คุณเชื่อไหมว่าคุณสามารถส่งสายตาขอความช่วยเหลือได้
โดย
ดรัสวันต์
แววตาคนเราสามารถสื่อความหมายได้หลากหลายโดยไม่มีกำแพงของภาษามาขีดคั่น
ลองมาฟังเรื่องนี้ดูค่ะ
ฉันอายุ 22 ปีตอนเดินทางครั้งแรกไปเรียนต่อยังประเทศที่อยู่ห่างไกลจากบ้านครึ่งโลกพอดี วัดด้วยเวลาที่ต่างกัน 12 ชั่วโมง
ฉันเคยมีประสบการณ์ขึ้นเครื่องบินมาก่อน จึงไม่เด๋อด๋ามากนัก แต่เดินทางไกลมากขนาดนี้ด้วยตัวคนเดียว ก็เพิ่งครั้งแรก
เป็นเพราะระยะทางไกล จึงต้องมีการต่อเครื่องบิน โดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน ชาร์ลส์ เดอ โกลล์ ของฝรั่งเศส ต้องรอนานถึง 8 ชั่วโมง
ทางสายการบินจึงให้ไปนอนพักที่โรงแรมแอร์พอร์ตที่อยู่ภายในสนามบิน
แต่พอไปถามเจ้าหน้าที่สนามบินว่าโรงแรมไปทางไหน คนฝรั่งเศสไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษ ฉันเคยเรียนภาษาฝรั่งเศสมาบ้าง แต่คืนอาจารย์ไป
หมดแล้ว ดูท่าจะไม่ได้เรื่องจึงยอมนั่งคอยอยู่ในเทอมินัล เพื่อความชัวร์ไม่ตกเครื่องบิน
8 ชั่วโมงแห่งการรอคอย นั่งๆ เดินๆ จนทั่วจนเมื่อยแล้วจึงนั่งพัก มีที่นั่งรอบเสาเป็นวงกลม ยาวพอสำหรับคนสิบคนมานั่งได้ สักพักฉันก็ได้ยินเสียง
คนพูดภาษาไทย ดังมาจากฝรั่งสองคนที่ฉันเห็นมาก่อนแล้วว่านั่งอยู่ข้างหลังฉัน ฉันไม่ได้หันไปมองเพราะรู้สึกแปลกใจที่ทำไมฝรั่งสองคนไม่คุยกัน
ด้วยภาษาของเขา ทำไมต้องคุยกันด้วยภาษาไทย พูดไทยเก่งเลยล่ะ
ฉันรู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงนิ่งเฉยทำหูทวนลมไม่แสดงตัวว่าเป็นคนไทย ไม่มีธงชาติไทยหรือสัญลักษณ์ใดๆ ติดที่กระเป๋าให้คนรู้ว่าฉันเป็นคนไทย
ฝรั่งสองคนนั้นคงพยายามเหวี่ยงแหด้วยการพูดไทย เผื่อว่าฉันเป็นคนไทยแล้วฟังออกก็คงจะยินดีเข้าไปทักทายฝรั่งที่พูดภาษาไทยได้ เพราะคนไทย
ส่วนใหญ่คงจะเป็นแบบนั้น เวลาไปต่างบ้านต่างเมืองที่ไม่คุ้นเคยแล้วเจอคนไทยหรือฝรั่งที่พูดไทยได้ มักจะตื่นเต้นดีใจ (ยุคนั้นคนไทยเดินทางไป
ต่างประเทศน้อยกว่าปัจจุบัน)
แต่ฉันไม่สนใจ เพราะฉันไม่ได้กำลังเดือดร้อนหรือต้องการความช่วยเหลืออะไรจากคนต่างชาติที่พูดภาษาไทย เพราะภาษาอังกฤษของฉันก็พอจะ
สื่อสารเอาตัวรอดได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร ฉันไม่มีปัญหาอะไรแค่นั่งรอขึ้นเครื่องแล้วเดินทางต่อ ฉันจึงทำหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้ ให้ฝรั่งสองคนนั่นงงว่าฉัน
เป็นคนไทยรึเปล่า เพราะหน้าตาฉันอาจจะเดาว่าเป็นฟิลิปปินส์ เขมร ลาว ญวน ได้ทั้งนั้น
ฉันบอกตัวเองเสมอว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆ จะต้องไปทำความรู้จักคนไทย หรือคนที่พูดภาษาไทยที่เผอิญไปเจอตามสนามบิน อย่าได้เข้าไปทัก
หรือถ้าเขาเข้ามาทักเราก็อย่าไปยุ่งด้วย ให้ระแวงไว้ก่อนว่าคือมิจฉาชีพเพราะเคยมีหญิงไทยไปเจอคนไทยที่สนามบินแบบนี้ ดีอกดีใจว่าเป็นคนไทย
ด้วยกัน เขาพูดอะไรเชื่อหมดเพราะคิดว่าเป็นคนไทยด้วยกัน ผู้หญิงคนนั้นถูกหลอกไปขายซ่องที่ต่างประเทศมาแล้ว
คนไทยด้วยกันนี่ล่ะตัวดี
ฉันเดินทางไปถึงเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย ได้เริ่มต้นเรียนหนังสือและมีเพื่อนนักศึกษาเป็นผู้หญิงไทยสองคน
พอหมดเทอมแรก เราสามคนชวนกันออกไปเช่าอพาร์ตเม้นต์อยู่ด้วยกันเพราะอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยทำอาหารไทยทานไม่ได้ และเป็น
หอรวมชายหญิงที่มีผู้ชายมักง่ายมาใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้หญิง เราอึดอัดใจมาก
แต่การออกมาเช่าอยู่ข้างนอกก็ลำบากเดินทางไกล เพราะเราเลือกอยู่ไกลเกือบชานเมืองที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี มีคนขาวเยอะกว่าคนดำ
อีกทั้งการเดินทางไม่ลำบากเพราะมีรถไฟแล่นเข้าเมืองทอดเดียว
เช้าวันหนึ่ง ฉันมีธุระต้องเข้าเมืองตอนเช้า จึงเป็นการโดยสารรถไฟช่วงเวลาเร่งด่วน (ซึ่งปกติฉันมีเรียนตอนเย็น) ผู้โดยสารยืนรอเต็ม
ชานชาลาแบบเปิดโล่งไม่มีหลังคาหรือฝาผนัง แม้คนจะเยอะแต่ชานชาลายาว ไม่ต้องยืนคอยแบบเบียดเสียดนัก
ระหว่างรอรถไฟฉันเริ่มสังเกตเห็นไอ้มืดคนหนึ่ง เป็นวัยรุ่นผอมๆ ท่าทางเหมือนเด็กแว้นมองจ้องฉันอยู่ เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย แล้วไอ้มืดคนนี้
ก็เริ่มเดินเข้ามาทางฉัน ฉันกระชับกระเป๋าสะพายแน่น ไม่แน่ใจว่ามันจะฉกชิงวิ่งราวหรือเข้ามาทำร้ายกันแน่ เพราะชานชาลาโล่งไม่มีที่กั้น
สามารถผลักคนตกลงไปในรางขณะรถไฟแล่นเข้ามาได้
การเป็นคนเอเชียในสหรัฐอเมริกา เราคือประชาชนชั้น 3 ต่ำต้อยกว่าไอ้มืดที่เราคิดดูถูกว่าเขาตัวดำ หน้าตาอัปลักษณ์ แต่ไอ้มืดมันเป็นฝ่าย
ดูถูกเรามากกว่า
ฉันมองไปรอบตัวพยายามคิดว่าถ้ามันเข้ามาร้ายอย่างที่ฉันกลัวฉันจะช่วยตัวเองอย่างไร พอดีมีผู้ชายผิวขาวตัวสูงใหญ่วัยประมาณสี่สิบกว่า
ยืนอยู่ทางซ้ายของฉัน ฉันพยายามขยับเข้าไปใกล้เขาพร้อมส่งสายตาขอความช่วยเหลือ แสดงสีหน้าวิตกทุกข์ร้อนให้เขารับรู้
ชายผิวขาวที่ยืนอยู่ทางซ้ายมือของฉันหันไปมองไอ้มืดที่อยู่ทางขวาของฉัน มันขยับเข้ามาใกล้ทุกที ท่าทางผู้ชายผิวขาวมองสถานการณ์ออก
ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันหันไปมองไอ้มืดแล้วหันกลับไปสบตาชายผิวขาว พยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเขาเต็มที่ เขาอ่านสายตาฉันออก
แล้วจ้องมองไอ้มืดคนนั้นด้วยสีหน้าเคร่งแบบเอาเรื่อง
คือมันจำเป็นต้องใช้สายตาเท่านั้น กระโตกกระตากอะไรออกมาไม่ได้ จะร้องขอความช่วยเหลือก็ไม่ได้เพราะมันยังไม่ทันจะทำอะไรฉัน
รถไฟมาพอดี ผู้คนทยอยเดินเข้ารถ ฉันยังคงจ้องมองไอ้มืดเขม็งว่ามันจะเดินขึ้นรถไหม ฉันค่อยๆ เดินตามคนอื่นจะเข้าประตูตู้สามที่อยู่ตรงหน้า
ฉันมองมันและรอจังหวะอยู่ พอเห็นมันกำลังจะเข้าประตูตู้ที่สาม ฉันรีบวิ่งไปเข้าประตูตู้ที่หนึ่งที่หัวขบวนแล้วประตูรถไฟก็ปิดลง
พออยู่ในรถไฟแล้วฉันคอยมอง ระวังตัวตลอดว่าไอ้มืดคนนั้นมันจะเดินจากตู้ที่สามมาตู้ที่หนึ่งไหม แต่ก็ไม่มาเพราะคนเบียดกันแน่นด้วย
และคงเลิกสนใจฉันไปแล้วเพราะเหยื่อรู้ตัว
ฉันนึกขอบคุณผู้ชายผิวขาวคนนั้น อย่างน้อยสายตาของเขาก็สามารถปรามไอ้มืดนั้นได้ เขาตัวสูงใหญ่กว่าไอ้มืดมาก มันคงไม่กล้าต่อกรด้วย
เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี ฉันปลอดภัยและรู้ว่าแม้เพียงสายตาขอความช่วยเหลือของฉันก็สามารถสื่อให้อีกคนได้รับรู้แม้ไม่ได้เอ่ยคำพูดภาษาใดๆ
ต่อกัน
ทั้งหมดทั้งปวงฉันต้องขอบคุณบุพการี โดยเฉพาะคุณพ่อที่คอยสอนให้ฉันรู้จักระวังตัว สอนให้มีสติตลอดเวลา เดินไปไหนไม่เหม่อลอย มองซ้าย
มองขวาว่ามีคนไม่น่าไว้ใจเข้ามาใกล้ไหม มิจฉาชีพมันจ้องจะเล่นงานเหยื่อที่ไม่ระวังตัวเสมอ
พ่อจะเป็นคนที่สอนลูกสาวได้ดีที่สุดเพราะพ่อจะรู้เท่าทันเล่ห์ของผู้ชาย พ่อรู้ว่าท่านไม่สามารถมาคอยปกป้องเราตลอดเวลา ท่านจึงต้อง
สอนให้เราเอาตัวรอด ไม่ตกเป็นเหยื่อคนร้าย
และเป็นความโชคดีที่แฟนของฉันในอดีตแต่ละคน ให้ความหวังดีและคอยบอกสอนให้ระวังตัว ให้รู้วิธีเอาตัวรอด จนฉันรอดปลอดภัยมาทุกจนวันนี้
คุณเชื่อไหมว่าคุณสามารถส่งสายตาขอความช่วยเหลือได้
โดย ดรัสวันต์
แววตาคนเราสามารถสื่อความหมายได้หลากหลายโดยไม่มีกำแพงของภาษามาขีดคั่น
ลองมาฟังเรื่องนี้ดูค่ะ
ฉันอายุ 22 ปีตอนเดินทางครั้งแรกไปเรียนต่อยังประเทศที่อยู่ห่างไกลจากบ้านครึ่งโลกพอดี วัดด้วยเวลาที่ต่างกัน 12 ชั่วโมง
ฉันเคยมีประสบการณ์ขึ้นเครื่องบินมาก่อน จึงไม่เด๋อด๋ามากนัก แต่เดินทางไกลมากขนาดนี้ด้วยตัวคนเดียว ก็เพิ่งครั้งแรก
เป็นเพราะระยะทางไกล จึงต้องมีการต่อเครื่องบิน โดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน ชาร์ลส์ เดอ โกลล์ ของฝรั่งเศส ต้องรอนานถึง 8 ชั่วโมง
ทางสายการบินจึงให้ไปนอนพักที่โรงแรมแอร์พอร์ตที่อยู่ภายในสนามบิน
แต่พอไปถามเจ้าหน้าที่สนามบินว่าโรงแรมไปทางไหน คนฝรั่งเศสไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษ ฉันเคยเรียนภาษาฝรั่งเศสมาบ้าง แต่คืนอาจารย์ไป
หมดแล้ว ดูท่าจะไม่ได้เรื่องจึงยอมนั่งคอยอยู่ในเทอมินัล เพื่อความชัวร์ไม่ตกเครื่องบิน
8 ชั่วโมงแห่งการรอคอย นั่งๆ เดินๆ จนทั่วจนเมื่อยแล้วจึงนั่งพัก มีที่นั่งรอบเสาเป็นวงกลม ยาวพอสำหรับคนสิบคนมานั่งได้ สักพักฉันก็ได้ยินเสียง
คนพูดภาษาไทย ดังมาจากฝรั่งสองคนที่ฉันเห็นมาก่อนแล้วว่านั่งอยู่ข้างหลังฉัน ฉันไม่ได้หันไปมองเพราะรู้สึกแปลกใจที่ทำไมฝรั่งสองคนไม่คุยกัน
ด้วยภาษาของเขา ทำไมต้องคุยกันด้วยภาษาไทย พูดไทยเก่งเลยล่ะ
ฉันรู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงนิ่งเฉยทำหูทวนลมไม่แสดงตัวว่าเป็นคนไทย ไม่มีธงชาติไทยหรือสัญลักษณ์ใดๆ ติดที่กระเป๋าให้คนรู้ว่าฉันเป็นคนไทย
ฝรั่งสองคนนั้นคงพยายามเหวี่ยงแหด้วยการพูดไทย เผื่อว่าฉันเป็นคนไทยแล้วฟังออกก็คงจะยินดีเข้าไปทักทายฝรั่งที่พูดภาษาไทยได้ เพราะคนไทย
ส่วนใหญ่คงจะเป็นแบบนั้น เวลาไปต่างบ้านต่างเมืองที่ไม่คุ้นเคยแล้วเจอคนไทยหรือฝรั่งที่พูดไทยได้ มักจะตื่นเต้นดีใจ (ยุคนั้นคนไทยเดินทางไป
ต่างประเทศน้อยกว่าปัจจุบัน)
แต่ฉันไม่สนใจ เพราะฉันไม่ได้กำลังเดือดร้อนหรือต้องการความช่วยเหลืออะไรจากคนต่างชาติที่พูดภาษาไทย เพราะภาษาอังกฤษของฉันก็พอจะ
สื่อสารเอาตัวรอดได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร ฉันไม่มีปัญหาอะไรแค่นั่งรอขึ้นเครื่องแล้วเดินทางต่อ ฉันจึงทำหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้ ให้ฝรั่งสองคนนั่นงงว่าฉัน
เป็นคนไทยรึเปล่า เพราะหน้าตาฉันอาจจะเดาว่าเป็นฟิลิปปินส์ เขมร ลาว ญวน ได้ทั้งนั้น
ฉันบอกตัวเองเสมอว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆ จะต้องไปทำความรู้จักคนไทย หรือคนที่พูดภาษาไทยที่เผอิญไปเจอตามสนามบิน อย่าได้เข้าไปทัก
หรือถ้าเขาเข้ามาทักเราก็อย่าไปยุ่งด้วย ให้ระแวงไว้ก่อนว่าคือมิจฉาชีพเพราะเคยมีหญิงไทยไปเจอคนไทยที่สนามบินแบบนี้ ดีอกดีใจว่าเป็นคนไทย
ด้วยกัน เขาพูดอะไรเชื่อหมดเพราะคิดว่าเป็นคนไทยด้วยกัน ผู้หญิงคนนั้นถูกหลอกไปขายซ่องที่ต่างประเทศมาแล้ว
คนไทยด้วยกันนี่ล่ะตัวดี
ฉันเดินทางไปถึงเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย ได้เริ่มต้นเรียนหนังสือและมีเพื่อนนักศึกษาเป็นผู้หญิงไทยสองคน
พอหมดเทอมแรก เราสามคนชวนกันออกไปเช่าอพาร์ตเม้นต์อยู่ด้วยกันเพราะอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยทำอาหารไทยทานไม่ได้ และเป็น
หอรวมชายหญิงที่มีผู้ชายมักง่ายมาใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้หญิง เราอึดอัดใจมาก
แต่การออกมาเช่าอยู่ข้างนอกก็ลำบากเดินทางไกล เพราะเราเลือกอยู่ไกลเกือบชานเมืองที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี มีคนขาวเยอะกว่าคนดำ
อีกทั้งการเดินทางไม่ลำบากเพราะมีรถไฟแล่นเข้าเมืองทอดเดียว
เช้าวันหนึ่ง ฉันมีธุระต้องเข้าเมืองตอนเช้า จึงเป็นการโดยสารรถไฟช่วงเวลาเร่งด่วน (ซึ่งปกติฉันมีเรียนตอนเย็น) ผู้โดยสารยืนรอเต็ม
ชานชาลาแบบเปิดโล่งไม่มีหลังคาหรือฝาผนัง แม้คนจะเยอะแต่ชานชาลายาว ไม่ต้องยืนคอยแบบเบียดเสียดนัก
ระหว่างรอรถไฟฉันเริ่มสังเกตเห็นไอ้มืดคนหนึ่ง เป็นวัยรุ่นผอมๆ ท่าทางเหมือนเด็กแว้นมองจ้องฉันอยู่ เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย แล้วไอ้มืดคนนี้
ก็เริ่มเดินเข้ามาทางฉัน ฉันกระชับกระเป๋าสะพายแน่น ไม่แน่ใจว่ามันจะฉกชิงวิ่งราวหรือเข้ามาทำร้ายกันแน่ เพราะชานชาลาโล่งไม่มีที่กั้น
สามารถผลักคนตกลงไปในรางขณะรถไฟแล่นเข้ามาได้
การเป็นคนเอเชียในสหรัฐอเมริกา เราคือประชาชนชั้น 3 ต่ำต้อยกว่าไอ้มืดที่เราคิดดูถูกว่าเขาตัวดำ หน้าตาอัปลักษณ์ แต่ไอ้มืดมันเป็นฝ่าย
ดูถูกเรามากกว่า
ฉันมองไปรอบตัวพยายามคิดว่าถ้ามันเข้ามาร้ายอย่างที่ฉันกลัวฉันจะช่วยตัวเองอย่างไร พอดีมีผู้ชายผิวขาวตัวสูงใหญ่วัยประมาณสี่สิบกว่า
ยืนอยู่ทางซ้ายของฉัน ฉันพยายามขยับเข้าไปใกล้เขาพร้อมส่งสายตาขอความช่วยเหลือ แสดงสีหน้าวิตกทุกข์ร้อนให้เขารับรู้
ชายผิวขาวที่ยืนอยู่ทางซ้ายมือของฉันหันไปมองไอ้มืดที่อยู่ทางขวาของฉัน มันขยับเข้ามาใกล้ทุกที ท่าทางผู้ชายผิวขาวมองสถานการณ์ออก
ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันหันไปมองไอ้มืดแล้วหันกลับไปสบตาชายผิวขาว พยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเขาเต็มที่ เขาอ่านสายตาฉันออก
แล้วจ้องมองไอ้มืดคนนั้นด้วยสีหน้าเคร่งแบบเอาเรื่อง
คือมันจำเป็นต้องใช้สายตาเท่านั้น กระโตกกระตากอะไรออกมาไม่ได้ จะร้องขอความช่วยเหลือก็ไม่ได้เพราะมันยังไม่ทันจะทำอะไรฉัน
รถไฟมาพอดี ผู้คนทยอยเดินเข้ารถ ฉันยังคงจ้องมองไอ้มืดเขม็งว่ามันจะเดินขึ้นรถไหม ฉันค่อยๆ เดินตามคนอื่นจะเข้าประตูตู้สามที่อยู่ตรงหน้า
ฉันมองมันและรอจังหวะอยู่ พอเห็นมันกำลังจะเข้าประตูตู้ที่สาม ฉันรีบวิ่งไปเข้าประตูตู้ที่หนึ่งที่หัวขบวนแล้วประตูรถไฟก็ปิดลง
พออยู่ในรถไฟแล้วฉันคอยมอง ระวังตัวตลอดว่าไอ้มืดคนนั้นมันจะเดินจากตู้ที่สามมาตู้ที่หนึ่งไหม แต่ก็ไม่มาเพราะคนเบียดกันแน่นด้วย
และคงเลิกสนใจฉันไปแล้วเพราะเหยื่อรู้ตัว
ฉันนึกขอบคุณผู้ชายผิวขาวคนนั้น อย่างน้อยสายตาของเขาก็สามารถปรามไอ้มืดนั้นได้ เขาตัวสูงใหญ่กว่าไอ้มืดมาก มันคงไม่กล้าต่อกรด้วย
เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี ฉันปลอดภัยและรู้ว่าแม้เพียงสายตาขอความช่วยเหลือของฉันก็สามารถสื่อให้อีกคนได้รับรู้แม้ไม่ได้เอ่ยคำพูดภาษาใดๆ
ต่อกัน
ทั้งหมดทั้งปวงฉันต้องขอบคุณบุพการี โดยเฉพาะคุณพ่อที่คอยสอนให้ฉันรู้จักระวังตัว สอนให้มีสติตลอดเวลา เดินไปไหนไม่เหม่อลอย มองซ้าย
มองขวาว่ามีคนไม่น่าไว้ใจเข้ามาใกล้ไหม มิจฉาชีพมันจ้องจะเล่นงานเหยื่อที่ไม่ระวังตัวเสมอ
พ่อจะเป็นคนที่สอนลูกสาวได้ดีที่สุดเพราะพ่อจะรู้เท่าทันเล่ห์ของผู้ชาย พ่อรู้ว่าท่านไม่สามารถมาคอยปกป้องเราตลอดเวลา ท่านจึงต้อง
สอนให้เราเอาตัวรอด ไม่ตกเป็นเหยื่อคนร้าย
และเป็นความโชคดีที่แฟนของฉันในอดีตแต่ละคน ให้ความหวังดีและคอยบอกสอนให้ระวังตัว ให้รู้วิธีเอาตัวรอด จนฉันรอดปลอดภัยมาทุกจนวันนี้