สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ หวั่นผู้ประกอบการอ่อนแรง หลังเทรนด์อุตสาหกรรมเปลี่ยนไป เร่งหารือภาครัฐ เตรียมหาแหล่งเงินลงทุน know-how ที่จะนำมาบริหารจัดการ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาด
นางสาวอนุษฐา เชาว์วิศิษฐ เลขาธิการสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย กล่าวว่า สมาคมฯ มีนโยบายส่งเสริมให้สมาชิกผู้ประกอบการให้เร่งปรับตัวเพื่อรับกับเทรนด์ยานยนต์ที่เปลี่ยนแปลงไปสู่อุตสาหกรรมไฮเพอร์ฟอร์มานซ์ (HI-PERFORMANCE) โดยเฉพาะการผลิตเครื่องยนต์ที่ปล่อยมลพิษน้อย คำนึงถึงสิ่งแแวดล้อม และยานยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี ที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน เราจะต้องทำการขยายตลาดไปยังตลาดทดแทน (REM) เดิมที่เน้นรับจ้างผลิต (OEM) ดังนั้นผู้ผลิตชิ้นส่วนต้องมีเทคโนโลยี รวมถึงนวัตกรรมในการผลิต เบื้องต้นสมาคมฯ ได้ตรียมข้อมูลไปหารือร่วมกับภาครัฐเพื่อช่วยส่งเสริมทั้งในเรื่องขององค์ความรู้เทคโนโลยี นวัตกรรมแก่ผู้ผลิตฯ
เนื่องจากปัจจุบันนี้จากการที่ได้หารือร่วมกันกับสมาชิกฯ 600 กว่าราย หากรวมทั่วประเทศมีผู้ผลิต 2,000 ราย โดยส่วนใหญ่พร้อมที่จะปรับเปลี่ยน แต่ยังมีอุปสรรค เช่น เงินลงทุน เครื่องจักรต่างๆ รวมถึง know-how ที่จะนำมาบริหารจัดการ
"ปัจจุบันเราพบว่าผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์บางรายตัดสินใจที่จะไม่ไปต่อ แม้จะมีจำนวนไม่มากก็ตาม ทั้งนี้หากมองในแง่การส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะ BOI หากหาแนวทางให้ต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุนเป็นพันธมิตรธุรกิจกับผู้ประกอบการรายเดิม ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพิ่ม นำองค์ความรู้เข้ามาเพิ่มศักยภาพ หรืออื่นๆ เชื่อว่าจะทำให้ผู้ผลิตแข็งแกร่งและแข่งขันได้"
นางสาวอนุษฐา ยังมองอีกว่า การที่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเข้ามาประกอบรถอีวีในไทยนั้น ส่วนใหญ่ได้ใช้ชิ้นส่วนของจีน เนื่องจากมีราคาถูกกว่าถึง 30% แม้ว่าจะสั่งนำเข้ามารวมต้นทุนต่างๆ ก็ยังราคาถูกกว่าซื้อชิ่นส่วนของไทย ดังนั้นปัจจัยดังกล่าวจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้เราต้องเพิ่มศักยภาพมากขึ้น
สำหรับการส่งออกชิ่นส่วนยานยนต์ปี 66 มีมูลค่า 23,832.6 ล้านเหรียญ หรือเติบโตขึ้น 2.3% โดยปี 67 คาดว่าจะเท่ากับปีท่ผ่านมา ส่วนตลาดรถยนต์ปีนี้ยอดผลิตอยู่ที่ 1.9 ล้านคัน แบ่งเป็นส่งออก 1.15 ล้านคัน ส่วนรถจักรยานยนต์ผลิตรวมอยู่ที่ 2.21 ล้านคัน แบ่งเป็นส่งออก 420,000 คัน.
ที่มาภาพ/ข่าว
https://www.thairath.co.th/news/auto/news/2771316
สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ หวั่นผู้ประกอบการอ่อนแรง หลังอุตสาหกรรมรถเปลี่ยน
นางสาวอนุษฐา เชาว์วิศิษฐ เลขาธิการสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย กล่าวว่า สมาคมฯ มีนโยบายส่งเสริมให้สมาชิกผู้ประกอบการให้เร่งปรับตัวเพื่อรับกับเทรนด์ยานยนต์ที่เปลี่ยนแปลงไปสู่อุตสาหกรรมไฮเพอร์ฟอร์มานซ์ (HI-PERFORMANCE) โดยเฉพาะการผลิตเครื่องยนต์ที่ปล่อยมลพิษน้อย คำนึงถึงสิ่งแแวดล้อม และยานยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี ที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน เราจะต้องทำการขยายตลาดไปยังตลาดทดแทน (REM) เดิมที่เน้นรับจ้างผลิต (OEM) ดังนั้นผู้ผลิตชิ้นส่วนต้องมีเทคโนโลยี รวมถึงนวัตกรรมในการผลิต เบื้องต้นสมาคมฯ ได้ตรียมข้อมูลไปหารือร่วมกับภาครัฐเพื่อช่วยส่งเสริมทั้งในเรื่องขององค์ความรู้เทคโนโลยี นวัตกรรมแก่ผู้ผลิตฯ
เนื่องจากปัจจุบันนี้จากการที่ได้หารือร่วมกันกับสมาชิกฯ 600 กว่าราย หากรวมทั่วประเทศมีผู้ผลิต 2,000 ราย โดยส่วนใหญ่พร้อมที่จะปรับเปลี่ยน แต่ยังมีอุปสรรค เช่น เงินลงทุน เครื่องจักรต่างๆ รวมถึง know-how ที่จะนำมาบริหารจัดการ
"ปัจจุบันเราพบว่าผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์บางรายตัดสินใจที่จะไม่ไปต่อ แม้จะมีจำนวนไม่มากก็ตาม ทั้งนี้หากมองในแง่การส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะ BOI หากหาแนวทางให้ต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุนเป็นพันธมิตรธุรกิจกับผู้ประกอบการรายเดิม ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพิ่ม นำองค์ความรู้เข้ามาเพิ่มศักยภาพ หรืออื่นๆ เชื่อว่าจะทำให้ผู้ผลิตแข็งแกร่งและแข่งขันได้"
นางสาวอนุษฐา ยังมองอีกว่า การที่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเข้ามาประกอบรถอีวีในไทยนั้น ส่วนใหญ่ได้ใช้ชิ้นส่วนของจีน เนื่องจากมีราคาถูกกว่าถึง 30% แม้ว่าจะสั่งนำเข้ามารวมต้นทุนต่างๆ ก็ยังราคาถูกกว่าซื้อชิ่นส่วนของไทย ดังนั้นปัจจัยดังกล่าวจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้เราต้องเพิ่มศักยภาพมากขึ้น
สำหรับการส่งออกชิ่นส่วนยานยนต์ปี 66 มีมูลค่า 23,832.6 ล้านเหรียญ หรือเติบโตขึ้น 2.3% โดยปี 67 คาดว่าจะเท่ากับปีท่ผ่านมา ส่วนตลาดรถยนต์ปีนี้ยอดผลิตอยู่ที่ 1.9 ล้านคัน แบ่งเป็นส่งออก 1.15 ล้านคัน ส่วนรถจักรยานยนต์ผลิตรวมอยู่ที่ 2.21 ล้านคัน แบ่งเป็นส่งออก 420,000 คัน.
ที่มาภาพ/ข่าว https://www.thairath.co.th/news/auto/news/2771316