อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๑๑)

กระทู้สนทนา
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่ ๑๑ รับยายกลับไทย

หลังจากไปส่งยายครั้งนั้นทิ้งระยะสักพักเราก็ได้ข้ามเขากันอีกครั้งเพื่อรับแกกลับไทย เนื่องจากทราบข่าวอาการป่วยของแกที่แม้จะดีขึ้นแล้วแต่ก็อดห่วงไม่ได้นั่นแหละ อยู่ที่นี่จะใกล้มดใกล้หมอมากกว่าเราจึงต้องพาแกกลับมา

เราไม่มีความมั่นใจกันนักหรอกว่ายายจะข้ามเขาไหวไหม เพราะสุขภาพของแกยังคงไม่แข็งแรงจากการเพิ่งหายป่วยอย่างที่บอก แต่ถึงอย่างไรคงไม่มีทางเลือกนอกจากนี้ อาจต้องค่อยเดินทางกันไป ช้าหน่อยก็ต้องยอม

เช้าวันกลับไทยนั้นเรายังวิตกกันอยู่เลย แต่เหมือนโชคเข้าข้าง ผมเรียกมันว่าโชคก็แล้วกัน 

เรา (ผมกับเพื่อน) ได้เจอเขาที่ตลาดเมื่อออกมาหาซื้อของก่อนเดินทางกลับ ที่นี่มีฅนไทยไม่กี่ฅนหรอกเราจึงรู้จักกันได้ไม่ยาก เขาทักทายเราเมื่อรู้ว่ามาจากเมืองไทยเหมือนกัน เขามาที่นี่ด้วยรถยนต์ตามช่องทางหนึ่ง ซึ่งผ่อนผันให้พ่อค้าไม้และบุคคลบางกลุ่มผ่านเข้าออกได้ (ขอสงวนชื่อช่องทางดังกล่าวนะครับ)

ชายฅนนั้นชวนเรากลับด้วยกันกับเขา ก็ดีอยู่หรอกหากได้นั่งรถกลับ แต่การเข้ามาของเรามันเป็นวิธีไม่ถูกต้องนี่สิ แน่นอนว่าถ้าผ่านด่านทหารเราต้องถูกตรวจสอบว่าเข้ามาได้อย่างไร แต่เขาบอกว่าคุ้นเคยกับทหารทางด่านตามเส้นทางที่เข้ามาเป็นอย่างดี ไม่ต้องกลัวอะไรหรอก เขาบอกแบบนั้น เราจึงตกลงใจโดยสารรถเขากลับไทยกัน ซึ่งหมอนั่นคงเพิ่งรู้ตัวว่าคิดผิดก็ตอนที่ได้เห็นว่ากลุ่มของเรามีกันหลายฅนนั่นแหละ แน่นอนว่าฅนเยอะขนาดนี้ต้องเป็นจุดเพ่งเล็งอย่างไม่ต้องสงสัย เสี่ยงไม่น้อยเลยหากพาเราไปด้วย เขาคงอยากปฏิเสธตอนนี้เหมือนกันแต่คงกลัวเสียหน้าที่ได้รับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะ และเขาเป็นฝ่ายชวนเราเองจึงต้องจำใจพาเรากลับด้วยกันในที่สุด

.
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่กล้าพาเรานั่งรถข้ามแดนอยู่ดี ชายเจ้าของรถจึงพาเรามาส่งยังด่านทหารซึ่งอยู่เลยแปดเบ็ยออกมาหน่อย และบอกให้เราเดินข้ามแดนไปกันเอง 

มาถึงตอนนี้เราคงทำอะไรไม่ได้แล้ว ไม่ว่าจะโวยวายหรือหันหลังกลับกันก็ตาม เพราะไม่ว่าอย่างไรจะกลายเป็นพิรุธให้ทหารที่ยืนมองอยู่เห็นเสียมากกว่า มีทางเดียวคือทำใจดีสู้เสือเดินเข้าหาด่านแม้รู้ตัวว่าโอกาสรอดจากการถูกจับแทบไม่มีเลยก็ตาม

.
ตรงด่านทหารแขมร์นั้นไม่มีอะไรมาก พวกเขาแค่ทักทายสอบถามเราว่ามาจากไหนจะไปไหนกันเท่านั้น เราตอบโดยไม่ได้หยุดเดินด้วยซ้ำ แต่เหตุการณ์แบบนี้จะไม่มีที่ฝั่งทหารไทยซึ่งกำลังจับตามองอยู่แน่นอน เรารู้ดี

ทุกฅนพากันเดินเข้าหาด่านทหารไทยด้วยใจระทึก แต่ไม้ว่าอย่างไรเรายังมีสติพอนัดแนะคำตอบให้ (โกหก) ไปในทางเดียวกันได้ เพราะเคยผ่านเข้าออกช่วงทำไม้นั่นแหละเราจึงพอรู้ว่าจะต้องเจอคำถามอะไรบ้าง

.
“มาจากไหนกันครับ” ทหารนายหนึ่งถามเรา

“มาจากฝั่งโน้นแหละจ้ะ ไปรับแม่กลับไทย” แม่ของเพื่อนผมเป็นฅนตอบ

“เข้าไปตั้งแต่เมื่อไรครับ” เราตอบวันเวลาตามที่ได้นัดแนะกันไว้ ซึ่งจะต้องเป็นก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน สถานที่เราก็เลือกไม่ห่างจากแปดเบ็ยมากนักในการนำมากล่าวอ้างเช่นกัน เรารู้ว่าหากบอกว่าเข้าไปกันหลายวันแล้ว และไปถึงสะเดาอีกจะต้องถูกซักถามมากกว่านี้แน่นอน

“แล้วตอนเข้าได้เข้าทางนี้กันหรือเปล่าครับ” ทหารยังคงถามต่อ เราบอกว่าเข้าอีกช่องทางหนึ่งซึ่งไม่ห่างจากทางนี้มากนัก บอกว่าเราอาศัยรถเสี่ยฅนหนึ่งที่วิ่งทำไม้ตามเส้นทางนั้นขึ้นไป แน่นอนว่าเราแค่เอาชื่อเสี่ยฅนดังกล่าวมาอ้างตามข้อมูลที่พอทราบมาจากการทำไม้ของเรานั่นแหละ

“อ้าว แล้วทหารช่องทางนั้นปล่อยไปได้อย่างไร เขาไม่ได้ตรวจหรือครับ” เขาถามเมื่อเห็นว่าเราไม่มีหลักฐานในการผ่านแดนแต่อย่างใดเลย

“ไม่ตรวจครับ” ยังพากันโกหกหน้าตาย

“ไอ้ด่านนั้นมันแบบนั้นแหละ ไม่ค่อยจะตรวจกันหรอก” เสียงหนึ่งดังมาเข้าทางเราพอดี

ทหารนายนั้นยังคงซักถามเราไปขณะที่อีกนายวิทยุไปยังหน่วยทหารที่เราเอาชื่อมาอ้าง ตอนนี้คงได้แต่ลุ้นกันเท่านั้น การโกหกของเราใกล้ยุติเต็มที เพราะเมื่อใดที่หน่วยทหารซึ่งถูกอ้างชื่อนั้นยืนยันว่าไม่มีการผ่านเข้าออกตามวันเวลาดังกล่าว เกมเป็นอันจบ

แต่โชคยังคงเป็นของเราในช่วงนี้ เพราะทหารที่เข้าเวรยามตามวันเวลาที่เรากล่าวอ้างนั้นดันย้ายหน่วยกลับต้นสังกัดกันหมด เรื่องนี้จึงไม่สามารถตรวจสอบ ค่อยหายใจกันได้เฮือกหนึ่ง แต่เรื่องคงไม่จบลงง่ายดายอย่างนี้แน่นอน

.
ทหารยังคงชวนคุยขณะตรวจบัตรประชาชน บันทึกชื่อและหมายเลขตามบัตรไว้ โชคดีที่เขาตรวจแค่บางฅนไม่ได้ตรวจผู้หญิงและฅนแก่

ทหารนายหนึ่งใช้วิทยุติดต่อไปยังหน่วยต้นสังกัดเพื่อแจ้งเรื่องให้ทราบ นั่นทำให้ต้องลุ้นกันอีก และโชคยังคงเป็นของเรา เมื่ออยู่ ๆ วิทยุสนามเกิดใช้การไม่ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่อย่างที่บอกว่าเรื่องไม่มีทางจบลงง่ายดายแน่นอน

.
ทหารยังคงกักตัวพวกเราไว้พร้อมทั้งให้คำแนะนำว่าการข้ามแดนในสภาวะแบบนี้ เข้าทางไหนออกทางนั้นจะสะดวกกว่า ซึ่งเราก็คงได้แต่ ครับ ครับ ครับ

เวลาค่อยเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้าขณะที่เราได้แต่แกร่วอยู่กับที่กันเท่านั้น ต่างทำใจดีสู้เสือทั้งที่ลุ้นอย่างใจหายใจคว่ำ ประตูคุกตะรางดูจะใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว...

.
เรารอกันตั้งแต่ช่วงกลางวัน กระทั่งบ่าย เย็น ถึงย่ำค่ำ

แต่วันนี้คงเป็นวันแห่งโชคของเรา อยู่ ๆ ยายเกิดเป็นลมจังหวะเดียวกับที่รถพ่อค้าหวายผ่านมาเพื่อข้ามแดนกลับไทยพอดี ทหารจึงให้เรารีบพายายลงมากับรถพ่อค้า วิทยุของพวกเขาใช้งานได้พอดีเช่นกัน หลังจากสื่อสารกันสักพักเขาจึงบอกให้เราไปรายงานตัวที่หน่วยต้นสังกัดของเขาก่อนปล่อยเราลงมา

แม้เรื่องจะยังไม่จบ แต่เราก็โล่งอกแล้วที่ออกจากป่ากันได้เสียที…

.
“คุก คุก คุก ไอ้พวกลักลอบเข้าเมืองนี่ต้องจับเข้าคุกให้หมด” รถซึ่งพาเราไปส่งนั้นยังจอดไม่สนิทด้วยซ้ำนายทหารฅนหนึ่งก็ชี้หน้าส่งเสียงใส่เราทันที ฅนขับรถยังจะพลอยซวยไปกับเราด้วยข้อหาสมรู้ร่วมคิด ซึ่งเราก็ได้ช่วยยืนยันว่าเขาให้เราโดยสารมาด้วยเพราะทหารที่ด่านนั้นฝากมา 

ในที่สุดพวกเขาก็ยึดบัตรประชาชนเราไว้ และให้กลับมารายงานตัวอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น เพราะตอนนี้ค่ำมืดแล้วนั่นเองพวกเขาจึงปล่อยให้เรากลับบ้านกันก่อน ก็คงเห็นใจที่มีฅนแก่ไม่สบายนั่นด้วย

และไม่ว่าอย่างไรเรายังคงต้องลุ้นกันได้ไม่จบสิ้นสิน่า

.
เพียงแต่กลับไม่มีอะไรในกอไผ่ รุ่งอีกวันเพื่อนผมไปรายงานตัวแต่ลำพัง พวกเขากลับคืนบัตรให้โดยไม่พูดอะไรเลย เรื่องแบบนี้คงอยู่ที่โชคหรือจังหวะจริง ๆ นั่นแหละ

และไม่ว่าจะต้องเจ็บป่วยจนล้มหมอนนอนเสื่อ เสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง หรือเส้นทางจะสุดโหดสักแค่ไหน ก็อย่าคิดว่าผมจะเข็ดขยาดแต่อย่างใด อย่าลืมติดตามอ่านการข้ามเขาครั้งสุดท้ายของผมกันนะครับ.

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่