ฉันออกจากสุวรรณภูมิช่วงเช้า และมาถึงสนามบินฮีทโธรว์
ประมาณค่ำๆ รวมเวลาอยู่บนเครื่องบินประมาณ 12 ชม.
หลังจากผ่านขั้นตอนหลายขั้นตอน ฉันก็หลุดมาได้
ฉันรีบเข้าห้องน้ำ พอส่องกระจกก็ต้องตกใจมาก
ฉันเหมือนผีที่กำลังลี้ภัย
ฉันมองหน้าซีดๆ ผมยาวๆ ของตัวเองแล้วคิดในใจว่า
ถ้ามีใครมาเห็นแกตอนนี้นะนังพลอย
พวกเขาคงตกใจกันหมด คงนึกว่าผีญี่ปุ่นบุกโลก
ฉันล้างหน้าล้างตา แต่งหน้าเล็กน้อย
จุดหมายต่อไปของฉันคือ hostel ที่ชื่อว่า Palmers Lodge Swiss Cottage
ฉันจองที่นี่ไว้ 1 คืน พรุ่งนี้ขอตะลุยลอนดอนแค่ 1 วัน
บวกกับการแวะทัก Stonehenge กองหินประหลาด
ที่ตอนนี้ฉันประหลาดกว่า
ฉันนั่งรถไฟฟ้าจากสนามบินมาลงที่สถานี Swiss Cottage
ฉันเดินหาสักพัก ก็เจอแหล่งกบดานพักใจเพียง 1 คืน
Palmers Lodge Swiss Cottage
ฉันคิดว่าที่นี่น่าจะเคยเป็นคฤหาสน์เก่า
ต่อมาจึงได้ renovate เป็น hostel
ฉันกับสัมภาระผ่านประตุหน้าไปอย่างง่ายดาย
โชคดีจังที่ข้างหน้ามีที่นั่งที่วางของ
ฉันเอาสัมภาระไปวางตรงนั้น ก่อนที่จะมาติดต่อที่แผนกต้อนรับ
หนุ่มอังกฤษแว่นหนาที่ฉันคุยด้วยอัธยาศัยดีมาก
คุยกันได้ไม่นาน ฉันก็รู้ว่าคืนนี้ ฉันต้องพักห้องไหน
ฉันต้องขึ้นบันไดไปชั้นบน เดินหาสักพัก จึงพบเตียงของฉัน
อีกอึดใจเดียว ฉันก็ได้พบแมรี่ เพื่อนใหม่ของฉัน
เราค่อยๆคุยกัน จึงรู้ว่าแมรี่มาจากสหรัฐอเมริกา
เธอมาที่กรุงลอนดอนเป็นครั้งแรกและมาคนเดียวด้วย
ฉันบอกเธอไปว่าจุดหมายปลายทางจริงๆของฉันคือ
หมู่เกาะเช็ตแลนด์
และได้บอกไปว่าพรุ่งนี้ประมาณ 4 ทุ่ม
ฉันต้องไปที่ Victoria Coach Station
เพื่อเดินทางต่อไปยัง Aberdeen Bus Station ที่สกอตแลนด์
เพื่อเตรียมขึ้นเรือ
แมรี่บอกว่าเธอจะไปส่งฉัน
และชวนฉันไปซื้อตั๋วทาง internet ที่ชั้นล่าง
โชคดีมากที่ได้ตั๋วสองที่ๆอยู่ติดกัน
ซึ่งรถจะออกจากกรุงลอนดอนประมาณ 4 ทุ่ม
แล้วไปถึง Aberdeen Bus Station ประมาณ 11 โมงเช้า
ซึ่งเป็นเวลาที่ดีมากเพราะพวกเรายังมีเวลาเที่ยวเมือง Aberdeen
ฉันมีกำหนดขึ้นเรือเฟอร์รี่ตอน 5 โมงเย็น
เรือใช้เวลาประมาณ 14 ชม. 30 นาทีกว่าจะไปถึง Lerwick
แล้วนั่งรถอีกประมาณ 30 นาที ก็จะไปถึงจุดที่นัดไว้ประมาณแปดโมงเช้า
รถจะมารับฉันประมาณ 10 โมง ฉันยังมีเวลากินข้าวเช้าตั้ง 2 ชม.
หลังจากซื้อตั๋วด้วยบัตรเครดิตเสร็จเรียบร้อย
แมรี่ชวนฉันไปนั่งคุยที่ห้องนั่งเล่นที่อยู่ชั้นล่าง
ตอนแรก ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะเล่าเรื่องส่วนตัวให้แมรี่ฟัง
แต่สุดท้ายมันก็พรั่งพรูออกมาพร้อมกับน้ำตา
แมรี่ปลอบประโลมฉันได้ดีมาก
จนฉันกลับมานิ่งอีกครั้ง
หลังจากนั้น เราก็แยกย้ายกันไปนอน
พอหัวถึงหมอน ฉันก็หลับเป็นตาย
เช้าวันรุ่งขึ้น พอทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว
แมรี่ชวนฉันไปกินอาหารเช้าที่ชั้นใต้ดิน
อาหารเช้าที่นี่ เป็นอาหารแบบง่ายๆ สบายๆ
แต่ก็อิ่มท้อง
แมรี่แนะนำให้ฉัน check out ตั้งแต่ช่วงเช้าเลย
แต่ให้เอาสัมภาระฝากไว้ที่นี่ก่อน
ด้านหน้า เขาจะมีตู้ให้ฝากสัมภาระได้
เราจะไปรถใต้ดินกัน
นั่งจาก Swiss Cottage Underground Station ไปถึง Big Ben
จะใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที
พอไปถึงแล้วต้องบอกเลยว่าคุ้มมากๆ
ต่อจากนั้น เราเดินทางไปที่ Tower Bridge และ Tower of London
มันเป็นการเที่ยวลอนดอนที่คุ้มค่ามาก
เรากินกลางวันกันที่ลอนดอน
หลังจากนั้นจึงนั่งรถไฟไปที่เมือง Salisbury
ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. เมื่อถึง Salisbury
จะมีรถบัสมารับไปชม Stonehenge
ก่อนจะขึ้นรถไฟกลับลอนดอน
ฉันกลับหลงใหลเมือง Salisbury
ฉันว่ามันเป็นเมืองที่สวยงามมาก
เป็นเมืองที่ทำให้จิตใจของฉันสดใสขึ้นมาได้
สำหรับฉัน Salisbury คือสวรรค์บนดิน
รักเอย ... ไม่เคยลับ ตอนที่ 2 ใกล้จะถึงจุดหมายใหม่และชีวิตใหม่แล้ว
ประมาณค่ำๆ รวมเวลาอยู่บนเครื่องบินประมาณ 12 ชม.
หลังจากผ่านขั้นตอนหลายขั้นตอน ฉันก็หลุดมาได้
ฉันรีบเข้าห้องน้ำ พอส่องกระจกก็ต้องตกใจมาก
ฉันเหมือนผีที่กำลังลี้ภัย
ฉันมองหน้าซีดๆ ผมยาวๆ ของตัวเองแล้วคิดในใจว่า
ถ้ามีใครมาเห็นแกตอนนี้นะนังพลอย
พวกเขาคงตกใจกันหมด คงนึกว่าผีญี่ปุ่นบุกโลก
ฉันล้างหน้าล้างตา แต่งหน้าเล็กน้อย
จุดหมายต่อไปของฉันคือ hostel ที่ชื่อว่า Palmers Lodge Swiss Cottage
ฉันจองที่นี่ไว้ 1 คืน พรุ่งนี้ขอตะลุยลอนดอนแค่ 1 วัน
บวกกับการแวะทัก Stonehenge กองหินประหลาด
ที่ตอนนี้ฉันประหลาดกว่า
ฉันนั่งรถไฟฟ้าจากสนามบินมาลงที่สถานี Swiss Cottage
ฉันเดินหาสักพัก ก็เจอแหล่งกบดานพักใจเพียง 1 คืน
Palmers Lodge Swiss Cottage
ฉันคิดว่าที่นี่น่าจะเคยเป็นคฤหาสน์เก่า
ต่อมาจึงได้ renovate เป็น hostel
ฉันกับสัมภาระผ่านประตุหน้าไปอย่างง่ายดาย
โชคดีจังที่ข้างหน้ามีที่นั่งที่วางของ
ฉันเอาสัมภาระไปวางตรงนั้น ก่อนที่จะมาติดต่อที่แผนกต้อนรับ
หนุ่มอังกฤษแว่นหนาที่ฉันคุยด้วยอัธยาศัยดีมาก
คุยกันได้ไม่นาน ฉันก็รู้ว่าคืนนี้ ฉันต้องพักห้องไหน
ฉันต้องขึ้นบันไดไปชั้นบน เดินหาสักพัก จึงพบเตียงของฉัน
อีกอึดใจเดียว ฉันก็ได้พบแมรี่ เพื่อนใหม่ของฉัน
เราค่อยๆคุยกัน จึงรู้ว่าแมรี่มาจากสหรัฐอเมริกา
เธอมาที่กรุงลอนดอนเป็นครั้งแรกและมาคนเดียวด้วย
ฉันบอกเธอไปว่าจุดหมายปลายทางจริงๆของฉันคือ
หมู่เกาะเช็ตแลนด์
และได้บอกไปว่าพรุ่งนี้ประมาณ 4 ทุ่ม
ฉันต้องไปที่ Victoria Coach Station
เพื่อเดินทางต่อไปยัง Aberdeen Bus Station ที่สกอตแลนด์
เพื่อเตรียมขึ้นเรือ
แมรี่บอกว่าเธอจะไปส่งฉัน
และชวนฉันไปซื้อตั๋วทาง internet ที่ชั้นล่าง
โชคดีมากที่ได้ตั๋วสองที่ๆอยู่ติดกัน
ซึ่งรถจะออกจากกรุงลอนดอนประมาณ 4 ทุ่ม
แล้วไปถึง Aberdeen Bus Station ประมาณ 11 โมงเช้า
ซึ่งเป็นเวลาที่ดีมากเพราะพวกเรายังมีเวลาเที่ยวเมือง Aberdeen
ฉันมีกำหนดขึ้นเรือเฟอร์รี่ตอน 5 โมงเย็น
เรือใช้เวลาประมาณ 14 ชม. 30 นาทีกว่าจะไปถึง Lerwick
แล้วนั่งรถอีกประมาณ 30 นาที ก็จะไปถึงจุดที่นัดไว้ประมาณแปดโมงเช้า
รถจะมารับฉันประมาณ 10 โมง ฉันยังมีเวลากินข้าวเช้าตั้ง 2 ชม.
หลังจากซื้อตั๋วด้วยบัตรเครดิตเสร็จเรียบร้อย
แมรี่ชวนฉันไปนั่งคุยที่ห้องนั่งเล่นที่อยู่ชั้นล่าง
ตอนแรก ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะเล่าเรื่องส่วนตัวให้แมรี่ฟัง
แต่สุดท้ายมันก็พรั่งพรูออกมาพร้อมกับน้ำตา
แมรี่ปลอบประโลมฉันได้ดีมาก
จนฉันกลับมานิ่งอีกครั้ง
หลังจากนั้น เราก็แยกย้ายกันไปนอน
พอหัวถึงหมอน ฉันก็หลับเป็นตาย
เช้าวันรุ่งขึ้น พอทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว
แมรี่ชวนฉันไปกินอาหารเช้าที่ชั้นใต้ดิน
อาหารเช้าที่นี่ เป็นอาหารแบบง่ายๆ สบายๆ
แต่ก็อิ่มท้อง
แมรี่แนะนำให้ฉัน check out ตั้งแต่ช่วงเช้าเลย
แต่ให้เอาสัมภาระฝากไว้ที่นี่ก่อน
ด้านหน้า เขาจะมีตู้ให้ฝากสัมภาระได้
เราจะไปรถใต้ดินกัน
นั่งจาก Swiss Cottage Underground Station ไปถึง Big Ben
จะใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที
พอไปถึงแล้วต้องบอกเลยว่าคุ้มมากๆ
ต่อจากนั้น เราเดินทางไปที่ Tower Bridge และ Tower of London
มันเป็นการเที่ยวลอนดอนที่คุ้มค่ามาก
เรากินกลางวันกันที่ลอนดอน
หลังจากนั้นจึงนั่งรถไฟไปที่เมือง Salisbury
ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. เมื่อถึง Salisbury
จะมีรถบัสมารับไปชม Stonehenge
ก่อนจะขึ้นรถไฟกลับลอนดอน
ฉันกลับหลงใหลเมือง Salisbury
ฉันว่ามันเป็นเมืองที่สวยงามมาก
เป็นเมืองที่ทำให้จิตใจของฉันสดใสขึ้นมาได้
สำหรับฉัน Salisbury คือสวรรค์บนดิน