ที่มาของกระทู้นี้ อ่านกระทู้เรื่องศีลข้างล่างครับ เกิดอยากรู้เรื่องราวเพิ่มเติมขึ้นมาเลยตัดแปะไว้อ้างอิงก่อน
รู้เรื่องบ่วงมาร ในการเรียนพระอภิธัมมัตถสังคหะ ตอน ปฏิจจสมุปบาท
รู้เรื่องสัมมัปปทาน 4 ความเพียรชอบ ในการเรียน ฯ หลายครั้ง
เมื่อมีสติ ก็จะรักษากาย วาจา ใจ ให้ปกติได้
แต่ปัญหาคือ ส่วนมากจะขาดสติ ก็เลยครบวงจรปฏิจจสมุปปบาท
ถ้ามีสติ ก็จะได้พิจารณาว่า มีรูปารมณ์ กระทบกับจักขุปสาท เกิดจักขุวิญญาน แล้วทำไม บางครั้งเกิดโทสะ บางครั้งเกิดโลภะ เพราะมีโมหะประกอบ
ก็มาคิดพิจารณาว่าทำไมถึงเกิดได้ทำไม่เป็นแบบเห็นใบไม้ต้นไม้ถนนทางเดินทั่วๆไปซึ่งไม่มีอะไรเกิดในใจ อ๋อ เพราะความมีตัวตน มีมานะเท่ากัน ด้อยกว่า ดีกว่า ก็ด้วย และสิ่งที่สะสมหนุนเนื่องมาตั้งแต่วันแรกในกาลก่อน
ในใจคิดอย่างนี้ ก็ระวังกาย ระวังวาจา ต่อไปด้วยความตั้งใจรักษาศีล
เมื่อเกิดโทสะ เมื่อเกิดโลภะ ด้วยการมีโมหะขาประจำ ก็ถือว่า เป็นการฝึก
ส่วนเมื่อใดขาดสติ บ่อยๆ ความมันก็บังเกิดครับ ต่อมาภายหลังคิดขึ้นได้ว่าผิดไปแล้วเพราะมีตัวตนมากเกินไปขาดสติกำกับ แต่ยังดีมีศีล 5 และกลัวการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่นอย่างมาก
พระพุทธเจ้าท่านพูดถูก ไม่ได้สิ่งที่พอใจก็ทุกข์ ได้สิ่งที่ไม่อยากได้ก็ทุกข์ การเกิดก็เป็นทุกข์ แก่ก็เป็นทุกข์ ตอนนี้กำลังดูชราอยู่ก็เห็นว่าทุกข์ อย่างที่พระพุทธเจ้าว่าไว้ครับ
เมื่อวิปากวัฏฏ ปรากฏให้เห็น ก็นึกถึงกิเลสวัฏฏ กรรมวัฏฏ โดยอนุมาน และพระอาจารย์/อาจารย์ก็สอนให้พิจารณาว่าวิปากที่ได้รับพึงยินดีรับเพราะได้กระทำไว้ดีแล้วสำเร็จไปแล้วเมื่อกาลก่อนๆ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทำความดี ผลที่ได้เป็นความสุข ทำความชั่ว ผลที่ได้เป็นความทุกข์
กระผมเชื่อพระพุทธเจ้า ก็รักษาศีลด้วย ฟังพระสอนดีสอนถูกต้องด้วย ฟังกัลยาณมิตรที่เป็นสัมมาทิฏฐิเท่านั้น น่าจะไปได้สวยในสังสารวัฏฏนี้ต่อไป
การเรียนพระอภิธัมมัตถสังคหะ เป็นแค่การเรียนเบื้องต้นเป็นพื้นฐานของคนที่นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น
ยังมีเรื่องที่ต้องฝึกอีกเยอะแยะมากมายต่อไป
ขี้เกียจคิดก็รักษาศีลไปก่อนครับ (อันนี้ผมคิดเองครับ)
อัปปัสสุตสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้มีสุตะน้อย- อรรถกถา - สีลสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้มีศีล
ที่มาของกระทู้นี้ อ่านกระทู้เรื่องศีลข้างล่างครับ เกิดอยากรู้เรื่องราวเพิ่มเติมขึ้นมาเลยตัดแปะไว้อ้างอิงก่อน
รู้เรื่องบ่วงมาร ในการเรียนพระอภิธัมมัตถสังคหะ ตอน ปฏิจจสมุปบาท
รู้เรื่องสัมมัปปทาน 4 ความเพียรชอบ ในการเรียน ฯ หลายครั้ง
เมื่อมีสติ ก็จะรักษากาย วาจา ใจ ให้ปกติได้
แต่ปัญหาคือ ส่วนมากจะขาดสติ ก็เลยครบวงจรปฏิจจสมุปปบาท
ถ้ามีสติ ก็จะได้พิจารณาว่า มีรูปารมณ์ กระทบกับจักขุปสาท เกิดจักขุวิญญาน แล้วทำไม บางครั้งเกิดโทสะ บางครั้งเกิดโลภะ เพราะมีโมหะประกอบ
ก็มาคิดพิจารณาว่าทำไมถึงเกิดได้ทำไม่เป็นแบบเห็นใบไม้ต้นไม้ถนนทางเดินทั่วๆไปซึ่งไม่มีอะไรเกิดในใจ อ๋อ เพราะความมีตัวตน มีมานะเท่ากัน ด้อยกว่า ดีกว่า ก็ด้วย และสิ่งที่สะสมหนุนเนื่องมาตั้งแต่วันแรกในกาลก่อน
ในใจคิดอย่างนี้ ก็ระวังกาย ระวังวาจา ต่อไปด้วยความตั้งใจรักษาศีล
เมื่อเกิดโทสะ เมื่อเกิดโลภะ ด้วยการมีโมหะขาประจำ ก็ถือว่า เป็นการฝึก
ส่วนเมื่อใดขาดสติ บ่อยๆ ความมันก็บังเกิดครับ ต่อมาภายหลังคิดขึ้นได้ว่าผิดไปแล้วเพราะมีตัวตนมากเกินไปขาดสติกำกับ แต่ยังดีมีศีล 5 และกลัวการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่นอย่างมาก
พระพุทธเจ้าท่านพูดถูก ไม่ได้สิ่งที่พอใจก็ทุกข์ ได้สิ่งที่ไม่อยากได้ก็ทุกข์ การเกิดก็เป็นทุกข์ แก่ก็เป็นทุกข์ ตอนนี้กำลังดูชราอยู่ก็เห็นว่าทุกข์ อย่างที่พระพุทธเจ้าว่าไว้ครับ
เมื่อวิปากวัฏฏ ปรากฏให้เห็น ก็นึกถึงกิเลสวัฏฏ กรรมวัฏฏ โดยอนุมาน และพระอาจารย์/อาจารย์ก็สอนให้พิจารณาว่าวิปากที่ได้รับพึงยินดีรับเพราะได้กระทำไว้ดีแล้วสำเร็จไปแล้วเมื่อกาลก่อนๆ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทำความดี ผลที่ได้เป็นความสุข ทำความชั่ว ผลที่ได้เป็นความทุกข์
กระผมเชื่อพระพุทธเจ้า ก็รักษาศีลด้วย ฟังพระสอนดีสอนถูกต้องด้วย ฟังกัลยาณมิตรที่เป็นสัมมาทิฏฐิเท่านั้น น่าจะไปได้สวยในสังสารวัฏฏนี้ต่อไป
การเรียนพระอภิธัมมัตถสังคหะ เป็นแค่การเรียนเบื้องต้นเป็นพื้นฐานของคนที่นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น
ยังมีเรื่องที่ต้องฝึกอีกเยอะแยะมากมายต่อไป
ขี้เกียจคิดก็รักษาศีลไปก่อนครับ (อันนี้ผมคิดเองครับ)