สวัสดีค่ะ เราขอมาเล่าเรื่องการทำธุรกิจของเรานะคะ
ขอเกริ่นก่อนเข้าเนื้อเรื่องนะคะ คือเรามีฐานการทำธุรกิจอยู่แล้วเพราะที่บ้านเราทำธุรกิจและก่อนเราแต่งงานเราก็ทำธุรกิจกับที่บ้าน พอเราแต่งงานเราก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านแฟนและไม่ได้ทำธุรกิจกับที่บ้านต่อเราเลือกมาอยู่บ้านแฟนและขายบราวนี่ทางออนไลน์และมีส่งที่ร้านบ้าง ซึ่งต้องบอกตรงๆว่ารายได้มันก็ไม่ได้มากที่จะมีเงินเก็บขนาดนั้น ส่วนแฟนของเราก็ทำงานประจำเงินเดือน 20,000 หักลบค่าใช้จ่ายแล้วเหลือหลักพันซึ่งแน่นอนว่ามันไม่พอต่อการสร้างครอบครัว เราเลยคิดอยู่นานว่าจะกลับบ้านไปทำธุรกิจดีไหมและคุยกับที่บ้านเราว่าขอแยกมาทำเองแต่ยังอยู่ในเครือแบรนด์ของที่บ้านอยู่ เราก็คุยกับแฟนว่าเราแต่งงานกันมาอยากมีความมั่นคงในชีวิตและเราต้องสร้างมันขึ้นมาเองเราก็คุยว่ากลับไปทำธุรกิจที่บ้านเรากันเถอะ แฟนเราก็ดีที่เห็นด้วยก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่บ้านเราและมาทำธุรกิจด้วยกัน ซึ่งเราก็โชคดีที่ทางบ้านเรายกธุรกิจให้แต่ยังเป็นในเครือที่บ้านเราอยู่ อ่านมาถึงตรงนี้มันเหมือนจะดีใช่ไหมคะ แต่พอเรากับแฟนตกลงว่าจะมาทำธุรกิจ ที่บ้านแฟนก็ไม่ได้เห็นด้วยสักเท่าไหร่ เพราะพ่อแม่แฟนเค้าทำงานรัฐวิสาหกิจมีเงินเดือนแน่นอน ความคิดพวกเขาก็จะไม่เข้าใจธุรกิจ พ่อกับแม่แฟนบอกว่ามันไม่แน่นอนมีความเสี่ยง ยิ่งพี่ชายแฟนยิ่งไม่เห็นด้วยหนักตอนแฟนโทรไปปรึกษาพี่ชายแฟนพูดจาไม่ค่อยดีและบอกกับแฟนเราว่าไม่ให้เราไปทำคนเดียวละ (ในใจเราก็คิดนะว่าแต่งงานกันแล้วไม่มีใครอยากแยกกันอยู่และเรื่องทำมาหากินก็อยากสู้ไปด้วยกัน) แต่โชคดีที่แฟนเราไม่สนใจ ก็เดินหน้ามาทำธุรกิจกับเราและลาออกจากงานประจำ // ถึงจุดที่เราอยากถามทุกๆคนแล้วค่ะ คือธุรกิจที่เรามาทำกับแฟน ก่อนหน้านั้นเราทำกับที่บ้านมาก่อน มีฐานลูกค้าและเราก็รู้ปัญหาอะไรพอสมควร ด้วยนิสัยของเราเป็นคนที่ถ้าอยู่กับครอบครัวหรือเพื่อนที่ไม่ใช่วงจรในการทำงานเราไม่ค่อยพูดเรื่องงาน เราก็จะคุยเรื่องปกติทั่วไปติ๊งต๊องตามประสาเรา และเราเป็นคนที่มีความหวัง ตั้งใจ มีความพยายามมากไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว รับฟังความเห็นของทุกคนที่บอกเรามา แม้ว่าเรื่องบางเรื่องที่คนนั้นบอกมาจะไม่ใช่อย่างที่เค้าพูดก็ตามเราก็รับฟัง และเราเป็นคนที่ไม่อีโก้ไม่โชว์ คือเราเป็นคนไม่พูดไม่ได้แสดงทัศนคติของเราออกมาก เราจะแสดงออกมาก็เมื่อมันถึงเวลาไม่ใช่แสดงหรือพูดพร่ำเพื่อ เราว่าผลของการกระทำมันสำคัญกว่า และคือครอบครัวแฟนเค้าดูไม่ค่อยเชื่อในความสามารถของเรา สายตาค่อนข้างที่จะบ่งบอกขนาดเรามียอดขายต่อเดือนนึงก็ค่อนข้างเยอะ มีแค่ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเรากับแฟนเจอวิกฤตแต่ตอนนี้ก็เริ่มฟื้นตัวมาได้ ส่วนที่บ้านแฟนเค้าไม่เชื่อและบางทีก็พูดว่าคิดดีแล้วใช่ไหมที่มาทำธุรกิจกัน ส่วนพี่ชายแฟนเรากับแฟนเค้าชอบพูดชอบแสดงให้คนอื่นหรือพ่อแม่เค้าเห็นว่าพวกเค้าเก่งขนาดไหน และชอบสอนเรา เราก็ฟังเพราะบางทีสิ่งที่เค้าสอนมันก็จริงบางทีก็ตลกแบบทัศนคติบางอย่างพวกเค้าก็บ่งๆ แต่เราก็เงียบ ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราจะทนไม่ไหวเพราะเราได้รับการกระทำทำนองนี้บ่อย ไม่ว่าจะเป็นคำพูดลักษณะท่าทางที่ครอบครัวของแฟนไม่เคยจะเชื่อมั่นในตัวเรา เราทำดีแล้วใช่ไหมคะ หรือว่าเราต้องพูดๆแสดงทัศนคติไปบ้างพวกเค้าถึงจะยอมรับในตัวเรา
ปล.เรากับแฟนทำธุรกิจกันมาครบปีแล้วค่ะ สู้กับปัญหาไปด้วยกัน ทุกข์สุขร่วมกัน แต่บางทีเราก็นอยกับคำพูดของครอบครัวแฟน เวลาที่เราคุยกับแฟนบางทีก็สงสารแฟนเพราะเค้าก็คนกลาง (แต่แฟนก็เข้าข้างเราตลอดนะคะ) เราจะทำยังไงดีคะ รู้สึกบั่นทอนมากๆ บางทีก็รำคาน มันหลากหลายความรู้สึกมากค่ะ
เราดีพอแล้วหรือยัง ช่วยตอบเราหน่อยนะ
ขอเกริ่นก่อนเข้าเนื้อเรื่องนะคะ คือเรามีฐานการทำธุรกิจอยู่แล้วเพราะที่บ้านเราทำธุรกิจและก่อนเราแต่งงานเราก็ทำธุรกิจกับที่บ้าน พอเราแต่งงานเราก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านแฟนและไม่ได้ทำธุรกิจกับที่บ้านต่อเราเลือกมาอยู่บ้านแฟนและขายบราวนี่ทางออนไลน์และมีส่งที่ร้านบ้าง ซึ่งต้องบอกตรงๆว่ารายได้มันก็ไม่ได้มากที่จะมีเงินเก็บขนาดนั้น ส่วนแฟนของเราก็ทำงานประจำเงินเดือน 20,000 หักลบค่าใช้จ่ายแล้วเหลือหลักพันซึ่งแน่นอนว่ามันไม่พอต่อการสร้างครอบครัว เราเลยคิดอยู่นานว่าจะกลับบ้านไปทำธุรกิจดีไหมและคุยกับที่บ้านเราว่าขอแยกมาทำเองแต่ยังอยู่ในเครือแบรนด์ของที่บ้านอยู่ เราก็คุยกับแฟนว่าเราแต่งงานกันมาอยากมีความมั่นคงในชีวิตและเราต้องสร้างมันขึ้นมาเองเราก็คุยว่ากลับไปทำธุรกิจที่บ้านเรากันเถอะ แฟนเราก็ดีที่เห็นด้วยก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่บ้านเราและมาทำธุรกิจด้วยกัน ซึ่งเราก็โชคดีที่ทางบ้านเรายกธุรกิจให้แต่ยังเป็นในเครือที่บ้านเราอยู่ อ่านมาถึงตรงนี้มันเหมือนจะดีใช่ไหมคะ แต่พอเรากับแฟนตกลงว่าจะมาทำธุรกิจ ที่บ้านแฟนก็ไม่ได้เห็นด้วยสักเท่าไหร่ เพราะพ่อแม่แฟนเค้าทำงานรัฐวิสาหกิจมีเงินเดือนแน่นอน ความคิดพวกเขาก็จะไม่เข้าใจธุรกิจ พ่อกับแม่แฟนบอกว่ามันไม่แน่นอนมีความเสี่ยง ยิ่งพี่ชายแฟนยิ่งไม่เห็นด้วยหนักตอนแฟนโทรไปปรึกษาพี่ชายแฟนพูดจาไม่ค่อยดีและบอกกับแฟนเราว่าไม่ให้เราไปทำคนเดียวละ (ในใจเราก็คิดนะว่าแต่งงานกันแล้วไม่มีใครอยากแยกกันอยู่และเรื่องทำมาหากินก็อยากสู้ไปด้วยกัน) แต่โชคดีที่แฟนเราไม่สนใจ ก็เดินหน้ามาทำธุรกิจกับเราและลาออกจากงานประจำ // ถึงจุดที่เราอยากถามทุกๆคนแล้วค่ะ คือธุรกิจที่เรามาทำกับแฟน ก่อนหน้านั้นเราทำกับที่บ้านมาก่อน มีฐานลูกค้าและเราก็รู้ปัญหาอะไรพอสมควร ด้วยนิสัยของเราเป็นคนที่ถ้าอยู่กับครอบครัวหรือเพื่อนที่ไม่ใช่วงจรในการทำงานเราไม่ค่อยพูดเรื่องงาน เราก็จะคุยเรื่องปกติทั่วไปติ๊งต๊องตามประสาเรา และเราเป็นคนที่มีความหวัง ตั้งใจ มีความพยายามมากไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว รับฟังความเห็นของทุกคนที่บอกเรามา แม้ว่าเรื่องบางเรื่องที่คนนั้นบอกมาจะไม่ใช่อย่างที่เค้าพูดก็ตามเราก็รับฟัง และเราเป็นคนที่ไม่อีโก้ไม่โชว์ คือเราเป็นคนไม่พูดไม่ได้แสดงทัศนคติของเราออกมาก เราจะแสดงออกมาก็เมื่อมันถึงเวลาไม่ใช่แสดงหรือพูดพร่ำเพื่อ เราว่าผลของการกระทำมันสำคัญกว่า และคือครอบครัวแฟนเค้าดูไม่ค่อยเชื่อในความสามารถของเรา สายตาค่อนข้างที่จะบ่งบอกขนาดเรามียอดขายต่อเดือนนึงก็ค่อนข้างเยอะ มีแค่ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเรากับแฟนเจอวิกฤตแต่ตอนนี้ก็เริ่มฟื้นตัวมาได้ ส่วนที่บ้านแฟนเค้าไม่เชื่อและบางทีก็พูดว่าคิดดีแล้วใช่ไหมที่มาทำธุรกิจกัน ส่วนพี่ชายแฟนเรากับแฟนเค้าชอบพูดชอบแสดงให้คนอื่นหรือพ่อแม่เค้าเห็นว่าพวกเค้าเก่งขนาดไหน และชอบสอนเรา เราก็ฟังเพราะบางทีสิ่งที่เค้าสอนมันก็จริงบางทีก็ตลกแบบทัศนคติบางอย่างพวกเค้าก็บ่งๆ แต่เราก็เงียบ ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราจะทนไม่ไหวเพราะเราได้รับการกระทำทำนองนี้บ่อย ไม่ว่าจะเป็นคำพูดลักษณะท่าทางที่ครอบครัวของแฟนไม่เคยจะเชื่อมั่นในตัวเรา เราทำดีแล้วใช่ไหมคะ หรือว่าเราต้องพูดๆแสดงทัศนคติไปบ้างพวกเค้าถึงจะยอมรับในตัวเรา
ปล.เรากับแฟนทำธุรกิจกันมาครบปีแล้วค่ะ สู้กับปัญหาไปด้วยกัน ทุกข์สุขร่วมกัน แต่บางทีเราก็นอยกับคำพูดของครอบครัวแฟน เวลาที่เราคุยกับแฟนบางทีก็สงสารแฟนเพราะเค้าก็คนกลาง (แต่แฟนก็เข้าข้างเราตลอดนะคะ) เราจะทำยังไงดีคะ รู้สึกบั่นทอนมากๆ บางทีก็รำคาน มันหลากหลายความรู้สึกมากค่ะ