JJNY : เมียนมาปะทะเดือด!│‘วิโรจน์’เห็นด้วย‘สุทิน’ชงแก้พ.ร.บ.กลาโหม│รถทัวร์อ่วม แบกต้นทุนหนัก│ฝรั่งเศสจ่อบังคับติดป้าย

ชายแดนไทย-เมียนมาปะทะเดือด! ผู้บาดเจ็บทะลักเข้าเขตไทย
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/222107

 
ชายแดนไทย-เมียนมา จ.ตาก ปะทะเดือดมีเสียงปืนใหญ่ดังก้องแต่เช้า ผู้บาดเจ็บทั้งทหารและพลเรือนทะลักเข้ามารักษาในไทย ต้องระดมทีมแพทย์พยาบาลรับมือภาวะฉุกเฉิน
 
กล้องวงจรปิดบันทึกภาพเหตุการณ์สู้รบระหว่างกองกำลังของทหารเมียนมาและฝ่ายต่อต้าน ประกอบด้วยทหารสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู) กองพลน้อยที่ 6 และเคเอ็นยูพีซี รวมทั้งกองกำลัง (พีดีเอฟ) กองกำลังปกป้องประชาชนของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (เอ็นยูจี)  ที่บริเวณบ้านเหย่ปู่ จ.เมียวดี ซึ่งเป็นชายแดนไทย-เมียนมา อยู่ตรงข้ามบ้านวังตะเคียนใต้ ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อเช้าวันที่ 21 เม.ย.67
โดยระหว่างที่มีการยิงปะทะกัน มีประชาชนจำนวนหนึ่ง หมอบอยู่ที่เกาะกลางถนน ก่อนที่จะมีคนช่วยส่งสัญญาณให้กลุ่มนี้วิ่งเข้ามาหลบยังจุดที่ปลอดภัย ซึ่งบริเวณนี้มีการสู้รบกันหนักที่สุด ทั้งการใช้โดรนทิ้งระเบิดของฝ่ายต่อต้านทหารเมียนมา และฝ่ายเมียนมาใช้เครื่องบินรบและเฮลิคอปเตอร์ปฏิบัติการทางอากาศ
 
นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังมีการปะทะกันอย่างหนัก ทำให้ทหารเมียนมากองพัน 275 (ค่ายผาซอง) เสียชีวิตจำนวน 50 นาย และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก 
 
ขณะที่ชาวเมียนมาที่อาศัยใกล้พื้นที่การสู้รบ ต่างหนีภัยสงคราม ทะลักเข้ามาเขตไทยหลายจุดตามท่าขนส่งทางธรรมชาติ แต่บางจุด ผู้ประกอบการไม่ยอมให้คนหนีตายข้ามมาที่ท่าขนส่งตัวเองแล้วไล่กลับไป ซึ่งทางพันเอกณัฐกร เรือนติ๊บ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจราชมนู อ.แม่สอด ได้สั่งการให้ทหาร ฝ่ายปกครองดูแลผู้หนีภัยจากการสู้รบตลอดเหตุการณ์
 
เมื่อช่วงกลางดึกคืนวันที่ 22 เม.ย.67 มีชาวเมียนมาจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บข้ามมาเขตไทยเพื่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยช่วยนำส่งโรงพยาบาลแม่สอด ทำให้โรงพยาบาลแม่สอด ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินระดมกำลังแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือชาวเมียนมาที่ได้รับบาดเจ็บมาจำนวนมาก
ซึ่งทางโรงพยาบาลไม่สามารถแยกแยะผู้ได้รับบาดเจ็บได้ว่าเป็นฝ่ายต่อต้าน ฝ่ายทหารเมียนมา หรือฝ่ายประชาชน ทั้งหมดถือว่าเป็นผู้ป่วยโรงพยาบาลและจะได้รับดูแลตามหลักมนุษยธรรม สำหรับยอดผู้หนีภัยสงครามขณะนี้มีมากกว่า 1,000 คน โดยอาศัยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยตามที่ทางฝ่ายความมั่นคงไทยได้จัดเอาไว้ให้
 
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์สู้รบดังกล่าว ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 19 เม.ย.67 จนถึงขณะนี้ ทำให้มีผู้หลบหนีภัยสงครามข้ามมาชายแดนไทยกว่า 1,000 คน และมีรายงานอีกว่า พบกระสุนจากการต่อสู้ข้ามแดนมายังประเทศไทยอีกเป็นจำนวนหนึ่ง
 
ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยฝ่ายความมั่นคงของไทยได้เฝ้าระวังสถานการณ์บริเวณชายแดนอย่างเข้มงวด รวมทั้งดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มที่ และทางกระทรวงฯ ได้มีหนังสือถึงสถานเอกอัครราชทูตเมียนมา ประจำประเทศไทย เพื่อขอให้ฝ่ายเมียนมาใช้ความระมัดระวังและความยับยั้งชั่งใจ และไม่ให้มีการล่วงละเมิดอธิปไตยและน่านฟ้าของไทย รวมถึงส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนบริเวณชายแดน
 
ด้านผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง นายนิกรเดชถึงแนวโน้มสถานการณ์ความรุนแรงในเมียนมาว่าจะดีขึ้นใช่หรือไม่ หลังรัฐบาลทหารเมียนมาปล่อยตัว นางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ และ อูวิน มายิน อดีตประธานาธิบดีเมียนมา ไปกักตัวบ้านพักส่วนตัว
 
ซึ่งนายนิกรเดช เปิดเผยว่า ทั้งสองเหตุการณ์ต้องประเมินแบบแยกออกจากกัน เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเมียวดีก่อนหน้านั้น ขณะนี้มีการเจรจาภายในฝ่ายเมียนมาอยู่ ส่วนการปล่อยตัวนางอองซาน ซูจี เป็นเรื่องที่รัฐบาลเมียนมา มีแนวทางการลดโทษ การย้ายมากักบริเวณ ก็อยู่ในบริบทการลดโทษ ทางกระทรวงการต่างประเทศจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
 
นายนิกรเดช เปิดเผยอีกว่า ส่วนตัวหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ต่าง ๆ จะกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และไทยพร้อมที่จะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อนำความสงบสุขกลับคืนสู่พื้นที่ชายแดนไทย ซึ่งในสัปดาห์หน้า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีแผนจะเดินทางไป อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา และพบปะให้กำลังใจประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทย - เมียนมา



‘วิโรจน์’เห็นด้วย‘สุทิน’ชงแก้พ.ร.บ.กลาโหม
https://www.dailynews.co.th/news/3362078/

ปรับสภากลาโหม-กำหนดคุณสมบัติแต่งตั้งนายพล แนะต้องแก้ให้ถึงแก่น ยืนยันหลักการกองทัพอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน หากแก้แบบผิวๆ จะเสียโอกาส ด้าน ‘ธนเดช’ หนุนตัดทิ้งซูเปอร์บอร์ด

เมื่อวันที่ 21 เม.ย. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร กล่าวถึงกรณีการประชุมสภากลาโหมเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ในฐานะประธานสภากลาโหม ได้มีข้อเสนอให้สภากลาโหมเห็นชอบร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม และร่าง พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ว่าเห็นด้วยกับการแก้ไข พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับ เพียงแต่มีจุดที่ขอเสนอแนะเพิ่มเติมให้แก่ รมว.กลาโหม
 
นายวิโรจน์ กล่าวว่า การแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม จะต้องแก้ไขให้ตรงจุด โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการทำให้กองทัพยุติการเป็นรัฐซ้อนรัฐและต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน สภากลาโหมควรมีกรอบอำนาจหน้าที่ในการให้คำแนะนำแก่ รมว.กลาโหมเท่านั้น สิทธิในการทักท้วงควรจะมีเฉพาะในประเด็นสำคัญเท่านั้น ไม่ควรมีอำนาจครอบงำการตัดสินใจของรัฐมนตรี ดังนั้นจำนวนสมาชิกในสภากลาโหม นอกจากจะปรับลดลงแล้ว ยังควรเพิ่มสัดส่วนของพลเรือนในสภากลาโหมให้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้การแต่งตั้งนายทหารระดับนายพล สมควรที่จะมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและมีความโปร่งใส
 
นายวิโรจน์ กล่าวว่า สำหรับ พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร หัวใจสำคัญคือการให้บทบาทกับศาลยุติธรรมให้มากขึ้น ศาลทหารควรถูกใช้ในภาวะสงครามเท่านั้น และโครงสร้างของศาลทหาร จะต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างมีประสิทธิภาพ ระหว่างผู้พิพากษา อัยการ และทนายความ เพราะหากศาลทหารถูกตั้งข้อสงสัยจากนายทหารว่าไม่มีความเป็นธรรม หรือสามารถวิ่งเต้นใช้อำนาจระดับบังคับบัญชาแทรกแซงได้ ก็เสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเกิดความรุนแรงและระบบศาลเตี้ยในแวดวงทหาร เหมือนกรณีที่เคยเกิดขึ้นที่จ.นครราชสีมา  ทั้งนี้การแก้ไขกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ จะต้องแก้ไขให้ถึงแก่น ถ้าแก้ไขแบบผิวๆ จะเป็นการเสียโอกาสอย่างมาก
 
ด้านร.ท.ธนเดช เพ็งสุข สส.กทม. เขต 13 พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ฉบับพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ขอชื่นชมและสนับสนุนการเดินหน้าแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ตนหวังอยากเห็นความกล้าหาญและความจริงใจของ รมว.กลาโหม ในการเดินหน้าปฏิรูปกองทัพ หรือจะเรียกว่าพัฒนาร่วมกันตามคำของนายกฯ ก็ตาม  ทั้งนี้ในร่างของพรรคก้าวไกล เราเสนอแก้ไขมาตรา 25 เช่นกัน ให้การพิจารณาแต่งตั้งนายพลดำเนินการด้วยระบบคุณธรรม คัดเลือกผู้มีคุณสมบัติตามมาตรฐานของตำแหน่งต่างๆ โดยกำหนดให้คณะกรรมการที่ส่วนราชการตั้งขึ้นพิจารณาในขั้นตอนแรก แล้วส่งต่อให้ รมว.กลาโหมพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของกระทรวง ตัดสิ่งที่เรียกว่า “ซูเปอร์บอร์ด” ในกฎหมายเดิม ซึ่งถูกตั้งขึ้นเพื่อลดบทบาทของ รมว.กลาโหม ให้เป็นเหมือนตรายางรับรองเท่านั้น
 
ประเด็นนี้สำคัญตรงที่ว่าหากคุณสุทินไม่ตัดทิ้งซูเปอร์บอร์ดเพื่อดึงอำนาจกลับมาที่ รมว.กลาโหม อาจแปลได้ว่าสุดท้ายความมุ่งหวังที่อยากเห็นกองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนผ่านความพยายามแก้ไขกฎหมาย ก็อาจเลือนราง” ร.ท.ธนเดชกล่าว



เบรกดีเซลพุ่ง 36 บาท รถทัวร์อ่วม แบกต้นทุนหนัก
https://www.innnews.co.th/video/general-news-clips/news_706332/

“ดีเซล” ขึ้นราคาอีก 50 สต.ต่อลิตร แตะ 30.94 บาทเป็นที่เรียบร้อย โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ กบน. ให้เหตุผลในการปรับขึ้นครั้งนี้ ว่า เนื่องจากมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 1 บาทของกระทรวงการคลังได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา รวมถึงสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ติดลบกว่า 1 แสนล้านบาท จึงต้องมีการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซล และในอนาคตอาจจำเป็นต้องทยอยปรับขึ้นราคาเป็นแบบขั้นบันได เนื่องจากสถานะกองทุนน้ำมันฯ มีหนี้คงค้างค่อนข้างสูง อีกทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่เริ่มประทุขึ้นอีกครั้ง อาจส่งผลทำให้ราคาน้ำมันทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น
 
นอจกากนี้ กระทรวงพลังงาน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 4.77 บาทต่อลิตร หรือคิดเป็นเงินประมาณกว่า 8,000 ล้านบาทต่อเดือน หากไม่มีการชดเชย ราคาน้ำมันดีเซลที่แท้จริงจะอยู่ที่ประมาณ 36 บาทต่อลิตร และหากปล่อยให้มีการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลในระดับเดิมต่อไปเรื่อยๆ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ ติดหนี้เพิ่มมากขึ้น อาจจะกระทบกับวินัยการเงินและระดับความน่าเชื่อถือของกองทุนน้ำมันฯ ได้
 
ทั้งนี้ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.คุยกับ “ดร.วสุเชษฐ์ โสภณเสถียร” นายกสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย หรือ รถเช่าเหมา ถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลที่พุ่งทะลุ 30 บาทต่อลิตร ว่า วันนี้ต้นทุนค่าน้ำมันของผู้ประกอบการสูงมาก และการที่ราคาน้ำมันดีเซลไม่นิ่ง ย่อมกระทบต่อการวางแผนของธุรกิจ ดังนั้น จึงอยากให้ภาครัฐมีความชัดเจนว่า จะขึ้นราคาน้ำมันดีเซลเมื่อไหร่ หรือระยะเวลาของการตรึงราคาน้ำมันดังกล่าว จะตรึงนานแค่ไหนย่างไร เพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้คำนวณต้นทุนค่าใช้จ่าย
 
ต้นทุนมันสูงมากอยู่แล้ว ตอนนี้ในเรื่องของ รถทัวร์นำเที่ยว ค่าน้ำมันก็จะตกอยู่ที่ประมาณ 60 ถึง 70% ของต้นทุนและการรับงานมันเป็นการรับงานล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัวร์ต่างชาติที่จะเข้ามา จะขายกันเป็นซีรี่ย์เข้ามาเลย อย่างตอนนี้ที่บุ๊คกิ้งอาทิตย์หน้า ถึงจะจองเข้ามาที่จะกำหนดราคาให้เขา มันจองข้ามเดือนข้ามปีกันมาแล้ว เพราะฉะนั้นพอต้นทุนขึ้นมาโดยที่ไม่มีความชัดเจนว่าจะขึ้นไหมขึ้น ขึ้นเท่าไหร่ เราปรับราคาไม่ได้ อย่างวันนี้เราขายที่ราคาน้ำมัน 30 บาท เราก็แบกรับ 50 สตางค์ต่อลิตรอยู่แล้ว และถ้าขึ้นมาอีก 1 บาทหรือ 2 บาทและไม่มีเวลาที่แน่นอนว่าขึ้นเมื่อไหร่ อะไรยังไงมันก็กำหนดค่อนข้างยาก และผู้ประกอบการก็ต้องมานั่งอุ้มแบกรับภาระ เพราะการที่จะไปขึ้นราคาทัวร์กับลูกค้าที่ไปขายต่างประเทศเข้ามา มันก็ทำไม่ได้เพราะว่าเขาซื้อมาแล้วเหมามาแล้ว เพราะฉะนั้นการปรับราคาน้ำมันมีผลกระทบโดยตรงเลย
 
นอกจากนี้ “ดร.วสุเชษฐ์” ยังได้กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจรถเช่าเหมาด้วยว่า เริ่มดีขึ้นโดยได้รับอานิสงค์จากภาคนักท่องเที่ยวที่ในวันนี้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่