หมู่บ้านนี้ไม่มีกระทือ (ท่อนที่๑)

กระทู้สนทนา
เรื่อง : หมู่บ้านนี้ไม่มีกระทือ (ท่อนที่๑)
โดย : ละเว้

ผมชื่อมาร์ก อายุสิบขวบ หมู่บ้านสระธมที่ผมอาศัยอยู่นี้อาจไม่เหมือนที่อื่นนัก ความว่างเปล่าของเนินดินมีแต่กรวดหินสีแดงตัดสีสดของท้องฟ้า กับแอ่งน้ำขนาดใหญ่เห็นได้ทั่วไปนั้น อาจเป็นภาพชินตามาตั้งแต่เกิดก็จริง แต่นั่นแหละมันไม่เหมือนที่อื่น 

ผมพอรู้บ้างเหมือนกันว่าทำไมหมู่บ้านนี้จึงไม่เหมือนที่อื่น อาจเกี่ยวกับเรือรบของผมกับไอ้มอสนี่ด้วย

.
วันนี้ฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก มันครึ้มแบบนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ก็เอาแน่ไม่ได้หรอก มันนึกอยากตกก็ตก นึกไม่อยากตกมันก็ไม่ตก พ่อมักบ่นแบบนี้บ่อยจนผมจำได้ขึ้นใจแล้ว และไม่ว่าฝนจะตกหรือจะแล้ง หมู่บ้านของเราก็มีแต่ความร้อนระอุอยู่ดี มันดูจะทุเลาลงบ้างก็ช่วงฝนกำลังตกอยู่เท่านั้น ฝนหยุดก็กลับมาร้อนเหมือนเดิมอีก ยิ่งตกค่ำกลับยิ่งร้อน ดีว่าเรือรบของเรานั้นอยู่ใต้ต้นมะม่วงข้างบ้านพอดี มันจึงเป็นที่อาศัยหลบแดดยามบ่ายของเราได้บ้าง

“นั่นเป้าหมาย โจมตี” ผมร้องตะโกนชี้มือออกคำสั่ง

“ปัง ปัง ปัง” ไอ้มอสส่งเสียงรับพร้อมเหนี่ยวไกใส่เป้าหมาย

บ้านไอ้มอสอยู่ตรงชายเนินต่ำลงไปจากบ้านผม เราต่างเป็นเพื่อนเล่นกัน

“ปัง ปัง ปัง” ผมส่งเสียงและทำท่ายิงออกไปจากไม้ในมือเช่นกัน เป้าหมายของเราคือรถยนต์ที่แล่นฝุ่นฟุ้งผ่านไป 

บ้านของเราไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ เส้นทางซอยหน้าบ้านยังเป็นทางลูกรัง เมื่อมีรถวิ่งผ่านแต่ละครั้งจะเกิดฝุ่นฟุ้งกระจายเข้ามา แม้ว่าแต่ละวันจะไม่ค่อยมีรถผ่านมาสักเท่าไรนัก แต่นั่นก็พอทำให้หลังคาบ้านของเราถูกเคลือบไปด้วยฝุ่น กระทั่งใบมะม่วงเหนือหัวนี่ด้วย มันมีแต่ฝุ่นเกาะจนแทบไม่เห็นสีจริง ยังรวมถึงทุกสิ่งอย่างทั้งในบ้านนอกบ้านที่ฝุ่นมันจะเกาะได้อีกด้วย
.
“ไอ้เอิ๋งอยู่หรือป่าว”

รถเครื่องคันนั้นฝ่าฝุ่นฟุ้งมาจอดตรงริมทางหน้าบ้าน แล้วผู้หญิงอ้วนดำที่ผมไม่คุ้นตาเอาเสียเลยก็ตะโกนถามหาพ่อ 

พ่อผมชื่อเอิ๋ง หลายฅนบอกว่ามันฟังดูแปลก ๆ ผมไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหนเลย มันแค่แปลกสำหรับที่อื่น แต่ที่นี่มันก็เหมือนชื่อเติ๋ง ชื่อป๊อย ชื่อเท้ว ชื่อมอส หรือชื่อมาร์กของผมนั่นแหละ

“ใครนั่นไอ้ม้าก” ไอ้มอสกระซิบถาม ผมตะโกนตอบผู้หญิงฅนนั้นไม่ทันได้สนใจมัน 

“ไม่อยู่ครับ”

“เอาก้ะทือมาฝากหน่ะ มาเอาไปหน่อยไม่ได้แวะแล้ว” 

หญิงฅนนั้นพูดพลางชูถุงที่ดึงออกจากตะกร้าหน้ารถขึ้นมา กระทือเหรอ เคยได้ยินชื่อของมันอยู่เหมือนกัน ผมรีบปีนลงจากเรือรบไปรับถุงนั้นมา

“ไอ้ม้ากเหร่อเนี่ย เป็นหนุ่มแล้วนี่หน่า”
ผมยิ้มรับคำทักทายขณะรับถุงกระทือ ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ไม่รู้จักว่าเป็นใครเลยนี่นา

.
“เอ๊อหน่อ เป็นบุญเป็นกุศลสงาดเลยวันนี้ได้กินก้ะทือ” พ่อพูดกับความดีใจเมื่อได้เห็นของฝาก ใบหน้าย่น ๆ ของพ่อดูยับย่นได้อีกเมื่อฉีกยิ้มออกมา แต่ไม่ว่าอย่างไรพ่อก็ดูใจดีสำหรับผมเสมอ

“ไม่ได้กินมานานเท่าไรแล้วล่ะนี่หือ จะตำน้ามพริกให้อร่อยเลยวันนี้” แม่พูดพลางจับถุงกระทือชูขึ้นดู แม่ผมแม้จะดำแต่ไม่อ้วนเหมือนผู้หญิงฅนนั้น ติดจะผอมสักหน่อยด้วย แม่ใจดีสำหรับผมเช่นกัน

และกระทือที่อยู่ในถุงนั้นดูไปแล้วไม่ต่างจากต้นข่าสักเท่าไรเลย ทำไมพ่อกับแม่ต้องมีท่าทีดีใจกันขนาดนี้ด้วยนะ ผมอดสงสัยไม่ได้

.
เย็นนี้พ่อขุดหลุมหน้าบ้านเพื่อแบ่งกระทือที่ได้มาลงปลูก แม้แม่จะบ่นพึมพำว่าปลูกไปก็ไม่ขึ้น แต่พ่อดูจะไม่ได้ใส่ใจนัก พ่อเอาปุ๋ยเคมีคลุกดินก้นหลุมก่อนเอากระทือลง เหยียบดินรอบโคนแล้วรดน้ำให้มัน ข้างแก้มของพ่อยับย่นแววตาเป็นประกายขณะทำงานของท่าน

.
“นึกถึงเมื่อก่อนหน่อ ถึงคราวอดอยากยังไงก็ยังมีก้ะทือนี่แหละ” แม่ชวนคุยขณะจิ้มกระทือลงในถ้วยน้ำพริก เรากำลังล้อมวงกินข้าวเย็นกัน

“ฮื้อ…” พ่อทำเสียงดังลากยาวก่อนพูดต่อ 

“แค่หน้าบ้านนี่เข้าหน้าฝนทีก็กินกันไม่หวาดไม่ไหวแล้ว” พยักหน้าประกอบคำพูดออกไปด้วย

เห็นท่าทางการกินกระทือของพ่อกับแม่แล้ว ผมอดไม่ได้ที่จะหยิบท่อนกระทือต้มในจานมาปอกเปลือก จับพับทบก่อนจิ้มกับน้ำพริกลองกินดู 

รสชาติบอกไม่ถูก มันไม่อร่อยเลยจริง ๆ พ่อกับแม่ชอบกินกันได้อย่างไรไม่รู้สินะ

“อร่อยจ้ะตายไป” พ่อบอกว่ามันอร่อยจะตายพลางหัวเราะขำท่าทางของผม

“ฅนโบราณเขาก็กินผักกินหญ้ากันแบบนี้แหละ” พ่อยังคงพูดต่อ “ปูปลาหาเอาในนา ผักหญ้าหาเก็บตามป่า”

แล้วเรื่องราวเก่า ๆ ที่ฟังดูนานแสนนานจนผมไม่อาจนึกได้ว่ามันผ่านไปแล้วกี่ปีเดือน ก็กลายเป็นเรื่องพูดคุยในวงข้าวของเรา อดีตต่าง ๆ ถูกขุดคุ้ยขึ้นมา เหมือนว่ากระทือได้พาท่านทั้งสองย้อนคืนวันอย่างไรอย่างนั้นเลย สองฅนต่างคุยไปยิ้มไป ผมอดมีความสุขกับเรื่องราวเก่าๆ ของท่านไปด้วยไม่ได้

.
“พ่อเคยไถนาด้วยเหรอพ่อ” ผมเอ่ยถามเรื่องที่ได้ฟังในวงข้าวเมื่อเย็นวาน ขณะพ่อกำลังรดน้ำกระทือหน้าบ้าน แค่คืนเดียวมันก็เริ่มแทงยอดขาว ๆ ออกมาแล้ว ไหนแม่บอกว่ามันปลูกไม่ขึ้นนะ

“เคยซี่ ตอนยังเด็กหน่า บ้านพ่อมีนาใหญ่กว่าฅนอื่นเลยหน่า มีควายสี่ตัวด้วย” พ่อยืดตัวจากการก้มรดน้ำพลางตอบออกมา ชี้มือไปยังพื้นที่ราบต่ำมีบึงน้ำขนาดใหญ่ห่างหน้าบ้านออกไป

“ตรงนั้นแหละมันเคยเป็นทุ่งนามาก่อน”

บึงน้ำบนพื้นที่ราบห่างออกไปนั้น ผมวาดภาพทุ่งนาตามความคิด เห็นพ่อไล่ควายไถนาตอนเด็กแล้วยิ้มออกมาได้ ผมน่าจะได้ไถนาแบบพ่อบ้างนะ

และผมยังคงซักถามถึงเรื่องราวเก่า ๆ ของท่าน พ่อผมชอบเล่านิทานให้ฟังในบางครั้งอยู่แล้ว ผมจึงได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากของพ่อ... 

พื้นที่ราบชายเนินนั้นเคยเป็นนา เนินดินแดงรอบตัวก็เคยมีแต่ป่า มีสัตว์ป่ามากมาย พ่อพูดถึงทากดูดเลือด พูดถึงกระจงที่ผมไม่รู้จัก เล่าถึงเก้งกวางที่ชอบวิ่งออกทุ่งให้ชาวบ้านไล่จับไล่ยิงกันในวันที่ปะเหมาะเคราะห์ดี พ่อบอกว่าเก้งนั้นฅนบ้านเราจะเรียกว่าฟาน บางครั้งมันก็มานอนในป่าหลังบ้านจนเป็นปลัก 

หลังบ้านเราเคยเป็นป่าขนาดมีเก้งมานอน ผมแทบนึกภาพไม่ออกเลย เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ดูแห้งแล้งจากเนินดินแดง มีต้นไม้บ้างก็ต้นสองต้นโด่เด่กลางที่โล่งเตียน หรือเป็นหย่อมบริเวณริมน้ำนั่นเท่านั้น มันช่างขัดกับคำบอกเล่าของพ่อเสียจริง ๆ 

.
นกกระปูดที่พ่อชอบเรียกว่านกกรดร้องเสียงดังตอนที่ท่านยืนอยู่หน้าบ้าน มองดูต้นกระทือของท่าน มันแทงยอดแตกใบเล็ก ๆ ออกมาได้สองใบ แล้วก็เหมือนจะหยุดอยู่แค่นั้น ตอนนี้มันดูแคระแกร็นอยู่กับที่ หรือมันจะปลูกไม่ขึ้นอย่างแม่ว่า แม้พ่อจะพยายามรดน้ำให้มัน บางครั้งมีปุ๋ยเคมีหว่านให้ด้วย แต่มันดูจะค่อยเติบโตอย่างเชื่องช้ามากเลย

“ปลูกก้ะทือยังไม่อยากจ้ะขึ้น แล้วจ้ะไปปลูกอะไรได้ ที่นี่มันแย่จริง ๆ เลย” พ่อบ่นพึมพำอยู่ฅนเดียวกับต้นกระทือหน้าบ้าน

รถปิกอัปที่วิ่งมาจอดไม่ห่างจากพ่อยืนอยู่นั้น เมื่อประตูฝั่งผู้โดยสารเปิดออก ผมจึงเห็นได้ว่าเป็นผู้หญิงอ้วนดำฅนนั้นเอง ผู้หญิงฅนนั้นกับผู้ชายที่ขับรถมากล่าวทักทายกับพ่อ ต่างฅนต่างเสียงดังใส่กันทีเดียว แม่ออกมาทักทายพวกเขาด้วยเช่นกัน

“เอ้าไอ้ม้าก มาไหว้อาเอ็งนี่ นี่หน่ะอาเอ็งหน่าจำไว้” แม่แนะนำว่าสองฅนนั้นเป็นอาของผมเอง แต่คงไม่ใช่อาแท้ ๆ ของผมหรอก น่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้อง ญาติห่าง ๆ หรือไม่ก็แค่ฅนรู้จักเสียมากกว่า พ่อและแม่ชอบแนะนำใครต่อใครว่าเป็นน้าเป็นอาผมอยู่ตลอดนั่นแหละ

“นี่ปลูกก้ะทือด้วยเหร่อ” ผู้หญิงอ้วนดำที่แม่ให้ผมเรียกว่าอาจิตรร้องทักเมื่อเหลือบเห็นต้นกระทือของพ่อ

“ใครที่ไหนเขาต้องปลูกก้ะทือกินกัน” อาจิตรพูดไปหัวเราะขำไป

“เออ ก็ฅนที่นี่แหละวะ” พ่อทำขึงขังเสียงดังใส่ แต่ก็หัวเราะไปด้วย

“บอกแล้วสี ชวนไปทำสวนด้วยกันก็ไม่เชื่อนี่โหวย แถมมีที่ดินดี ๆ ก็ทำให้มันเสียกันเช่ด บ้าแต่เพชรแต่พลอยแล้วก็ต้องมาปลูกก้ะทือกิน” สามีของอาจิตรที่แม่บอกว่าชื่อปึ่งเอ่ยขึ้น “ละปลูกแบบนี้มันจะได้กินได้ไง ดูดู๋ มันอยากจะโตมั้ยล่ะนั่น”

“ก็ปลูกไปตามมีตามเกิดนั่นแหละวะ” พ่อตอบก่อนพาแขกของท่านเข้าบ้าน ผมมานั่งหลบอยู่มุมหนึ่งฟังพวกเขาคุยกัน

.
อาปึ่งเหลือบมองโดยรอบก่อนหย่อนตัวลงนั่ง หันมองเนินดินแดงแล้วพูดขึ้น

“เป็นเมื่อก่อนนี่ไม่ได้เงียบแบบนี้ด็อก เสียงแม็กโครเสียงแย็กดังกระหึ่มทั้งวันทั้งคืนเลยนั่นแหละ” อาปึ่งพูดถึงแบ็กโฮและสิ่งที่อยู่ข้างบ้านผมนั่นแหละ

“ไม่ต้องพูดด๊อกตอนนั้นน่ะ ฅนนี่ไม่รู้มาจากไหนกันนัก ทั้งมอญทั้งแม่สอด ยั้วเยี้ยไปหมด” อาจิตรพูดขึ้นบ้าง และแม่สอดที่อาจิตรพูดถึงก็คือฅนที่มาจากอำเภอแม่สอดจังหวัดตาก พ่อบอกว่ามันอยู่ฅนละฟากประเทศกับเราเลย รวมถึงฅนมอญที่มาจากเมียนมาร์หรือพม่าด้วยเช่นกัน

“แม่ค้าแม่ขายอยู่ถึงไหน ๆ ก็มาค้ามาหาบของขายกัน พอพลอยหมดฅนก็หมด หายกันเช่ด อะไร ๆ ก็หมด ทั้งหมู่บ้านเหลือแต่ดินแดง ๆ นี่แหละ” อาจิตรยังคงพูดต่อ

.
ฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตกอีกแล้ว แต่คงเอาแน่ไม่ได้อย่างที่พ่อบอก และพ่อยังคงนั่งพูดคุยกับแขกของท่าน

“เอาจริงเลยหน่า ข้าสารภาพตามตรงเลย” พ่อพูดเบา ๆ ออกมากับท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อยนั้น “ตอนที่เอ็งบอกว่าฅนทำพลอยมันไม่มีทางรวยนานน่ะ ข้าโกรธเลยหนะที่โดนดูถูก” พ่อหยุดระบายลมหายใจออกมาก่อนกล่าวต่อ 

“ถ้าลืมตัวน้อยลงหน่อย แล้วเชื่อเอ็งบ้างตอนนั้น หาซื้อที่ทำสวนไว้บ้างก็คงจ้ะดี ไม่ต้องมาดักดานอยู่ในที่กันดารแห้งแล้ง ไม่ต้องมาปลูกก้ะทือกินแถมไม่ได้กินแบบนี้ด้วย”

“เออน่า ตอนนั้นมันคงไม่มีใครนึกกันด็อก” อาปึ่งพูดออกมาเบา ๆ เช่นกัน “ทุกฅนคิดแต่ว่าเงินหาง่าย ได้มาก็ใช้ไป ไม่ได้คิดกันด็อกว่าหมดพลอยแล้วจะเป็นยังไง จำยายปิ้งได้มั้ยเล่า” อาปึ่งถามพลางจ้องหน้าพ่อแล้วพูดต่อ “ขายที่ได้เป็นล้าน ดีใจสงาด ขนาดปีนต้นไม้ตะโกนว่าชาตินี้กูไม่จนแล้วโว้ย แล้วตอนนี้เป็นไงเล่า หมดเช่ด เหลือแค่ที่ซุกหัวนอน”

เรื่องที่อาปึ่งพูดนั้นพ่อเคยเล่าให้ผมฟังอยู่เหมือนกัน ที่จริงมันกลายเป็นเรื่องเล่าคู่กับตำนานเหมืองพลอยของหมู่บ้านไปแล้วนั่นแหละ

“ไอ้ข้านี่มันก็ไม่แน่ด็อก” อาปึ่งยังคงพูดต่อ “ถ้ามีที่มีพลอยอย่างเขาบ้างก็ไม่รู้ว่าจะยังไงเหมือนกัน แต่ก็อย่างว่า ข้าเองก็ชอบทำไร่ทำสวนไม่ชอบวุ่นวายอะไรด้วย เห็นเขารวยกันก็เลยไม่ค่อยเสงิดเท่าไร”

ตอนนี้พ่อได้แต่นั่งฟังอาปึ่งพูดไป

“จ้ะว่าไปมันก็เหลือเชื่อเหมือนกันหน่า สระธมนี่มันบ้านป่าบ้านดอยชัด ๆ อยู่ไกลติดเขมรเถรเท่ มีบ้านนับได้กี่หลัง ไม่มีวัดไม่มีโรงเรียน พอมีพลอยก็กลายเป็นชุมชนใหญ่โต คิดดูสิ ทางถนนไปบ่อไร่ยังต้องย้ายมาผ่านนี่แทน”

พ่อเคยเล่าให้ฟังว่าตรงหน้าโรงเรียนของผมนั้น เคยมีเส้นทางเก่าไปตัวอำเภอ ก่อนจะตัดใหม่ผ่านหมู่บ้านของเราแทน

“อย่าว่าแต่ถนนเลย” พ่อพูดขึ้นบ้าง “แม้แต่คลองโสน ถ้ามีใครอยากได้แร่ก้นคลอง น้ำทั้งสายยังต้องเปลี่ยนทาง”

“ก็นั่นแหละ” อาปึ่งรับคำพ่อ “พอพลอยเข้ามาทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด ไม่ว่าพื้นที่หรือผู้ฅน มีแต่เหมือง มีแต่ฅนรวย พวกนักเลงกับเสี่ยเหมืองพลอยนี่ไม่รู้มาจากไหนกันนัก”

“อย่าเอ็ดไป ตรงนี้ก็มีฅนนึงหนะเสี่ยเหมืองพลอย” อาจิตรทำเสียงกระเซ้า พ่อได้แต่ยิ้มและพูดออกมาเบาๆ เช่นเคย...

(โปรดติดตามท่อนต่อไป)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่