ก้าวไกล ซัด ทร. เตะถ่วง-ตั้งใจล้มกู้เรือรบ จ่อชงเรื่องเข้า กมธ.ทหารฯ อาทิตย์นี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4443190
“ชยพล ก้าวไกล” ซัด ทร. เตะถ่วง-ตั้งใจล้มกู้เรือ อ้างจัดซื้อจัดจ้างเอกสารไม่ครบ ชี้ การกู้เรือเป็นจิ๊กซอว์ให้เห็นสาเหตุแท้จริง เผย งบ 67 เขียนขอมาแล้ว อ้างไม่มีงบไม่ได้ จ่อชงเรื่องเข้า กมธ.การทหารอาทิตย์นี้
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 ก.พ. 2567 ที่ พรรคก้าวไกล พรรคก้าวไกลจัดแถลงข่าว Policy Watch โดยนาย
ชยพล สท้อนดี ส.ส.กทม. ในหัวข้อนิราศ (เรือหลวง) สุโขทัย จากเรือรบสู่ปะการังเทียม เพื่อตั้งข้อสังเกตและเสนอแนะต่อการกู้เรือหลวงสุโขทัย
นาย
ชยพล กล่าวว่า ปีที่แล้วเกิดเหตุการณ์เรือสุโขทัยอับปางลง จนสูญเสียกำลังพลมากกว่า 20 นาย ยังคงสูญหายอยู่อีก 5 นาย เรือรบอันทรงเกียรติมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาทหายไปกับท้องทะเล ซึ่งก่อนหน้านี้ นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลได้เคยอภิปรายถึงประเด็นการล่มของเรือหลวงสุโขทัยไว้ โดยสรุปใจความปัญหาได้ 3 ประเด็น คือสภาพอากาศ ที่รายงานกองทัพเรือได้รายงานว่าคลื่มลมจะสูงประมาณ 2.5 เมตร แตกต่างจากรายงานของเอกชน ที่ระบุไว้ว่าคลื่นจะสูงถึง 6 เมตร
นาย
ชยพล กล่าวว่า รวมถึงสภาพความพร้อมของเรือ เนื่องจากเรือหลวงสุโขทัย มีการของบประมาณในการซ่อมบำรุงมาโดยตลอด แต่ก็ยังคงมีปัญหาอยู่หลายจุด และประการสุดท้าย เป็นความผิดพลาดของการสั่งการ เพราะเมื่อดูจากแผนที่แล้ว จุดที่เรือหลวงสุโขทัยล่ม จะใกล้กับท่าเรือบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ทำไมถึงได้ยังคงสั่งการให้เรือฝืนสังขาร ห้ามล่มห้ามจม แหวกพายุกลับไปสัตหีบ จนนำมาสู่การอัปปางในที่สุด
นาย
ชยพล ระบุว่า ปัญหาสำคัญของเรือหลวงสุโขทัย คงหนีไม่พ้นเรื่องการซ่อมบำรุงเรือที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น เรื่องการซ่อมบำรุงแผ่นเหล็กที่ถูกกร่อนจนบางต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งรวมๆแล้วเรือหลวงสุโขทัยมีคิวรอการซ่อมอยู่ถึง 19 รายการ จึงเป็นเหตุอันเชื่อได้ว่าเรือนั้นไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน แต่กลับฝืน เพราะอยากออกไปร่วมภารกิจที่ไม่ใช่เรื่องการรบ แต่เป็นเพียงงานพิธีการ
นายชยพล กล่าวว่า จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้วที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น ตนอยากขอเชิญทุกคนร่วมกันย้อนดูท่าทีของกองทัพเรือตลอด 1 ปีที่ผ่านมากันบ้าง เพื่อจะได้ช่วยกันวิเคราะห์ถึงเจตนาอันแท้จริง ว่ากองทัพเรือนั้นคิดอะไรอยู่
โดยภายหลังเกิดเหตุการณ์ในวันที่ 18 ธ.ค. 2565 อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เรียกประชุมด่วนเพื่อแก้ไขปัญหา โดยได้เริ่มกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริงกันในวันที่ 20 ธ.ค. 2565 และลงนามตั้งกรรมการสอบสวนกันในวันที่ 26 ธ.ค. 2565
จากนั้นประมาณวันที่ 11 ม.ค. 2565 กองทัพเรือได้เริ่มเปิดให้บริษัทได้ยื่นซองประมูลโครงการกู้เรือหลวงสุโขทัยเป็นครั้งแรก มีการแจ้งว่าผลการสอบสวนมีความคืบหน้าไปกว่า 90 เปอร์เซนต์ ขั้นตอนของการสอบปากคำพยานทั้งหมดเกือบ 300 คนเสร็จสิ้น เหลือเพียงแค่การกู้เรือ เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบ ซึ่งกองทัพเรือคาดว่าจะเริ่มกู้เรือกันได้ในเดือน เม.ย. ปี 2566 เป็นอย่างช้า โดยระหว่างนี้มีการตั้งข้อสังเกตจากนาย
จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์
สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ว่ามีการล็อคสเป็กในการจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่ ทำให้นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ต้องออกมาขอสอบสวนหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
นาย
ชยพล กล่าวต่อว่า จากนั้นช่วงวันที่ 21 ก.ย. 2566 จู่ๆ กองทัพเรือก็เริ่มต้นกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างใหม่ทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่าเอกสารไม่ครบ ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ค้านสายตาคนรอบข้างมาก เพราะสามารถส่งภายหลังได้ จนกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ต้องขอเชิญกองทัพเรือเข้ามาชี้แจง เพราะการขาดเอกสารที่ไม่ใช่ใจความสำคัญนั้นสามารถยื่นตามทีหลังมาได้ ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งกระบวนการให้ต้องเสียเวลา ทั้งที่กองทัพเรือเองก็ย้ำมาตลอดว่าการกู้เรือเป็นภารกิจด่วน แต่ทำไมกลับล้มกระดานเอาเสียเอง ทำให้ต้องเริ่มต้นนับจากหนึ่งใหม่ ซึ่งตนได้ตรวจสอบการทำข้อกำหนดและขอบเขตการจัดซื้อจัดจ้าง (TOR) ก็พบว่าเป็นอะไรที่ค้านสายตา เพราะเป็นการจ้างกู้และลำเลียงเรือหลวงสุโขทัยที่อับปางไปที่สัตหีบ จ.ชลบุรี ปรับแต่งสภาวะตัวเหลือให้มีความปลอดภัยลอยลำได้ด้วยตัวเอง
“
เขาก็บอกว่าให้บริษัทที่จะมากู้เรือ ให้กูเรือขึ้นมาในใกล้เคียงกับตัวรีพอร์ต เพื่อให้ชัวร์ว่าหลักฐานจำไม่ผิดแปลกอะไร สิ่งที่น่าสนใจผมจะขอไฮไลท์เรื่องการปรับแต่งสภาวะเรือให้ลอยลำได้ด้วยตัวเอง นึกภาพออกหรือไม่ครับ ล่ม เพราะน้ำเข้าเรือ แต่บอกให้กู้เรือขึ้นมา บอกให้ปรับแต่งสภาวะให้เรือลอยลำได้ด้วยตัวเอง มันจะไม่เป็นการยุ่งกับหลักฐานได้อย่างไรครับ” นาย
ชยพล กล่าว
นาย
ชยพล ยังกล่าวว่ามีเอกสารจาก JUSMAGTHAI ซึ่งหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดูแลการใช้งานยุทโธปกรณ์ของสหรัฐอเมริกาภายในประเทศไทย 2 ฉบับ มีเนื้อหาคือการทวงถามรายงานข้อเท็จจริงในกรณีเรือหลวงสุโขทัยอัปปาง และการเตือนว่าตามสัญญาการใช้ยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกา ก่อนจะให้บุคคลที่สามมายุ่งกับยุทโธปกรณ์ของสหรัฐได้ ต้องได้รับคำยินยอมจากรัฐบาลของสหรัฐก่อน
นาย
ชยพล ย้ำว่า JUSMAG ก็ได้ส่งหนังสือมาแจ้งกองทัพเรือไทย ให้ทำตามข้อตกลงการใช้อาวุธ โดยส่งหนังสือมาครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2566 โดยระบุว่าให้ส่งรายงานโดยระบุข้อมูลคือ วันที่เกิดเหตุ ข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การแก้ไขข้อผิดพลาดโดยกองทัพเรือ และข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
ซึ่งทางอเมริกาก็รอกองทัพเรือไทยมาเกือบปี ถึงส่งจดหมายทวงถามอีกฉบับในวันที่ 1 ธันวาคม 2566 โดยมีเนื้อหาย้ำตามเดิม แสดงว่าที่ผ่านมาตลอด 1 ปี กองทัพเรือ นอกจากจะประวิงเวลา เตะถ่วงเรื่องของการกู้เรือแล้ว ก็ยังคงช้าเรื่องของการสรุปข้อเท็จจริงที่ควรต้องชี้แจงให้กับประชาชนและกับประเทศคู่ค้าด้วย
นาย
ชยพล กล่าวว่า ที่ผ่านมาตลอด 1 ปี กองทัพเรือไทยไม่ได้สื่อสารกับกองทัพอเมริกาเท่าที่ควร จนต้องออกจดหมายเตือน เพื่อย้ำให้ชัดอีกครั้ง ส่อเจตนาเหมือนจงใจวางกับดักให้ตัวเองต้องสะดุด เพื่อผลัดวันต่อ ไม่ให้กู้เรือได้สักที หากไม่ได้เปิดข้อมูลเอกสารตรงนี้ กองทัพเรือไทยก็คงเดินหน้าประมูลราคาต่อ เพื่อรอล้ม ที่ผ่านมา ผบ.ทร. ไม่มีการระบุว่ากองทัพเรือสหรัฐจะร่วมการกู้เรือครั้งนี้ หรือจะยังคงมีการกู้เรืออยู่หรือไม่
การกู้เรือ เพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาเหตุการล่มของเรือหลวงสุโขไทย เป็นจิ๊กซอว์ที่สำคัญ ที่ต้องมีเท่านั้น ถึงจะสามารถเปิดรายงานข้อเท็จจริงทั้งหมดให้กับประชาชนได้ ตนไม่เข้าใจ เมื่อมิตรประเทศอย่างสหรัฐได้มาถึงที่แล้ว ทำไมให้ช่วยไม่สุดทาง ทำไมถึงจบแค่การปลดอาวุธ แต่ไม่กู้จิ๊กซอว์นี้ขึ้นมา ตอนนี้ท่าทีของกองทัพเรือเอง ไม่มีความชัดเจนเลยว่าจะยังกู้อยู่หรือไม่ ขัดกับคำพูดตลอด 1 ปีที่ผ่านมาที่ขอให้ทุกคนอดใจรอไม่นาน จะกู้เรือขึ้นมาอย่างแน่นอน
นาย
ชยพล กล่าวว่า จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น คงต้องถามจริงๆว่าเรายังคาดหวังความชัดเจนจากกองทัพเรือได้อยู่หรือไม่ เรสมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องขอให้กองทัพเรือออกมายืนยันให้ชัด ว่าสรุปแล้วเราจะได้รู้ความจริงกันเมื่อไหร่
นาย
ชยพล ยังกล่าวว่า จากกรณีเรือดำน้ำจีนที่ชอบพูดกันนักว่าต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ทางการฑูต จะแก้สัญญาหรือต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติมากไม่ได้ แต่ทำไมพอเป็นเรื่องเรือหลวงสุโขทัยกลับต้องให้มีจดหมายทวงเป็นปีๆ ถึงจะยอมเปิดทางให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาช่วยเหลือ ถ้าไม่เปิดข้อมูลเอกสารการทวงถามจาก JUSMAGTHAI และเอกสารข้อตกลงการใช้ยุทโธปกรณ์ของอเมริกา ก็คงยังรำวงกับการตั้งโครงการประมูลกู้เรือทั้งที่รู้ว่าขัดข้อตกลง ส่งผลต่อความสัมพันธ์ด้านการทหารโดยตรง แต่ก็ไม่เห็นจะทำท่าทีเกรงอกเกรงใจใดๆ
เมื่อถามว่า มีโอกาสเรียกกองทัพเรือเข้ามาชี้แจงเรื่องนี้ในกรรมาธิการหรือไม่ นาย
ชยพล กล่าวว่า เรื่องนี้ยังเพิ่งเริ่ม อาจจะต้องมีการสื่อสารไปถึงกองทัพเรือให้ออกมาชี้แจงถึงความตั้งใจจริงในการกู้เรือว่าจะกู้หรือไม่ ส่วนจะมีโอกาสชงเข้ากรรมาธิการในช่วงไหนนั้น นายชยพล กล่าวว่า อาจจะมีการยกขึ้นมาในสัปดาห์นี้
พร้อมย้ำว่ากองทัพเรือไม่สามารถอ้างได้ว่าติดขัดเรื่องงบประมาณ เพราะมีการของบประมาณไปแล้ว ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 จะบอกว่าไม่พอก็เป็นเรื่องที่ตลก ตอนแรกจะจ้างบริษัทภายนอก 100 เปอร์เซนต์ มีการประเมินแล้วว่าใช้เงินประมาณ 2,000 ล้านบาท
ร้านค้าจ่อ "ขึ้นราคานมกล่อง" หลังกรมการค้าภายในไฟเขียวผู้ผลิตขึ้น 50 สต.
https://www.thaipbs.or.th/news/content/337449
ร้านค้าส่งค้าปลีกเตรียมปรับขึ้นราคานมกล่องล็อตใหม่ หลังกรมการค้าภายในไฟเขียวให้ผู้ผลิตขึ้นราคาได้กล่องละ 50 สตางค์ ขณะที่ผู้บริโภคมองว่ารัฐแก้ปัญหาไม่ตรงจุดและผลักภาระให้ประชาชน
วันนี้ (26 ก.พ.2567) ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส สำรวจร้านโชว์ห่วยและขายปลีกในซอยวิภาวดี 64 พบว่านมกล่อง พาสเจอไรซ์ นมสเตอริไลซ์และนมยูเอชทีที่วางจำหน่าย ปัจจุบันยังไม่ได้ปรับขึ้นราคา ตามที่กรมการค้าภายในไฟเขียวให้ผู้ผลิตนมกล่องกว่า10 ยี่ห้อปรับขึ้นราคากล่องละ 50 สตางค์ เนื่องจากภายในร้านยังมีสต๊อกเก่าค้างอยู่
ผู้ประกอบการร้านโชว์ห่วย ยอมรับว่า ก่อนหน้านี้นมกล่องบางยี่ห้อทยอยปรับขึ้นราคา จากที่เคยรับมาขายลังละ 320 บาท ปัจจุบันรับซื้อด้วยต้นทุนลังละ 360 บาท และหลังจากนี้ต้องดูทิศทางของราคาใหม่ หากต้นทุนไม่สูงมากก็จะขายราคาเดิมที่จำหน่ายในปัจจุบัน แต่หากต้นทุนสูงจะปรับราคาขายเพิ่มขึ้นเป็นกล่องละ 1 บาท
ขณะที่ผู้บริโภคคนหนึ่ง กล่าวว่า แม้นมกล่องจะปรับขึ้นราคาเพียงกล่องละ 50 สตางค์ ถือว่ายอมรับได้หากซื้อในปริมาณน้อย แต่หากซื้อในปริมาณมากก็กระทบต่อกำลังซื้อ จึงมองว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ซึ่งรัฐควรแก้ที่ต้นทางการผลิต ไม่ใช่การยอมให้ขึ้นราคาสินค้าและผลักภาระให้ผู้บริโภค
ด้าน ร.ต.
จักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมการค้าภายในได้อนุมัติให้ผู้ประกอบการผลิตนมกล่องกว่า 10 ราย ปรับขึ้นราคานมพาสเจอไรซ์ นมสเตอริไลซ์และนมยูเอชที ซึ่งนมกล่องขนาด180 ซีซี, 200 ซีซี และ 225 ซีซี จะปรับราคาเฉลี่ยกล่องละ 50 สตางค์ และอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติปรับราคาอีกกว่า 10 ราย ตามต้นทุนน้ำนมดิบที่เพิ่มสูงขึ้น และคาดว่าผู้ค้าจะเริ่มปรับขึ้นราคานมกล่องเพิ่มขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์นี้
รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวอีกว่า สำหรับผลิตภัณฑ์นมชนิดอื่น เช่น นมเปรี้ยวและโยเกิร์ต ถือเป็นสินค้าทางเลือก สามารถพิจารณาปรับขึ้นราคาได้ตามต้นทุนที่แท้จริง โดยไม่ต้องขออนุมัติกรมการค้าภายใน
นอกจากนี้ ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจราคานมกล่องในห้างสรรพสินค้า หลังการอนุมัติให้ปรับขึ้นราคา พบว่าห้างสรรพสินค้ายังขายราคาเดิม และมีการจัดโปรโมชันส่วนลดเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับผู้บริโภค มากกว่าการซื้อสินค้าในร้านโชว์ห่วยทั่วไป
JJNY : ก้าวไกลซัดทร.เตะถ่วง│ร้านค้าจ่อ "ขึ้นราคานมกล่อง"│งบ 67อืด หวั่น Q1/67ซึม│อังกฤษกระตุ้นนานาชาติยึดทรัพย์รัสเซีย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4443190
“ชยพล ก้าวไกล” ซัด ทร. เตะถ่วง-ตั้งใจล้มกู้เรือ อ้างจัดซื้อจัดจ้างเอกสารไม่ครบ ชี้ การกู้เรือเป็นจิ๊กซอว์ให้เห็นสาเหตุแท้จริง เผย งบ 67 เขียนขอมาแล้ว อ้างไม่มีงบไม่ได้ จ่อชงเรื่องเข้า กมธ.การทหารอาทิตย์นี้
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 ก.พ. 2567 ที่ พรรคก้าวไกล พรรคก้าวไกลจัดแถลงข่าว Policy Watch โดยนายชยพล สท้อนดี ส.ส.กทม. ในหัวข้อนิราศ (เรือหลวง) สุโขทัย จากเรือรบสู่ปะการังเทียม เพื่อตั้งข้อสังเกตและเสนอแนะต่อการกู้เรือหลวงสุโขทัย
นายชยพล กล่าวว่า ปีที่แล้วเกิดเหตุการณ์เรือสุโขทัยอับปางลง จนสูญเสียกำลังพลมากกว่า 20 นาย ยังคงสูญหายอยู่อีก 5 นาย เรือรบอันทรงเกียรติมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาทหายไปกับท้องทะเล ซึ่งก่อนหน้านี้ นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลได้เคยอภิปรายถึงประเด็นการล่มของเรือหลวงสุโขทัยไว้ โดยสรุปใจความปัญหาได้ 3 ประเด็น คือสภาพอากาศ ที่รายงานกองทัพเรือได้รายงานว่าคลื่มลมจะสูงประมาณ 2.5 เมตร แตกต่างจากรายงานของเอกชน ที่ระบุไว้ว่าคลื่นจะสูงถึง 6 เมตร
นายชยพล กล่าวว่า รวมถึงสภาพความพร้อมของเรือ เนื่องจากเรือหลวงสุโขทัย มีการของบประมาณในการซ่อมบำรุงมาโดยตลอด แต่ก็ยังคงมีปัญหาอยู่หลายจุด และประการสุดท้าย เป็นความผิดพลาดของการสั่งการ เพราะเมื่อดูจากแผนที่แล้ว จุดที่เรือหลวงสุโขทัยล่ม จะใกล้กับท่าเรือบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ทำไมถึงได้ยังคงสั่งการให้เรือฝืนสังขาร ห้ามล่มห้ามจม แหวกพายุกลับไปสัตหีบ จนนำมาสู่การอัปปางในที่สุด
นายชยพล ระบุว่า ปัญหาสำคัญของเรือหลวงสุโขทัย คงหนีไม่พ้นเรื่องการซ่อมบำรุงเรือที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น เรื่องการซ่อมบำรุงแผ่นเหล็กที่ถูกกร่อนจนบางต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งรวมๆแล้วเรือหลวงสุโขทัยมีคิวรอการซ่อมอยู่ถึง 19 รายการ จึงเป็นเหตุอันเชื่อได้ว่าเรือนั้นไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน แต่กลับฝืน เพราะอยากออกไปร่วมภารกิจที่ไม่ใช่เรื่องการรบ แต่เป็นเพียงงานพิธีการ
นายชยพล กล่าวว่า จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้วที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น ตนอยากขอเชิญทุกคนร่วมกันย้อนดูท่าทีของกองทัพเรือตลอด 1 ปีที่ผ่านมากันบ้าง เพื่อจะได้ช่วยกันวิเคราะห์ถึงเจตนาอันแท้จริง ว่ากองทัพเรือนั้นคิดอะไรอยู่
โดยภายหลังเกิดเหตุการณ์ในวันที่ 18 ธ.ค. 2565 อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เรียกประชุมด่วนเพื่อแก้ไขปัญหา โดยได้เริ่มกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริงกันในวันที่ 20 ธ.ค. 2565 และลงนามตั้งกรรมการสอบสวนกันในวันที่ 26 ธ.ค. 2565
จากนั้นประมาณวันที่ 11 ม.ค. 2565 กองทัพเรือได้เริ่มเปิดให้บริษัทได้ยื่นซองประมูลโครงการกู้เรือหลวงสุโขทัยเป็นครั้งแรก มีการแจ้งว่าผลการสอบสวนมีความคืบหน้าไปกว่า 90 เปอร์เซนต์ ขั้นตอนของการสอบปากคำพยานทั้งหมดเกือบ 300 คนเสร็จสิ้น เหลือเพียงแค่การกู้เรือ เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบ ซึ่งกองทัพเรือคาดว่าจะเริ่มกู้เรือกันได้ในเดือน เม.ย. ปี 2566 เป็นอย่างช้า โดยระหว่างนี้มีการตั้งข้อสังเกตจากนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์
สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ว่ามีการล็อคสเป็กในการจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่ ทำให้นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ต้องออกมาขอสอบสวนหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
นายชยพล กล่าวต่อว่า จากนั้นช่วงวันที่ 21 ก.ย. 2566 จู่ๆ กองทัพเรือก็เริ่มต้นกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างใหม่ทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่าเอกสารไม่ครบ ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ค้านสายตาคนรอบข้างมาก เพราะสามารถส่งภายหลังได้ จนกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ต้องขอเชิญกองทัพเรือเข้ามาชี้แจง เพราะการขาดเอกสารที่ไม่ใช่ใจความสำคัญนั้นสามารถยื่นตามทีหลังมาได้ ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งกระบวนการให้ต้องเสียเวลา ทั้งที่กองทัพเรือเองก็ย้ำมาตลอดว่าการกู้เรือเป็นภารกิจด่วน แต่ทำไมกลับล้มกระดานเอาเสียเอง ทำให้ต้องเริ่มต้นนับจากหนึ่งใหม่ ซึ่งตนได้ตรวจสอบการทำข้อกำหนดและขอบเขตการจัดซื้อจัดจ้าง (TOR) ก็พบว่าเป็นอะไรที่ค้านสายตา เพราะเป็นการจ้างกู้และลำเลียงเรือหลวงสุโขทัยที่อับปางไปที่สัตหีบ จ.ชลบุรี ปรับแต่งสภาวะตัวเหลือให้มีความปลอดภัยลอยลำได้ด้วยตัวเอง
“เขาก็บอกว่าให้บริษัทที่จะมากู้เรือ ให้กูเรือขึ้นมาในใกล้เคียงกับตัวรีพอร์ต เพื่อให้ชัวร์ว่าหลักฐานจำไม่ผิดแปลกอะไร สิ่งที่น่าสนใจผมจะขอไฮไลท์เรื่องการปรับแต่งสภาวะเรือให้ลอยลำได้ด้วยตัวเอง นึกภาพออกหรือไม่ครับ ล่ม เพราะน้ำเข้าเรือ แต่บอกให้กู้เรือขึ้นมา บอกให้ปรับแต่งสภาวะให้เรือลอยลำได้ด้วยตัวเอง มันจะไม่เป็นการยุ่งกับหลักฐานได้อย่างไรครับ” นายชยพล กล่าว
นายชยพล ยังกล่าวว่ามีเอกสารจาก JUSMAGTHAI ซึ่งหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดูแลการใช้งานยุทโธปกรณ์ของสหรัฐอเมริกาภายในประเทศไทย 2 ฉบับ มีเนื้อหาคือการทวงถามรายงานข้อเท็จจริงในกรณีเรือหลวงสุโขทัยอัปปาง และการเตือนว่าตามสัญญาการใช้ยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกา ก่อนจะให้บุคคลที่สามมายุ่งกับยุทโธปกรณ์ของสหรัฐได้ ต้องได้รับคำยินยอมจากรัฐบาลของสหรัฐก่อน
นายชยพล ย้ำว่า JUSMAG ก็ได้ส่งหนังสือมาแจ้งกองทัพเรือไทย ให้ทำตามข้อตกลงการใช้อาวุธ โดยส่งหนังสือมาครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2566 โดยระบุว่าให้ส่งรายงานโดยระบุข้อมูลคือ วันที่เกิดเหตุ ข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การแก้ไขข้อผิดพลาดโดยกองทัพเรือ และข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
ซึ่งทางอเมริกาก็รอกองทัพเรือไทยมาเกือบปี ถึงส่งจดหมายทวงถามอีกฉบับในวันที่ 1 ธันวาคม 2566 โดยมีเนื้อหาย้ำตามเดิม แสดงว่าที่ผ่านมาตลอด 1 ปี กองทัพเรือ นอกจากจะประวิงเวลา เตะถ่วงเรื่องของการกู้เรือแล้ว ก็ยังคงช้าเรื่องของการสรุปข้อเท็จจริงที่ควรต้องชี้แจงให้กับประชาชนและกับประเทศคู่ค้าด้วย
นายชยพล กล่าวว่า ที่ผ่านมาตลอด 1 ปี กองทัพเรือไทยไม่ได้สื่อสารกับกองทัพอเมริกาเท่าที่ควร จนต้องออกจดหมายเตือน เพื่อย้ำให้ชัดอีกครั้ง ส่อเจตนาเหมือนจงใจวางกับดักให้ตัวเองต้องสะดุด เพื่อผลัดวันต่อ ไม่ให้กู้เรือได้สักที หากไม่ได้เปิดข้อมูลเอกสารตรงนี้ กองทัพเรือไทยก็คงเดินหน้าประมูลราคาต่อ เพื่อรอล้ม ที่ผ่านมา ผบ.ทร. ไม่มีการระบุว่ากองทัพเรือสหรัฐจะร่วมการกู้เรือครั้งนี้ หรือจะยังคงมีการกู้เรืออยู่หรือไม่
การกู้เรือ เพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาเหตุการล่มของเรือหลวงสุโขไทย เป็นจิ๊กซอว์ที่สำคัญ ที่ต้องมีเท่านั้น ถึงจะสามารถเปิดรายงานข้อเท็จจริงทั้งหมดให้กับประชาชนได้ ตนไม่เข้าใจ เมื่อมิตรประเทศอย่างสหรัฐได้มาถึงที่แล้ว ทำไมให้ช่วยไม่สุดทาง ทำไมถึงจบแค่การปลดอาวุธ แต่ไม่กู้จิ๊กซอว์นี้ขึ้นมา ตอนนี้ท่าทีของกองทัพเรือเอง ไม่มีความชัดเจนเลยว่าจะยังกู้อยู่หรือไม่ ขัดกับคำพูดตลอด 1 ปีที่ผ่านมาที่ขอให้ทุกคนอดใจรอไม่นาน จะกู้เรือขึ้นมาอย่างแน่นอน
นายชยพล กล่าวว่า จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น คงต้องถามจริงๆว่าเรายังคาดหวังความชัดเจนจากกองทัพเรือได้อยู่หรือไม่ เรสมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องขอให้กองทัพเรือออกมายืนยันให้ชัด ว่าสรุปแล้วเราจะได้รู้ความจริงกันเมื่อไหร่
นายชยพล ยังกล่าวว่า จากกรณีเรือดำน้ำจีนที่ชอบพูดกันนักว่าต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ทางการฑูต จะแก้สัญญาหรือต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติมากไม่ได้ แต่ทำไมพอเป็นเรื่องเรือหลวงสุโขทัยกลับต้องให้มีจดหมายทวงเป็นปีๆ ถึงจะยอมเปิดทางให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาช่วยเหลือ ถ้าไม่เปิดข้อมูลเอกสารการทวงถามจาก JUSMAGTHAI และเอกสารข้อตกลงการใช้ยุทโธปกรณ์ของอเมริกา ก็คงยังรำวงกับการตั้งโครงการประมูลกู้เรือทั้งที่รู้ว่าขัดข้อตกลง ส่งผลต่อความสัมพันธ์ด้านการทหารโดยตรง แต่ก็ไม่เห็นจะทำท่าทีเกรงอกเกรงใจใดๆ
เมื่อถามว่า มีโอกาสเรียกกองทัพเรือเข้ามาชี้แจงเรื่องนี้ในกรรมาธิการหรือไม่ นายชยพล กล่าวว่า เรื่องนี้ยังเพิ่งเริ่ม อาจจะต้องมีการสื่อสารไปถึงกองทัพเรือให้ออกมาชี้แจงถึงความตั้งใจจริงในการกู้เรือว่าจะกู้หรือไม่ ส่วนจะมีโอกาสชงเข้ากรรมาธิการในช่วงไหนนั้น นายชยพล กล่าวว่า อาจจะมีการยกขึ้นมาในสัปดาห์นี้
พร้อมย้ำว่ากองทัพเรือไม่สามารถอ้างได้ว่าติดขัดเรื่องงบประมาณ เพราะมีการของบประมาณไปแล้ว ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 จะบอกว่าไม่พอก็เป็นเรื่องที่ตลก ตอนแรกจะจ้างบริษัทภายนอก 100 เปอร์เซนต์ มีการประเมินแล้วว่าใช้เงินประมาณ 2,000 ล้านบาท
ร้านค้าจ่อ "ขึ้นราคานมกล่อง" หลังกรมการค้าภายในไฟเขียวผู้ผลิตขึ้น 50 สต.
https://www.thaipbs.or.th/news/content/337449
ร้านค้าส่งค้าปลีกเตรียมปรับขึ้นราคานมกล่องล็อตใหม่ หลังกรมการค้าภายในไฟเขียวให้ผู้ผลิตขึ้นราคาได้กล่องละ 50 สตางค์ ขณะที่ผู้บริโภคมองว่ารัฐแก้ปัญหาไม่ตรงจุดและผลักภาระให้ประชาชน
วันนี้ (26 ก.พ.2567) ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส สำรวจร้านโชว์ห่วยและขายปลีกในซอยวิภาวดี 64 พบว่านมกล่อง พาสเจอไรซ์ นมสเตอริไลซ์และนมยูเอชทีที่วางจำหน่าย ปัจจุบันยังไม่ได้ปรับขึ้นราคา ตามที่กรมการค้าภายในไฟเขียวให้ผู้ผลิตนมกล่องกว่า10 ยี่ห้อปรับขึ้นราคากล่องละ 50 สตางค์ เนื่องจากภายในร้านยังมีสต๊อกเก่าค้างอยู่
ผู้ประกอบการร้านโชว์ห่วย ยอมรับว่า ก่อนหน้านี้นมกล่องบางยี่ห้อทยอยปรับขึ้นราคา จากที่เคยรับมาขายลังละ 320 บาท ปัจจุบันรับซื้อด้วยต้นทุนลังละ 360 บาท และหลังจากนี้ต้องดูทิศทางของราคาใหม่ หากต้นทุนไม่สูงมากก็จะขายราคาเดิมที่จำหน่ายในปัจจุบัน แต่หากต้นทุนสูงจะปรับราคาขายเพิ่มขึ้นเป็นกล่องละ 1 บาท
ขณะที่ผู้บริโภคคนหนึ่ง กล่าวว่า แม้นมกล่องจะปรับขึ้นราคาเพียงกล่องละ 50 สตางค์ ถือว่ายอมรับได้หากซื้อในปริมาณน้อย แต่หากซื้อในปริมาณมากก็กระทบต่อกำลังซื้อ จึงมองว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ซึ่งรัฐควรแก้ที่ต้นทางการผลิต ไม่ใช่การยอมให้ขึ้นราคาสินค้าและผลักภาระให้ผู้บริโภค
ด้าน ร.ต.จักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมการค้าภายในได้อนุมัติให้ผู้ประกอบการผลิตนมกล่องกว่า 10 ราย ปรับขึ้นราคานมพาสเจอไรซ์ นมสเตอริไลซ์และนมยูเอชที ซึ่งนมกล่องขนาด180 ซีซี, 200 ซีซี และ 225 ซีซี จะปรับราคาเฉลี่ยกล่องละ 50 สตางค์ และอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติปรับราคาอีกกว่า 10 ราย ตามต้นทุนน้ำนมดิบที่เพิ่มสูงขึ้น และคาดว่าผู้ค้าจะเริ่มปรับขึ้นราคานมกล่องเพิ่มขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์นี้
รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวอีกว่า สำหรับผลิตภัณฑ์นมชนิดอื่น เช่น นมเปรี้ยวและโยเกิร์ต ถือเป็นสินค้าทางเลือก สามารถพิจารณาปรับขึ้นราคาได้ตามต้นทุนที่แท้จริง โดยไม่ต้องขออนุมัติกรมการค้าภายใน
นอกจากนี้ ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจราคานมกล่องในห้างสรรพสินค้า หลังการอนุมัติให้ปรับขึ้นราคา พบว่าห้างสรรพสินค้ายังขายราคาเดิม และมีการจัดโปรโมชันส่วนลดเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับผู้บริโภค มากกว่าการซื้อสินค้าในร้านโชว์ห่วยทั่วไป