อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ส่งท้าย)

กระทู้สนทนา
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
(บทส่งท้าย)

“ไปไหนครับพี่” มอเตอร์ไซค์รับจ้างคันนั้นเอ่ยทักด้วยสำเนียงแปร่งทันทีที่ผมก้าวออกมาจากด่านตรวจฅนเข้าเมือง และเพราะรู้ว่าท่ารถโดยสารที่ตลาดพรมแดนไปลินอยู่ไม่ไกลจากด่านตรวจฅนเข้าเมืองสักเท่าไร ซึ่งถึงจะไกลกว่านี้ผมก็สะพายกระเป๋าไปได้สบายอยู่แล้วจึงปฏิเสธออกไป 

“ไปกับผมสิบบาทเองครับ” เขายังคงตื๊อ มีการลดราคาจากยี่สิบบาทให้ด้วย แต่ผมบอกแล้วว่าผมเดินไปได้น่าแค่นี้

“ฟรีก็ได้ครับ” เขาบอกมาอึก เฮ้ย มันจะดีเรอะ

“ผมไปส่งเองครับ ไม่คิดเงินก็ได้ครับ” เขายังไม่หยุดตื๊อ วิ่งรถมาดักหน้าทำเหมือนต้องการบริการเต็มที่ทีเดียว 

อย่างที่บอกว่าไอ้ความขัดฅนไม่เป็นของผมมันมักเกิดขึ้นได้เสมอ และหนนี้เขาคงไม่ว่าผมงกหรอกนะ ที่พอบอกว่าฟรีถึงยอมขึ้น ก็เขาอ้อนวอนเสียขนาดนี้นี่นา

“ตลาดสะเดา” ผมบอกระหว่างซ้อนท้ายเมื่อเขาถามถึงจุดหมายปลายทาง

“ค่ารถสองร้อยห้าสิบนะ” เขาแจงรายละเอียด บ้าล่ะสิ ค่ารถแค่นี้สองร้อยก็มากแล้ว ผมคิดในใจแต่ไม่ได้เถียงอะไรเขา เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่เจ้าของรถโดยสารที่ผมจะไปด้วยนี่นา

.
“ไปสะเดาครับ” ผมบอกกับฅนขับโดยสารอีกทีเมื่อมอเตอร์ไซค์ส่งผมถึงจุดหมายแล้ว

“ค่ารถสองร้อยห้าสิบ” ฅนขับมอเตอร์ไซค์รีบแจงค่ารถอีกครั้ง แต่ฅนขับรถโดยสารคงไม่ได้ยินผมจึงถามเขาอีกที

“สองร้อยห้าสิบ” คราวนี้ฅนขับมอร์เตอร์ไซค์ตอบเสียงดังเหมือนพูดกับฅนขับรถเลย

“สองร้อยไม่ใช่หรือครับ” ผมท้วงเมื่อฅนขับรถเออออตามเขา แต่ก็แค่นั้นแหละ แม้จะคิดว่าตัวเองรู้มาก แต่เอาเข้าจริงผมก็ไม่สามารถสื่อสารในรายละเอียดได้อยู่ดี จึงได้แต่ช่างมันเถอะ สองร้อยห้าสิบก็สองร้อยห้าสิบ ซื้อความรู้ไปก็แล้วกัน 

หลังจากฅนขับเก็บกระเป๋าของผมขึ้นรถแล้วมอเตอร์ไซค์คันนั้นยังไม่ยอมไป เมื่อฅนขับรถถามถึงการที่เขายังคงโอ้เอ้ เขาก็บอกว่าเขาไม่ได้คิดค่าโดยสารกับผมเลย ฅนขับรถโดยสารจึงควักเงินให้เขาจำนวนหนึ่ง ผมไม่รู้หรอกว่าเท่าไร ตอนนี้ผมรู้อย่างเดียวเท่านั้นแหละ ของฟรีไม่มีในโลก ฮ่า

..
ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไรเหมือนกัน เพราะผมต้องจ่ายยิบย่อยแบบนี้มาตลอดทาง เริ่มตั้งแต่รถโดยสารคันแรกที่นั่งมาเลยทีเดียว

“เหมานะครับฅนละร้อย” 

ที่คิวรถจากแสนตุ้งมาจันทบุรี โชเฟอร์สองแถวบอกกับผมหลังจากเราได้พูดคุยกันสักพัก ซึ่งก็เป็นการบ่นเรื่องเศรษฐกิจเรื่องน้ำมันแพง ผู้โดยสารไม่ค่อยมีอะไรนั่นแหละ และแม้จะต้องจ่ายเพิ่มอีกเท่าตัวแต่คงไม่เป็นไรหรอก ถ้ามันจะทำให้ผมได้เดินทางเร็วขึ้น และเที่ยวนี้เท่ากับเขาได้ค่าโดยสารแค่สองร้อยเอง

.
ที่ท่ารถจากจันทบุรีไปตลาดชายแดนก็เช่นกัน ที่นั่นผมถูกเรียกขึ้นรถหลังจากเดินหาถ่ายภาพโดยรอบได้สองสามภาพ เพราะเห็นว่ายังไม่ค่อยมีผู้โดยสารนั่นแหละผมจึงออกมาหาถ่ายภาพรอเวลา ฅนเต็มรถไวจัง ผมคิดขณะเดินไป ไม่นานรถก็ออกเดินทาง อ้าว ฅนไม่เต็มเที่ยวนี่ ปกติรถโดยสารที่นี่ต้องรอผู้โดยสารตามจำนวนถึงจะออกเดินทางนี่นา แต่ช่างมันเถอะได้ไปไวก็ดีแล้ว

.
“ฅนไทยรึเปล่านี่” เจ๊ฅนขับรถถามผมขณะยกของให้ผู้โดยสารฅนหนึ่งซึ่งลงระหว่างทาง

“โธ่ ฅนไทยสิเจ๊” ผมตอบไป

“แหม มันก็ต้องถามนั่นแหละ” ยายเจ๊นั่นบ่นพึมพำก่อนเข้านั่งประจำที่พารถสู่ชายแดน

.
“ไหนว่าฅนไทยทำไมมีพาสปอร์ต” ยายเจ๊ถามอีก เมื่อเห็นหนังสือเดินทางที่โผล่ออกจากกระเป๋าเสื้อตอนผมกำลังควักเงินให้แกเมื่อถึงจุดหมาย 

โถ ยายเจ๊คงนึกว่ามีแต่ฅนขแมร์เท่านั้นถึงจะต้องใช้พาสปอร์ตข้ามแดนสินะ หรือแกอาจจะหมายถึงไม่ใช่ขแมร์แล้วจะข้ามแดนทำไมก็ได้

“กี่บาทครับ” ผมรู้อยู่แล้วว่าค่าโดยสารนั้นหกสิบบาทแต่ก็ถามไปอย่างนั้นเอง

“ร้อยนึง” แกตอบมา

“หกสิบบาทไม่ใช่เหรอ” ผมถามขณะมือถือแบงก์ร้อยชะงักค้าง ยายเจ๊ทำท่าเหมือนถูกขัดใจ กระชากเงินจากมือผมพลางโบกมือไล่ให้ออกมา เหมือนว่าผมเรื่องมากจนน่ารำคาญอะไรประมาณนั้น แล้วแกก็ออกรถเลี้ยวกลับหลังไป

ตรงนี้ผมพอเข้าใจได้ว่าแกคงตกลงกับผู้โดยสารอื่นในการเก็บค่ารถเพิ่มเป็นฅนละร้อยเพื่อชดเชยที่นั่งว่างนั่นแหละ แต่แกไม่ได้บอกผมนี่ และถึงอย่างไรอธิบายให้ฟังสักหน่อยก็ได้ แต่ช่างแกเถอะ ผมข้ามแดนดีกว่า

.
เป็นเพราะต้องการหาข้อมูลเล็กน้อยในการเขียนเรื่องสั้น และอยากเจอเพื่อนอยากเที่ยวด้วยนั่นเอง ที่ทำให้ผมตัดสินใจข้ามแดนในวันนี้ และมันคงไม่ถูกฤกษ์ ไม่ถูกโฉลกหรืออย่างไรไม่รู้ได้ ผมจึงมีแต่เรื่องขลุกขลักตลอดทาง แม้แต่ที่ด่านตรวจฅนเข้าเมืองฝั่งขแมร์นี่

“ขอโทษครับ ผมวางหนังสือช่องนี้ได้นะครับ” ผมถามเป็นภาษาไทยเพราะคิดว่าเขาต้องฟังออก 

และแม้จะมีแผ่นป้ายซึ่งมีข้อความ ចេញ ที่แปลว่าออก และ ចូល ที่แปลว่าเข้าติดไว้เหนือกระจกกั้นของแต่ละช่องโดยมีภาษาอังกฤษกำกับไว้อีกที แต่ผมก็รู้นั่นแหละว่าเจ้าหน้าที่ตรวจฅนเข้าเมืองแขมร์ทั้งสองช่องนี้สามารถทำงานสลับหน้าที่กันได้หากอีกฝ่ายยังไม่ว่าง และผมคงต้องถามก่อนแม้จะค่อนข้างแน่ใจว่าผมสามารถทำเช่นนั้นได้ก็ตาม เพราะหากผิดพลาดอะไรขึ้นมาคงเสียเวลากันนานโขทีเดียว ยิ่งเป็นวันที่มีฅนผ่านเข้าออกด่านชายแดนเยอะแบบนี้ด้วย

เจ้าหน้าที่ฅนนั้นพยักหน้าโดยไม่หันมอง พร้อมกับรับหนังสือเดินทางปึกใหญ่จากชายฅนหนึ่งซึ่งชิงส่งตัดหน้าผมไป ผมมองพร้อมทำใจว่าคงต้องรอนานแน่แล้ววันนี้ ทั้งแปลกใจที่เขาสามารถยื่นประทับตราหนังสือเดินทางแทนกันได้ด้วย แต่นั่นแหละ จะเอาอะไรกับประเทศที่การติดต่อราชการยังต้องใช้เงินไปเสียหมดแบบนี้ล่ะ การคอรัปชั่นเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้คงเป็นเรื่องปกติของบ้านเขานั่นแหละ แต่จะว่าไปบ้านเมืองของเราเองก็ยังขึ้นชื่อเรื่องคอรัปชั่นเหมือนกันนี่นา

"จะมาเสียดายเงินนิดหน่อยไม่เข้าท่า งานของเราสะดวกคุ้มกว่าเยอะ" 

ผมนึกถึงคำพูดของฅนที่มองการคอรัปชั่นเป็นเรื่องปกติ มองว่าการติดต่อราชการทุกอย่างต้องใช้เงิน มองฅนที่ไม่ยอมเสียใต้โต๊ะว่าเป็นฅนขี้เหนียว ฅนแบบนี้มีมากเสียด้วยในสังคมปัจจุบัน 

และก็เพราะความคิดแบบนี้กระมังบ้านเมืองของเราจึงเต็มไปด้วยคอรัปชั่นจนไม่ก้าวหน้าไปถึงไหนสักที

.
ด้านหลังม้านั่งยาวสองตัวซึ่งวางอยู่ระหว่างทางเดินด้านหน้าของช่องทำการนี่จะเป็นม้านั่งซึ่งสูงหน่อยและมีพนักพิง ผมเดินอ้อมม้านั่งสองตัวไปที่นั่นเพราะคิดว่าคงต้องรอนาน 

ที่นี่นั้นนอกจากจะเป็นสถานที่ตรวจประทับตราหนังสือเดินทางเข้าออกแล้ว ทางขวามือถัดออกไปยังมีการออกบัตรผ่านรายวันให้กับฅนแขมร์ที่จะข้ามไปตลาดชายแดนทางฝั่งไทยกันอีกด้วย และแน่นอนว่า กระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่มีราคาใบละสิบบาทนั้นสามารถมาขอรับแทนกันได้ เพียงแค่บอกชื่อและอายุเพื่อบันทึกไว้พร้อมจ่ายเงินตามค่าบัตรก็พอ

ขณะที่ผมพร้อมทำใจสำหรับการนั่งรอแต่กลับผิดคาด หนังสือเดินทางของผมถูกหยิบไปตรวจก่อนเลย เพียงแต่ว่า

“เข้าไปไม่ได้”

เขาพูดเสียงห้วนหลังจากกวักมือเรียกผมเข้าไปอีกครั้ง คงต้องเข้าใจเองแหละครับว่าเขาคงไม่ถนัดภาษาเรานัก แต่ทำไมถึงเข้าไม่ได้นี่สิ

“สามเดือนเข้าไม่ได้ หกเดือนเข้าได้” เขาตอบห้วนเหมือนเดิมเมื่อผมถามว่าทำไม ก็ได้แต่คิดว่าอะไรคือสามเดือนหกเดือนที่เขาว่า หรือเขาจะหมายถึงอายุหนังสือเดินทาง เลยชี้ให้ดูว่าหนังสือเดินทางของผมยังไม่หมดอายุนะ อยู่ได้ถึงปีหน้าอีกตั้งสามเดือน ผมชะงักความคิดชั่วขณะ

กว่าจะเข้าใจกันได้ว่าหนังสือเดินทางนั้นต้องใช้ก่อนหมดอายุหกเดือนก็เสียเวลากันพักใหญ่ แล้วจะทำอย่างไรกันล่ะทีนี้ เสียเวลานั่งรถมาครึ่งค่อนวัน เตรียมตัวเตรียมของฝากเพื่อนแขมร์ของผมอย่างดิบดีแล้วกลับเข้าไม่ได้เสียอย่างนั้น

.
ผมเดินออกมา ทอดสายตายังริมทางฝั่งตรงข้าม มองตึกทรงสูงอันเป็นที่ตั้งของคาสิโนหนึ่งในหลายแห่งของที่นี่ คิดว่าวันนี้คงได้เห็นเมืองแขมร์แค่นี้ล่ะมัง 

ไม่ว่าอย่างไรคงต้องกลับ ไม่มีทางเลือกอื่นนี่นา ผมบอกกับตัวเอง คิดว่าคงต้องแวะไปต่อหนังสือเดินทางใหม่ด้วยเลย แต่ก่อนอื่นต้องไปแจ้งเจ้าหน้าที่ฝั่งไทยให้รับทราบเรื่องก่อน เพราะผมถูกบันทึกประวัติว่าเดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว อดคิดไม่ได้ว่าเขาไม่ได้ตรวจหนังสือเดินทางผมโดยละเอียดหรืออย่างไรนะถึงไม่ทราบเรื่องนี้

.
“ปากน่ะมีไหมเล่า” เจ้าหน้าที่ซึ่งประทับตราหนังสือเดินทางให้ผมพูดเสียงดังเหมือนต่อว่า หากแต่หัวเราะขำไปด้วยมากกว่า

“ไปแค่สามสี่วันใช่ไหมล่ะ นั่นแหละกลับไปหาเขาใหม่ บอกเขาแบบนั้นแหละขอร้องเขาหน่อย”เขาพูดทั้งหัวเราะไปพลาง

“ยัดให้เขาหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้ว” เป็นคำพูดทิ้งท้ายของเขาก่อนผมจะหันหลังออกมา

.
ผมเดินลอดซุ้มประตู ข้ามสะพานเหล็กเหนือคลองซึ่งแบ่งแยกสองแผ่นดินเข้าไปอีกครั้ง ผ่านแผงไม้กั้นทางกับข้อความหยุดตรวจ (ឈប់ត្រួតពិនិត្រ) ก่อนถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง 

อดคิดถึงคำพูดที่บอกถึงมุมมองของฅนในสังคมกับการคอรัปชั่นอีกไม่ได้
'เงินแค่นี้จะเสียดายไปทำไม'

.
“ห้าร้อยไหวไหม” เจ้าหน้าที่ ต.ม. ฅนเดินเอ่ยเบา ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลังจากทำเงียบสักพักเมื่อฟังคำขอร้องจากผม 

วินาทีนี้ผมคงได้แต่บอกตัวเองว่า ถึงอย่างไรผมคงไม่สามารถมองการคอรัปชั่นเป็นเรื่องปกติเหมือนใครต่อใครได้หรอก เพียงแต่ว่าหากมันทำให้ผมสามารถไปต่อได้

‘ไอ้ห้าร้อยนี่ผมจะขี้เหนียวมันไปทำไม’

(จบชุด)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่