตัวเอง ตอนนี้กลับกทม.แล้วแต่ก็ยังทำใจไม่ได้ และคิดว่าเขาควรได้รับบทเรียนอะไรบ้าง ไม่ใช่ว่าเป็นพ่อแม่จะมาละเมิดสิทธิ์ของลูกได้ตลอดเวลา เราควรแจ้งความไหม? เพราะถ้าเราเค้นเองก็คงไม่ได้รับคำตอบที่จริง เราควรจัดการเรื่องนี้ต่อยังไงให้เหมาะสมที่สุด และเราควรจัดการกับความรู้สึกของตัวเองยังไง และมีทางออกไหนไหมที่ดีกว่า “การทำใจ”
ปล.เราคิดว่าคงจะมีดราม่าประเภทลูกอกตัญญูเห็นสิ่งของดีกว่าพ่อแม่ เขาเลี้ยงเรามาบลาๆๆๆ ซึ่งเราคิดว่ามันคนละประเด็นกัน เราก็เป็นลูกที่ทำหน้าที่ของลูกได้ดี การทำให้เสียความรู้สึกแล้วพอเกิดเรื่องก็จะอ้างเรื่องความกตัญญู มันตลก การทำตัวเป็น Toxic parents จนเคยชินคิดว่าเป็นเรื่องปกติแบบนี้เราคิดว่ามันแย่ มันควรจบที่รุ่นเรา ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปละ ไม่ใช่คนเป็นพ่อเป็นแม่จะมาละเมิดสิทธิ์ของลูกเมื่อไหร่ก็ได้ ละทำอย่างกะว่าเป็นเรื่องปกติ