JJNY : พิธาจำไม่ลืม เชียงใหม่ไว้ใจเลือกก้าวไกลที่1│“พิธา”ไม่กังวลยุบก้าวไกล│ค้าปลีกภูธรวุ่น│ยูเครนว่าขีปนาวุธเกาหลีเหนือ

พิธา ลุยดับไฟป่า จำไม่ลืม คนเชียงใหม่ไว้ใจเลือกก้าวไกลที่ 1 ยกข้อมูลชี้ชัดปีนี้หนัก เร่งแก้ปัญหาปชช.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4475124

พิธา ลุยดับไฟป่า จำไม่ลืม คนเชียงใหม่ไว้ใจเลือกก้าวไกลที่ 1 ยกข้อมูลชี้ชัดปีนี้หนัก เร่งแก้ปัญหาปชช.
 
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดเชียงใหม่ และบรรดาแฟนคลับมารอต้อนรับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งจะเดินทางมาถึงในเวลา 09.00 น. เพื่อศึกษาติดตามการแก้ไขปัญหาไฟป่ากับหน่วยงานและภาคประชาชนสังคมในพื้นที่อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
 
เมื่อเดินทางมาถึง นายพิธา ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางลงพื้นที่ครั้งนี้ว่า จะเดินทางไปที่อำเภอสันป่าตอง เพื่อร่วมกับอาสาสมัครดับไฟป่า ของมูลนิธิกระจกเงา เพราะพรรคก้าวไกลติดตามปัญหาไฟป่าและหมอกควันมาอย่างต่อเนื่อง และประธานคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็เป็นเลขาธิการของพรรคเราด้วย ขณะที่สภาพอากาศของจังหวัดเชียงใหม่เช้านี้ ตรวจสอบจากแอพพลิเคชั่น Air Visual ดัชนีคุณภาพอาากาศ ( AQI ) สูงกว่า 215 สูงเป็นอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกันเป็นวันที่สอง ส่วนจุดความร้อน หรือฮอตสปอต จากดาวเทียมจีสด้าก็สูงกว่า 2,000 จุด หรือมากกว่า 8 เท่าเมื่อเทียบกับวันเดียวกันปีก่อน
 
โดยวันนี้ตั้งใจจะมาศึกษาข้อมูลเข้าใจพฤติกรรมของไฟจากหน้างานในพื้นที่ เพราะมูลนิธิกระจกเงาอยู่ในพื้นที รวมทั้งหาวิธีทำให้ทีมงานมีจำนวนเพียงพอเข้าถึงไฟก่อนที่จะลุกลาม ปัญหาไฟป่าเป็นเรื่องที่สามารถเตรียมการล่วงหน้าได้ เพราะหลายจุดเป็นพื้นที่ไหม้ซ้ำซาก ตอนนี้กำลังเช็คข้อมูลว่าผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประกาศเขตภัยพิบัติหรือไม่ ปีก่อนก็ทราบว่าไม่ประกาศเพราะกังวลผลกระทบด้านท่องเที่ยว แต่ตอนนี้สถานการณ์รุนแรงควรจะประกาศ หากไม่ประกาศงบกลางจะไม่สามารถนำมาใช้ได้ ซึ่งวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐในตรี ประกาศให้ กรมป่าไม้ และกรมอุทยาน ร่วมมือกับท้องถิ่นได้ จึงอยากรู้ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ และวันนี้ก็ไม่ได้เข้าไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้าแต่เข้าไปกับมูลนิธิกระจกเงาที่ทำเรื่องนี้มานานกว่า 5 ปีแล้ว เพราะเป็นข้อเรียกร้องของภาคประชาสัมคมที่อยากให้ภาคการเมืองเข้าไปดู
 
นายพิธา กล่าวถึงการลงพื้นที่ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ทราบว่านายกฯ ลงพื้นที่แต่ไม่ทราบกำหนดการ แต่ตนตั้งใจลงมาดูหน้างานจริงๆ ดูอุปกรณ์ต่างๆที่เหมาะสม และการเข้าถึงพื้นที่ว่าทำอย่างไรต้องเดินเท้า หรือใช้จักรยานยนต์วิบาก เพราะเข้าใจว่า 90% ของแรงที่ใช้ไปใช้กับโลจิสติกส์ หรือการขนส่ง เพื่อลำเลียงอุปกรณ์และน้ำเข้าไปดับไฟ
 
ส่วนที่มีการเปรียบเทียบการลงพื้นที่ของนายพิธาครั้งนี้กับนายกรัฐมนตรี นายพิธา บอกว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการวัดพลัง ไม่ควรเปรียบเทียบกัน ควรเอาปัญหาของประชาชนเป็นที่ตั้ง ข้อมูลเห็นชัดว่าปีนี้หนัก จึงมาทำงานในฐานะฝ่ายค้าน และ ส.ส.ที่มีในพื้นที่ ไม่เกี่ยวกับการวัดพลังมวลชน
 
ขณะเดียวกันการลงพื้นที่วันนี้ ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการวัดพลังมวลชนของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย เพราะไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคิดอะไรแบบนี้ เวลานี้ควรคิดว่าจะแก้ปัญหาให้ประชาชนเร็วที่สุดได้อย่างไร และจะถอดบทเรียนปัญหาอย่างไร เพื่อให้ปีหน้าปัญหาทุเลาลงกว่านี้ ควรเอาเนื้องาน
 
นายพิธา ยืนยันว่าการลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ไม่ได้มาทับไลน์อดีตนายก จึงไม่กังวลเรื่องกระแส เพราะเราเอาปัญหาของประชาชนเป็นที่ตั้ง ข้อมูลตอนนี้ก็เห็นชัดว่าปีนี้อากาศเชียงใหม่หนักมาก จึงมาทำงานในฐานะฝ่ายค้าน และส.ส.ของพรรคก็มีอยู่ในพื้นที่ถึง 7 คน จาก 10 เขต และช่วงเสาร์-อาทิตย์ตนเองก็ลงพื้นที่อยู่แล้ว แต่ไม่เกี่ยวกับการปูทางเพื่อเตรียมเลือกตั้งท้องถิ่น เพราะยังไม่ได้คิดเรื่องการเลือกตั้ง อบจ.เนื่องจากเวลายังอีกยาว
 
ขณะที่การเดินทางกลับบ้านเกิดจังหวัดเชียงใหม่ของนายทักษิณ ในรอบ 17 ปี และมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองลงพื้นที่พบปะมวลชน จะกระทบกับกระแสของพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธา บอกว่า ไม่ได้คิดถึงเรื่องกระแส ตั้งใจทำงานเต็มที่เพราะมีวาระสำคัญๆเยอะ ทั้งเรื่องสภาที่กำลังเป็นวิกฤตของชาติ โดยสัปดาห์หน้าก็จะมีอภิปรายเรื่องงบประมาณ วาระสองพอดี ก็จะมีเรื่องเกี่ยวข้องกับการขอใช้งบ ปภ. อปท. และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาวันเสาร์-อาทิตย์นี้ ก็จะมีข้อมูลกลับไปอภิปราย
 
ไม่คำนึงเรื่องกระแสอะไร ขอทำงานเต็มที่ ตอนนี้วิกฤตของเชียงใหม่ตอนนี้สำคัญกว่ากระแสพรรค และพุธ-พฤหัสบดีนี้ ก็มีอภิปรายเรื่องงบประมาณ จากนั้นต้องบินไปประชุมรัฐสภาสากล ที่เจนีวา วิกฤตของพรรคก็มีเรื่องคดีอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตอนนี้มีทีมเตรียมความพร้อม ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับ กกต. และ ปชช.เพื่อไล่ดูระยะเวลาของ กกต.จากนี้ว่าจะมีอะไร รวมทั้งเปรียบเทียบฎีกาของ ปชช.ในคดีต่างๆ เตรียมอภิปรายต่อสู่คดีเรื่องน้ำหนักระหว่างมาตรา 49 และ 92 ที่อันหนึ่งมีไว้ป้องกันและอีกอันใช้ประหาร แค่มีคำว่าล้มล้าง แต่โทษก็มีสัดส่วนไม่เหมือนกันขึ้นกับดุลพินิจ เพราะอันหนึ่งแค่ตักเตือนอีกอันไว้ยุบพรรค และริดรอนสิทธิในการเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่เชื่อว่าศาลจะให้ความยุติธรรม และให้น้ำหนักมากกว่า มาตรา 49 ที่พิจารณาไปแล้ว ยืนยันว่าไม่กังวลคดียุบพรรค เพราะได้ตรียมการมานานแล้ว” นายพิธา กล่าว
  
นายพิธา กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำงานของก้าวไกลเหมือนการเขียนหนังสือ เรื่องอุดมการณ์ ปณิธานและคะแนนเสียงที่ประชาชนให้มา 14 ล้านเสียง ไม่ว่าจะมีพรรคก้าวไกล มีตนหรือไม่มีตน ก็พร้อมทำงานต่อไป ไม่คิดเรื่องคะแนนเสียงครั้งหน้าเพราะเร็วเกินไป แต่ที่จำได้ไม่ลืมคนเชียงใหม่ออกมาใช้เสียงกว่าร้อยละ 80 และพรรคก็ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 ได้ ส.ส.ถึง 7 เขต จึงไม่มองอนาคตแต่มองปัจจุบันและอดีตที่ชาวเชียงใหม่ให้ความไว้วางใจเรา แม้เวลาผ่านไป 8 เดือนแล้ว ก็ยิ่งตอกย้ำเหตุผลว่า ทำไมทั้งอดีตนายกและนายกต้องลงมาในพื้นที่ในเวลาที่พี่น้องชาวเชียงใหม่ลำบากที่สุด



“พิธา” ไม่กังวลหากศาลรธน.ยุบก้าวไกล-ยันเดินหน้าต่อ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_690498/

“พิธา”ไม่กังวลหาก ศาล รธน.ยุบพรรคก้าวไกล ยันเดินหน้าต่อ เตรียมแผนสำรองไว้นานแล้ว แต่เชื่อศาลจะให้ความยุติธรรม
 
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ยื่นยุบพรรคก้าวไกลว่า มีทีมเตรียมข้อมูลโดยแบ่งเป็น 2 ก้อน คือ คดีของ กกต.และคดีของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งกำลังไล่ดูว่า รายละเอียดของ กกต. ยังขาดอะไรอยู่บ้าง และ ป.ป.ช. หากเทียบกับคดีที่ศาลฎีกาเมื่อสมัยก่อนในการตัดสินคดีของนางสาวพรรณิการ์ วานิช หรือนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ รวมถึงนายสิระ เจนจาคะ ใช้เวลาเท่าไหร่
 
ทั้งนี้ ทาง ป.ป.ช. ใช้เวลาเท่าไหร่เราก็ทำงานกลับและเตรียมอธิบายสู้คดี เรื่องเกี่ยวกับน้ำหนักไม่ว่าจะเป็นมาตรา 49 ที่ตัดสินไปเมื่อวันที่ 31 มกราคม และมาตรา 92 อันหนึ่งเป็นมาตรฐานที่ไว้ใช้ป้องกันอีกอันเป็นมาตรฐาน ที่ใช้ประหารพรรคการเมือง น้ำหนักมันคนละอนุมาตรากัน สมมุติแม้จะมีคำว่าล้มล้างเหมือนกันแต่ไม่ได้หมายความว่าโทษจะได้สัดส่วนเหมือนกัน
 
เราจะต้องมีดุลยพินิจว่ามาตราหนึ่งมีไว้แค่ตักเตือน บอกให้หยุดการกระทำแต่อีกมาตราหนึ่งมีไว้เพื่อที่จะยุบพรรค และนำไปสู่การริดรอนสิทธิทางการเมือง ในการลงเลือกตั้งครั้งต่อไป และเชื่อว่าศาลจะให้ความยุติธรรม และให้น้ำหนักมากกว่าเรื่องของมาตรา 49
 
นายพิธา ยังยืนยันว่า ไม่มีความกังวล หากศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล เพราะเราต้องเตรียมการทำงานล่วงหน้าสำหรับการทำงานของพรรคก้าวไกล คิดว่าเหมือนกับการเขียนหนังสือ มีชัตเตอร์ที่ 1 ชัตเตอร์ที่ 2 ชัตเตอร์ที่ 3 แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอุดมการณ์ ปณิธาน และนโยบาย
 
ที่พี่น้องประชาชนให้มา 14 ล้านเสียง เราก็เดินหน้าต่อแน่นอน ไม่ว่าจะมีพรรคก้าวไกลหรือไม่มีพรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะมีผลหรือไม่มีผล ดังนั้น แสดงว่าเตรียมแผนรองรับหากศาลมีคำพิพากษาออกมาแล้วใช่หรือไม่ นายพิธา ย้ำว่า “เตรียมมานานแล้ว



ค้าปลีกภูธรวุ่น สแกนใบหน้าฉุดรูด ’บัตรคนจน’ ลดฮวบ ชี้ ยอดขายฝืดหนัก เหล้า-เบียร์ร่วง20%
https://www.matichon.co.th/economy/news_4475100

ค้าปลีกภูธรวุ่น สแกนใบหน้าฉุดรูด ’บัตรคนจน’ ลดฮวบ ชี้ ยอดขายฝืดหนัก เหล้า-เบียร์ร่วง 20%
 
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า หลังจากกระทรวงการคลังให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐต้องมีการสแกนใบหน้าควบคู่กับการใส่รหัสคู่บัตร (PIN Code) จำนวน 6 หลัก ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป ขณะนี้ที่ร้านประสบปัญหาแล้ว เนื่องจากขั้นตอนยุ่งยากมากขึ้น ทำให้การใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐลดจากเดิมเคยได้วันละ 300 ใบ เหลือ 80 ใบ และคาดว่าช่วงต้นเดือนซึ่งเป็นช่วงเงินเดือนออก จะทำให้เกิดความโกลาหลมากขึ้นอย่างแน่นอน
 
นายมิลินทร์ กล่าวว่า อีกปัญหาที่พบคือ ผู้ป่วยติดเตียงที่ได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่สามารถเดินทางมากได้ จะมีผู้ถือบัตรมาแทนนั้น พบว่าก็มีปัญหาเช่นกัน เพราะไม่สามารถสแกนแทนได้ ต้องมีใบรับรองจากโรงพยาบาลว่าเป็นผู้ป่วยติดเตียงจริง และต้องนำไปรับรองดังกล่าวยืนยันกับธนาคารเพื่อดำเนินการอนุมัติ ถึงจะสามารถรูดบัตรแทนได้ ดังนั้นในขณะนี้ผลจากการปรับเกณฑ์ใหม่ ได้สร้างความวุ่นวาย และสร้างภาระให้กับประชาชนผู้ถือบัตรอย่างมาก รวมถึงระบบเทคโนโลยีที่รองรับยังไม่มีความทันสมัยมากพอ
 
นายมิลินทร์ กล่าวถึงกรณีที่มีการผ่านร่าง พ.ร.บ.บัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และมีการควบคุมการโฆษณาว่า เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ทางภาครัฐต้องไปแก้ที่ต้นทางคือเรื่องของอุบัติเหตุ ที่ต้องมีการออกกฎหมายให้เข้มขึ้นมากขึ้น และยังเป็นการสวนทางกับนโยบายภาครัฐที่ต้องการจะกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว แต่ยังมีกฎระเบียบออกมาคุม จะทำให้ภาคธุรกิจทำงานยากลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะการควบคุมเวลาจำหน่ายนั้น ควรจะมีการเปิดขายอย่างเสรีได้แล้ว ทั้งนี้จากการคุมโฆษณาจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างตั้งแต่วงการโฆษณาจนถึงเด็กเชียร์เบียร์ที่จะเริ่มเห็นน้อยลงไปเรื่อยๆ
 
ตอนนี้กำลังซื้อค้าปลีกไม่ดีทั้งประเทศ มีคึกคักบ้างช่วงเทศกาล แต่แค่ไม่กี่วัน อย่างที่ร้านยอดขายตก 15-20% ทุกรายการสินค้า รวมถึงยอดขายเหล้าและเบียร์ด้วยที่ตก 20% และตกต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน และแนวโน้มในปี 2567 นี้น่าจะยังไม่ฟื้นตัว เพราะคนไม่มีรายได้เพิ่ม รัฐยังไม่มีมาตรการด้านเศรษฐกิจออกมากระตุ้น เพื่อให้คนมีแรงจับจ่ายใช้สอย” นายมิลินทร์ กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่