บันทึกลับคนขับแกร๊บ : บทสนทนา

กระทู้สนทนา
.         ในคู่มือคนขับมีอยู่หัวข้อหนึ่งที่อธิบายไว้ว่า อย่าชวนผู้โดยสารคุยเวลานั่งในรถ เหตุผลเพราะว่าเราไม่รู้เลยว่าลูกค้าอยู่ในอารมณ์ไหน บางบทสนทนาอาจจะเป็นการคุกคามลูกค้าโดยที่เราไม่รู้ตัว บางคำพูดเราอาจคิดว่าตลกแต่คนฟังไม่เข้าใจก็อาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้ โดยส่วนใหญ่แล้วผมจึงเลือกที่จะเงียบไว้ตลอดการโดยสาร มีเพียงแค่การกล่าวทักทายและย้ำจุดหมายปลายทางกับลูกค้าเท่านั้น
 
          เหตุผลจริง ๆ ที่ผมเลือกที่จะเงียบนั้นเป็นเพราะว่า ผมไม่ค่อยอยากจะไปรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของลูกค้ามาก็นัก ยิ่งผมเป็นคนที่อ่อนไหวกับเรื่องราวที่บางครั้งสะเทือนใจด้วย คนเราพอเจอเรื่องหดหู่ใจบางครั้งก็อยากระบายให้ใครสักคนฟัง ถ้าผมฟังเรื่องแบบนั้นวันละสิบหรือยี่สิบเรื่องผมคงจะจิตตก แต่ในบางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ เช่น มีอยู่ครั้งหนึ่งผมไปรับแม่ลูกจากที่พักแห่งหนึ่งใกล้โรงพยาบาลเอกชน ทั้งคู่ขึ้นรถมาผมก็ดูปลายทางเป็นสี่แยกแยกหนึ่งติดคลองชลประทาน สถานที่ตรงนั้นผมคุ้นเคยดีว่าเป็นรั้วมหาวิทยาลัยไม่มีบ้านคนหรือร้านค้าอะไร ผมจึงย้ำจุดหมายกับลูกค้าให้ชัดเจนเผื่อลูกค้าจะปักหมุดผิด ผมจะได้ไปส่งให้ถูกต้อง
 
          ผู้โดยสารหญิงก็ยืนยันว่าจุดหมายถูกต้องแล้ว เพราะตอนนี้พ่อของเด็กขับรถบรรทุกสิบล้อไปรอตรงนั้น พอถึงจุดนี้เมื่อบทสนทนาของเราเริ่มต้นมากกว่าการทักทาย แม่ของเด็กก็อธิบายต่อว่าทั้งคู่มาจากอำเภอฝาง มารักษาที่โรงพยาบาลเอกชนเพราะลูกมีไข้จนติดเชื้อจนอยู่ต่อที่โรงพยาบาลประจำอำเภอไม่ไหว ต้องยอมจ่ายค่ารักษาราคาแพง เธอบอกว่ารอบนี้เสียค่านอนค่ารักษาไปประมาณเจ็ดหมื่นกว่าบาท ผมก็ถามกลับไปว่าทำไม่ไม่ใช้สิทธิ์รักษาที่โรงพยายาลที่มีสิทธิ์ จะได้ไม่เสียเงิน เธอบอกว่าที่โรงพยาบาลประจำอำเภอนั้นไม่ได้ใหญ่โตอะไร พอไปเจอพยาบาลวัดไข้แล้วก็ให้ยาพาราฯ กลับบ้านมากิน อาการก็ดีขึ้นแต่เดี๋ยวก็เป็นอีก เข้าออกโรงพยาบาลก็ได้แต่ยาพาราฯ ไม่ได้มีการเจาะเลือดตรวจให้แน่ชัดว่าเป็นอะไร จนพ่อเด็กต้องยอมตัดสินใจพาเด็กมาโรงพยาบาลเอกชน
 
          ผมฟังแล้วก็รู้สึกสะเทือนใจ เมื่อคุยกันหลายเรื่องก็เข้าใจว่าพ่อแม่คงเสียเวลาทำงานกันไปมากแล้ว พ่อเด็กมีอาชีพขับรถบรรทุกขนดิน หากไม่ได้ขับก็รายได้หาย จะทำเรื่องส่งสิทธิ์รักษาก็อาจเป็นเรื่องยุ่งยากและไม่ทันการ เพราะเด็กไข้ขึ้นสูงหมดสติไป ตรงนี้ผมก็ไม่ได้ถามอะไร
 
          ผมเก็บเรื่องนี้มาคิดต่อหลายวัน ทั้งเรื่องโรงพยาบาลที่อยู่ในอำเภอเล็ก ๆ  ความพร้อมของโรงพยาบาล หน้าที่การงานของพ่อแม่พี่ต้องพยายามทำงานให้ได้ทุกวัน เพราะแม่เด็กก็เล่าให้ฟังว่าทางบ้านมีรายได้เดือนละสามแสนจากการขับรถ แต่มีค่าน้ำมันเดือนละหนึ่งแสน ค่าผ่อนรถเดือนละเจ็ดหมื่น ค่าซ่อมรถ ค่าเปลี่ยนยางรถ ซ่อมบำรุงแต่ละรอบคงจะหลายหมื่นอย่างแน่นอน ค่าสุขภาพจากการทำงานหนักอีก 
 
          นี่แหละครับพอผมฟังเรื่องเล่าจากคนอื่นมาก็มาทำให้เราคิดเยอะอีก แต่มันก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมดเมื่อได้คุยเรื่องพวกนี้ บางครั้งเราก็ได้มุมมองอะไรใหม่ ๆ ได้รับรู้เรื่องราวอีกด้าน ได้ช่วยรับฟังให้กำลังใจคนที่มาระบายเรื่องทุกข์กับเรา ผมก็นำเรื่องพวกนี้ไปเล่าให้คนอื่นฟังบ้างตามแต่โอกาส
 
          
 
          
 
          มีบทสนทนาที่สั้น ๆ ที่สะเทือนใจอีกเรื่องหนึ่ง ผู้โดยสารก็มาจากอำเภอฝางเหมือนกับเรื่องก่อนหน้านี้ ผมไปรับผู้โดยสารนี้จากโรงแรมแห่งหนึ่ง ชื่อของผู้โดยสารปรากฏเป็นภาษาจีน ผู้โดยสารขึ้นแต่ทักทายกันด้วยภาษาไทย ระหว่างทางลูกค้าก็คุยโทรศัพท์พูดประมาณว่ากำลังจะไปขึ้นรถ พอผมขับมาถึงปลายทางซึ่งก็คือสถานีขนส่ง ที่นี่จะมีรถโดยสารขนาดไม่ใหญ่วิ่งไปต่างอำเภอ พอผู้โดยสารจ่ายเงินและก้าวเท้าลงรถไป เขาหันหน้ามาทางผมด้วยสีหน้ายิ้มแหยง ๆ และพูดว่า 
 
          “ผมกำลังจะกลับบ้านครับพี่ จะกลับฝาง ผมมาอยู่เชียงใหม่อาทิตย์นึงแล้วยังหางานไม่ได้เลยครับ”
 
          มันเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผมได้ฟังแล้วคิดตาม ในตอนนั้นผมได้แต่พูดตอบไปว่า
 
          “จริงหรือครับ ขอให้โชคดีในครั้งหน้าครับ”
 
          ผมตอบกลับไปสั้น ๆ เพราะผู้โดยสารลงรถไปแล้ว แต่คำพูดรวมถึงแววตาท่าทางนั้นของลูกค้าคนนั้น ผมไม่อาจจะปล่อยผ่านโดยคิดว่าเป็นเพียงแค่คำบ่นของใครคนหนึ่งไปได้ เขาจะมาบอกเรื่องนี้กับผมทำไมกัน ผมมาคิดดูแล้วอาจจะเป็นเพราะว่าด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและความกดดันที่ไม่ได้งาน จึงอยากพูดระบายเรื่องนี้ออกมาให้ใครสักคนได้ช่วยรับฟัง น่าเสียดายที่เราได้คุยกันน้อยไป เมื่อได้ฟังแบบนี้ผมก็อยากจะถามสารทุกข์สุกดิบของเขาว่าเป็นอย่างไร หางานประเภทไหนเผื่อผมพอช่วยแนะนำให้ได้ หากไม่ทำงานทําเชียงใหม่แล้วกลับไปที่ฝางจะมีอะไรทำไหม
 
          
 
          
 
          มีเรื่องเศร้าหนึ่งที่ผมได้รับฟังอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนตอนจบอาจจะฟังดูแฮปปี้เอ็นดิ้งหน่อย แต่ก็ยังหดหู่อยู่ดี ผมรับลูกค้าแถวบ้านคนหนึ่ง เธอรู้ว่าผมขับรถจึงขอให้ไปส่งที่บริษัทประกันภัย สอบถามได้ใจความว่าสามีเธอขี่มอเตอร์ไซค์แล้วโดนรถกระบะชน อาการคือนอนติดเตียงไม่ได้สติ จะไปคุยเรื่องความคุ้มครองจากบริษัท เธอเล่าออกมาโดยสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความเป็นห่วงสามี ผมทำได้แต่พยายามถามนู่นถามนี่เพื่อให้เธอได้เล่าได้ระบายออกมา ผ่านไปอีกหลายสัปดาห์เธอก็เรียกให้ผมไปส่งที่โรงพยาบาลเพื่อไปเฝ้าสามี ซึ่งตอนนี้ก็ยังอาการพูดไม่ได้ ไม่มีสติอยู่ แต่เธอก็บอกว่ายังมีความหวัง
 
          เวลาผ่านไปอีกสักพักเธอเรียกรถผมอีกรอบ แต่คราวนี้เธอให้ผมไปส่งที่อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย เธอจะไปแก้บนที่บนกับครูบาไว้ว่าขอให้สามีเธอกลับมาพูดได้อีกครั้ง สีหน้าแววตาของผู้โดยสารยิ้มแย้มแจ่มใสดูเหมือนกับว่าเรื่องราวเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ผ่านพ้นไปหมดแล้ว ใจหนึ่งผมก็ร่วมยินดีไปกับเธอ แต่อีกใจหนึ่งผมก็คิดถึงความสูญเสียที่เคยเกิดขึ้นและไม่มีวันที่จะชดเชยให้หวนกลับคืนได้เหมือนเดิม จากที่เธอเล่ามาก็ไม่รู้ว่าสามีจะกลับมาทำงานได้เหมือนเดิมอีกหรือเปล่า ไม่รู้ว่าจะต้องดูแลกันแบบนี้ต่อไปอีกนานเท่าไหร่ เงินทองที่คู่กรณีจะผ่อนจ่ายรายเดือนจะเสมอต้นเสมอปลายหรือไม่
 
          
 
          
 
          บทสนทนาในรถเท่าที่ผมเคยเจอมาก็ไม่ได้มีแต่เรื่องแย่ ๆ และน่าหดหู่เสมอไป เรื่องราวดี ๆ และฟังดูน่ายินดีก็มีเยอะแยะถมไป เรื่องดีมีให้ฟังมากกว่าเรื่องไม่ดีเยอะกว่า เช่นเรื่องการมาท่องเที่ยว การมาเจอญาติพี่น้องเพื่อนฝูง มาพบคนรักที่อยู่ห่างไกลกัน บางทีก็มีเรื่องการทำธุรกิจการงานที่ลูกค้ามาเล่าให้ฟัง แต่เรื่องดี ๆ ไม่นานก็ลืมว่าใครพูดอะไร มีแต่เรื่องน่าหดหู่ที่ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ยังจดจำรายละเอียด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่