Poor things
เคยดูหนังของ Yorgos แค่ the killing of sacred deer เรื่องเดียว พอได้มาซ้ำ poor things ถึงได้รู้ว่าตัวเราเองคงนิยามงานของเค้าได้แค่คำว่า แปลก แต่เป็นความแปลกที่ satisfied หัวใจสุดๆ เป็นคนที่ถ่ายทอดความแปลกออกมาได้อย่างมีชั้นเชิงและรสนิยมมากๆ
ตลอดทั้งเรื่องเราไม่สามารถละสายตาออกจากหนังได้เลยตลอดสองชั่วโมง หนึ่งคือความแปลกของสตอรี่ที่ไม่รู้ว่ามันจะพาเราไปสุดที่ตรงไหน สองคือการแสดงของ emma stone ที่ตราตรึงคนดูอย่างเราไว้ และสามคือมุมกล้อง ภาพที่ออกมา รวมทั้งซาวด์ประกอบที่ดึงดูด มันคือความลงตัวในทุกองค์ประกอบและส่งผลให้สิ่งนี้มันกลายเป็นงานศิลปะชิ้นนึงเลย งดงามมากๆ
หนังเล่าถึงเรื่องราวของวิกตอเรีย ซึ่งเธอคือแฟรงเกนสไตน์ที่ถูก replace สมองเดิมด้วยสมองของทารกซึ่งเป็นลูกของเธอเอง เธอเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยชื่อเบลล่า และเริ่มต้นวัยเด็กในร่างของผู้ใหญ่ คนดูอย่างเราจะได้เห็นถึงการเติบโตของเธอในแง่ของพัฒนาการทางร่างกาย ไปจนถึงทางจิตใจ ความคิด และการกระทำ ความสดใหม่ของชีวิตในร่างที่เติบโตทำให้เบลล่าพาเราไปสำรวจโลกในแบบที่เราไม่เคยได้พบมาก่อน
เหมือนได้ดูหนัง coming of age แต่ร่างกายและสิ่งแวดล้อมของตัวละครเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว การนำเสนอของมันเลยรุนแรงแต่ชัดเจนกว่าการก้าวผ่านพ้นวัยแบบทั่วๆ ไป เรื่องของ เซ็กส์ เลยถูกหยิบยกขึ้นมา
เราได้เห็นเบลล่าที่ค่อยๆ เติบโตขึ้น ความบริสุทธิ์และสวยงามของเธอค่อยๆ ถูกเติมเต็มด้วยเรื่องราวต่างๆ ในทุกๆ การเดินทาง เซ็กส์ ความสัมพันธ์ ความทุกข์ ความเศร้า ความสูญเสีย จนซีนสุดท้ายที่เธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ มันคือการที่ชีวิตได้ผ่านเรื่องราวมาอย่างมากมาย ทุกอย่างในชีวิตสอนให้เธอเติบโตได้มากกว่าการถูกกักขังไว้ในบ้านที่ก็อตวินผู้รับบทพนะเจ้าคอยเฝ้าทะนุถนอมควบคุมดูแลเธอซะอีก
สิ่งนึงที่เรารู้สึกมากๆ จากหนังคือเอเนอจี้ของ free living ตลอดทั้งเรื่องเบลล่าถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเป็นเด็กที่เป็นเหมือนผ้าขาวสะอาด เธอไม่แคร์ว่าใครจะมองเธอยังไง บังคับเธอยังไง ว่าเธอจะอยู่ในสังคมผู้ดีหรือไม่ เธอแค่ทำสิ่งที่เธออยาก ทำในสิ่งที่เธอมีความสุขที่จะทำ เรื่องของเซ็กส์ที่เธอมองว่ามันเป็นความสุขที่เธอต้องการ แล้วมันจะผิดตรงไหนหากเธอจะมีอะไรกับใครเพื่อแลกกับเงิน มันคือโลกแห่งความเป็นอิสระที่เบลล่ามีสิทธิ์ในร่างกายตัวเองอย่างเต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำ อยากพูดอะไรก็พูด ซึ่งถ้ามองผ่านเลนส์คนที่เติบโตมาปกติอย่างคนดูมันคงจะเต็มไปด้วยคำถาม ความเคลือบแคลงใจอะไรบางอย่างในการตัดสินใจแบบนี้ของเบลล่า แต่หนังกลับเล่าออกมาในมุมที่ทุกอย่างมันโอเคและปกติมาก จนทำให้คนดูเกิดตั้งคำถามอีกครั้งว่าหรือจริงๆ แล้ว อิสระ แบบนั้นมันควรจะเป็นเรื่องปกติ เป็นสิทธิ์ที่เราทุกคนมี และสามารถใช้มันได้อย่างถูกต้อง
หนังมันไม่พาให้คนดูตัดสินอะไรในตัวเบลล่าเลย เราทำได้แค่เฝ้ามองความเป็นไปของเรื่องราวที่จะสื่อ ชอบที่ช่วงแรกๆ หนังเป็นภาพขาวดำ เหมือนจะเป็นความโบราณ คร่ำครึ อยู่แต่ในกรอบที่วางไว้ แต่พอเบลล่าได้ออกเดินทางไปยังโลกกว้าง ภาพทุกอย่างกลับสดใส สีสันฉูดฉาด ความเหนือจริงของซีนบางซีนที่เหมือนหลุดออกมาจากนอกโลก มันคือสีสันในชีวิตที่ถูกแต่งแต้มด้วยประสบการณ์ที่เธอเลือกด้วยตนเอง
แล้ววิธีการเล่าของมันสนุกมาก เป็นเหมือน dark comedy ที่คนดู get along with ไปด้วยง่ายๆ เป็นประสบการณ์ร่วมของคนทุกชาติเลยมั้ง555555 อย่างที่บอกว่าหนังมันชวนให้ตั้งคำถามเยอะมากๆ แต่ไม่ได้ยัดเยียดอะไร พาคนดูขมวดคิ้วบ้าง ตบเข่าฉาดบ้าง ไหลลื่นและเป็นธรรมชาติ แต่ก็ฝากอะไรทิ้งท้ายเอาไว้ได้อย่างเจ็บแสบสุดๆ
มาถึงไคลแมกซ์ของหนัง ถ้าไม่ได้ Emma stone มาอยู่ในเรื่องนี้ ก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าหนังมันจะออกมายอดเยี่ยมขนาดนี้ได้มั้ย ความ surreal และสตอรี่ทั้งหมดนี้คนดูจะไม่มีวันซื้อมันเลยหากนักแสดงเอาไม่อยู่ และเอ็มม่าแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้บนบ่าของเธอได้อย่างอยู่หมัด ท่าทาง สายตา วิธีการพูดของเธอถูกพัฒนาตั้งแต่ต้นยันจบ เรามองเห็นการเติบโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ ความไร้เดียงสา & ความกร้านโลก มันคือ contrast ของ personality ที่ถูกส่งผ่านมาถึงเราอย่างชัดเจน และทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันน่ามองมากๆ อย่างที่บอกว่าแค่ตัวเอ็มม่าก็ทำให้คนดูละสายตาไปไหนไม่ได้แล้ว เซอร์ไพรส์ใน nude scene มาก emma เต็มที่กับหนังสุดๆ มันคือ sex scene ที่เติมเต็มเรื่องราว และส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกของตัวละครเบลล่าได้ชัดเจนมาก สวยงาม ร้อนแรง ดุดัน และมีพลัง ถ้าออสการ์ไม่ได้เป็นของ emma stone แล้วจะเป็นของใครได้อีก!!!
ในเรื่องของนักแสดงขอชื่นชมอีก 2 ตัวละครคือ ดร.ก็อตวินที่แสดงโดยลุงกรีนก็อบลิน คือน่ามองมาก (อันนี้ bias ส่วนตัวชอบลุง Willem Dafoe อยู่แล้ว55555) และสองคือมาร์ค รัฟฟาโร่ที่แสดงเป็นหนุ่มนักรักดันแคน ตอนแรกจำหน้าพี่มาร์คไม่ได้ด้วยซ้ำ555555 แต่เล่นดีมากจริงๆ เอาบทตัวเองอยู่ รู้วิธีนำเสนอตัวละครออกมาได้อย่างมีเสน่ห์และน่าจดจำในแบบของตัวเอง เคมีระหว่างพี่แกกับเอ็มม่าคือดีมากเลย
สุดท้ายคือวิธีการถ่ายทอดตัวหนังสู่สายตาคนดู เราว่าสิ่งนี้เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้หนังเอาคนดูได้อยู่หมัดตลอด 2 ชม ต้องยอมใจผกก เค้าเป็นคนที่มีมุมมองที่น่าสนใจมากๆ วิธีการแพนกล้อง ซูมอินบ้าง ซูมเอาท์บ้าง หรือการใช้ fish lens มาช่วยเน้นอารมณ์ของซีน ลูกเล่นในเรื่องมันเยอะจนเราสามารถว้าวกับความแปลกใหม่นี้ไปได้ตลอดทั้งเรื่องเลย รวมทั้งซาวด์ประกอบที่ต้องยกนิ้วให้ มันคือส่วนที่ดีที่สุดอีกอย่างในเรื่อง เชียร์ออสการ์ original score สุดใจ ไม่ได้เสพสิ่งนี้ในโรงถือว่าพลาด!!
ท้ายสุดจริงๆ คืองาน production ดีมาก!! โดยเฉพาะคอสตูมของเบลล่า อย่างที่บอกว่าหนังพยายามยกตัวเองให้ surreal ไปสุดทาง คอสตูมแต่ละชุดของนางเอกเลยอลังการสุดๆ แล้วเอ็มม่าสโตนใส่อะไรก็สวย มองได้ทั้งเรื่องไม่มีเบื่อ เลือกไม่ถูกเลยระหว่าง Barbie VS Poor things (แต่ใจยกให้ poor things ไปแล้ว ชอบมากจริงๆ)
สรุป หนังมอบประสบการณ์ที่แปลกใหม่แต่น่าสนใจมากๆ ให้คนดูในทุกมิติของเรื่อง เป็นความประหลาดที่สุดแสนจะ satisfied ซึ่งไม่รู้จะหาแบบนี้ได้อีกจากที่ไหน ดูหนังจบคนไม่จบ หนังทิ้งอะไรไว้ให้คิดต่อเยอะมากๆ จนไม่รู้จะเล่าออกมายังไงหมด ไปดูเองคับ แล้วมาหวีด emma stone กับเรา ยิ่งโตยิ่งสวย การแสดงยิ่งพัฒนาไปไกลของแท้เลยคนนี้
สุดท้ายยยยแล้วจริงๆ ส่วนตัวก็ยังไม่ค่อยชัวร์ว่า poor things ในเรื่องนี้มันหมายถึงใคร หรืออะไร จะเป็นตัวเบลล่าเองที่ต้องเติบโตขึ้นมาอยู่ในโลกที่ไม่ได้สดสวยอย่างที่เคยมอง ต้องเจอแต่กับคนที่เฝ้าแต่จะครอบครองชีวิตของเธอ หรือจะเป็นคนธรรมดาในเรื่องที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรอบเกณฑ์อย่างไร้อิสระ หรืออาจจะเหมารวมถึงเราทุกคน ทุกสิ่งที่เกิดมาบนโลก เพราะชีวิตมันไม่ได้ง่าย การโตเป็นผู้ใหญ่มันไม่ได้มีแต่เรื่องที่สวยงาม การ being here เลยถูก considered ว่าเป็น poor things จากสายตาของพระเจ้าที่มองอยู่ข้างบน
คิดเห็นยังไงมาแชร์กันได้เลยค่ะะ
[CR] รีวิวหนัง Poor things : หนัง coming of age ฉบับ 20+
เคยดูหนังของ Yorgos แค่ the killing of sacred deer เรื่องเดียว พอได้มาซ้ำ poor things ถึงได้รู้ว่าตัวเราเองคงนิยามงานของเค้าได้แค่คำว่า แปลก แต่เป็นความแปลกที่ satisfied หัวใจสุดๆ เป็นคนที่ถ่ายทอดความแปลกออกมาได้อย่างมีชั้นเชิงและรสนิยมมากๆ
ตลอดทั้งเรื่องเราไม่สามารถละสายตาออกจากหนังได้เลยตลอดสองชั่วโมง หนึ่งคือความแปลกของสตอรี่ที่ไม่รู้ว่ามันจะพาเราไปสุดที่ตรงไหน สองคือการแสดงของ emma stone ที่ตราตรึงคนดูอย่างเราไว้ และสามคือมุมกล้อง ภาพที่ออกมา รวมทั้งซาวด์ประกอบที่ดึงดูด มันคือความลงตัวในทุกองค์ประกอบและส่งผลให้สิ่งนี้มันกลายเป็นงานศิลปะชิ้นนึงเลย งดงามมากๆ
หนังเล่าถึงเรื่องราวของวิกตอเรีย ซึ่งเธอคือแฟรงเกนสไตน์ที่ถูก replace สมองเดิมด้วยสมองของทารกซึ่งเป็นลูกของเธอเอง เธอเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยชื่อเบลล่า และเริ่มต้นวัยเด็กในร่างของผู้ใหญ่ คนดูอย่างเราจะได้เห็นถึงการเติบโตของเธอในแง่ของพัฒนาการทางร่างกาย ไปจนถึงทางจิตใจ ความคิด และการกระทำ ความสดใหม่ของชีวิตในร่างที่เติบโตทำให้เบลล่าพาเราไปสำรวจโลกในแบบที่เราไม่เคยได้พบมาก่อน
เหมือนได้ดูหนัง coming of age แต่ร่างกายและสิ่งแวดล้อมของตัวละครเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว การนำเสนอของมันเลยรุนแรงแต่ชัดเจนกว่าการก้าวผ่านพ้นวัยแบบทั่วๆ ไป เรื่องของ เซ็กส์ เลยถูกหยิบยกขึ้นมา
เราได้เห็นเบลล่าที่ค่อยๆ เติบโตขึ้น ความบริสุทธิ์และสวยงามของเธอค่อยๆ ถูกเติมเต็มด้วยเรื่องราวต่างๆ ในทุกๆ การเดินทาง เซ็กส์ ความสัมพันธ์ ความทุกข์ ความเศร้า ความสูญเสีย จนซีนสุดท้ายที่เธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ มันคือการที่ชีวิตได้ผ่านเรื่องราวมาอย่างมากมาย ทุกอย่างในชีวิตสอนให้เธอเติบโตได้มากกว่าการถูกกักขังไว้ในบ้านที่ก็อตวินผู้รับบทพนะเจ้าคอยเฝ้าทะนุถนอมควบคุมดูแลเธอซะอีก
สิ่งนึงที่เรารู้สึกมากๆ จากหนังคือเอเนอจี้ของ free living ตลอดทั้งเรื่องเบลล่าถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเป็นเด็กที่เป็นเหมือนผ้าขาวสะอาด เธอไม่แคร์ว่าใครจะมองเธอยังไง บังคับเธอยังไง ว่าเธอจะอยู่ในสังคมผู้ดีหรือไม่ เธอแค่ทำสิ่งที่เธออยาก ทำในสิ่งที่เธอมีความสุขที่จะทำ เรื่องของเซ็กส์ที่เธอมองว่ามันเป็นความสุขที่เธอต้องการ แล้วมันจะผิดตรงไหนหากเธอจะมีอะไรกับใครเพื่อแลกกับเงิน มันคือโลกแห่งความเป็นอิสระที่เบลล่ามีสิทธิ์ในร่างกายตัวเองอย่างเต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำ อยากพูดอะไรก็พูด ซึ่งถ้ามองผ่านเลนส์คนที่เติบโตมาปกติอย่างคนดูมันคงจะเต็มไปด้วยคำถาม ความเคลือบแคลงใจอะไรบางอย่างในการตัดสินใจแบบนี้ของเบลล่า แต่หนังกลับเล่าออกมาในมุมที่ทุกอย่างมันโอเคและปกติมาก จนทำให้คนดูเกิดตั้งคำถามอีกครั้งว่าหรือจริงๆ แล้ว อิสระ แบบนั้นมันควรจะเป็นเรื่องปกติ เป็นสิทธิ์ที่เราทุกคนมี และสามารถใช้มันได้อย่างถูกต้อง
หนังมันไม่พาให้คนดูตัดสินอะไรในตัวเบลล่าเลย เราทำได้แค่เฝ้ามองความเป็นไปของเรื่องราวที่จะสื่อ ชอบที่ช่วงแรกๆ หนังเป็นภาพขาวดำ เหมือนจะเป็นความโบราณ คร่ำครึ อยู่แต่ในกรอบที่วางไว้ แต่พอเบลล่าได้ออกเดินทางไปยังโลกกว้าง ภาพทุกอย่างกลับสดใส สีสันฉูดฉาด ความเหนือจริงของซีนบางซีนที่เหมือนหลุดออกมาจากนอกโลก มันคือสีสันในชีวิตที่ถูกแต่งแต้มด้วยประสบการณ์ที่เธอเลือกด้วยตนเอง
แล้ววิธีการเล่าของมันสนุกมาก เป็นเหมือน dark comedy ที่คนดู get along with ไปด้วยง่ายๆ เป็นประสบการณ์ร่วมของคนทุกชาติเลยมั้ง555555 อย่างที่บอกว่าหนังมันชวนให้ตั้งคำถามเยอะมากๆ แต่ไม่ได้ยัดเยียดอะไร พาคนดูขมวดคิ้วบ้าง ตบเข่าฉาดบ้าง ไหลลื่นและเป็นธรรมชาติ แต่ก็ฝากอะไรทิ้งท้ายเอาไว้ได้อย่างเจ็บแสบสุดๆ
มาถึงไคลแมกซ์ของหนัง ถ้าไม่ได้ Emma stone มาอยู่ในเรื่องนี้ ก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าหนังมันจะออกมายอดเยี่ยมขนาดนี้ได้มั้ย ความ surreal และสตอรี่ทั้งหมดนี้คนดูจะไม่มีวันซื้อมันเลยหากนักแสดงเอาไม่อยู่ และเอ็มม่าแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้บนบ่าของเธอได้อย่างอยู่หมัด ท่าทาง สายตา วิธีการพูดของเธอถูกพัฒนาตั้งแต่ต้นยันจบ เรามองเห็นการเติบโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ ความไร้เดียงสา & ความกร้านโลก มันคือ contrast ของ personality ที่ถูกส่งผ่านมาถึงเราอย่างชัดเจน และทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันน่ามองมากๆ อย่างที่บอกว่าแค่ตัวเอ็มม่าก็ทำให้คนดูละสายตาไปไหนไม่ได้แล้ว เซอร์ไพรส์ใน nude scene มาก emma เต็มที่กับหนังสุดๆ มันคือ sex scene ที่เติมเต็มเรื่องราว และส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกของตัวละครเบลล่าได้ชัดเจนมาก สวยงาม ร้อนแรง ดุดัน และมีพลัง ถ้าออสการ์ไม่ได้เป็นของ emma stone แล้วจะเป็นของใครได้อีก!!!
ในเรื่องของนักแสดงขอชื่นชมอีก 2 ตัวละครคือ ดร.ก็อตวินที่แสดงโดยลุงกรีนก็อบลิน คือน่ามองมาก (อันนี้ bias ส่วนตัวชอบลุง Willem Dafoe อยู่แล้ว55555) และสองคือมาร์ค รัฟฟาโร่ที่แสดงเป็นหนุ่มนักรักดันแคน ตอนแรกจำหน้าพี่มาร์คไม่ได้ด้วยซ้ำ555555 แต่เล่นดีมากจริงๆ เอาบทตัวเองอยู่ รู้วิธีนำเสนอตัวละครออกมาได้อย่างมีเสน่ห์และน่าจดจำในแบบของตัวเอง เคมีระหว่างพี่แกกับเอ็มม่าคือดีมากเลย
สุดท้ายคือวิธีการถ่ายทอดตัวหนังสู่สายตาคนดู เราว่าสิ่งนี้เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้หนังเอาคนดูได้อยู่หมัดตลอด 2 ชม ต้องยอมใจผกก เค้าเป็นคนที่มีมุมมองที่น่าสนใจมากๆ วิธีการแพนกล้อง ซูมอินบ้าง ซูมเอาท์บ้าง หรือการใช้ fish lens มาช่วยเน้นอารมณ์ของซีน ลูกเล่นในเรื่องมันเยอะจนเราสามารถว้าวกับความแปลกใหม่นี้ไปได้ตลอดทั้งเรื่องเลย รวมทั้งซาวด์ประกอบที่ต้องยกนิ้วให้ มันคือส่วนที่ดีที่สุดอีกอย่างในเรื่อง เชียร์ออสการ์ original score สุดใจ ไม่ได้เสพสิ่งนี้ในโรงถือว่าพลาด!!
ท้ายสุดจริงๆ คืองาน production ดีมาก!! โดยเฉพาะคอสตูมของเบลล่า อย่างที่บอกว่าหนังพยายามยกตัวเองให้ surreal ไปสุดทาง คอสตูมแต่ละชุดของนางเอกเลยอลังการสุดๆ แล้วเอ็มม่าสโตนใส่อะไรก็สวย มองได้ทั้งเรื่องไม่มีเบื่อ เลือกไม่ถูกเลยระหว่าง Barbie VS Poor things (แต่ใจยกให้ poor things ไปแล้ว ชอบมากจริงๆ)
สรุป หนังมอบประสบการณ์ที่แปลกใหม่แต่น่าสนใจมากๆ ให้คนดูในทุกมิติของเรื่อง เป็นความประหลาดที่สุดแสนจะ satisfied ซึ่งไม่รู้จะหาแบบนี้ได้อีกจากที่ไหน ดูหนังจบคนไม่จบ หนังทิ้งอะไรไว้ให้คิดต่อเยอะมากๆ จนไม่รู้จะเล่าออกมายังไงหมด ไปดูเองคับ แล้วมาหวีด emma stone กับเรา ยิ่งโตยิ่งสวย การแสดงยิ่งพัฒนาไปไกลของแท้เลยคนนี้
สุดท้ายยยยแล้วจริงๆ ส่วนตัวก็ยังไม่ค่อยชัวร์ว่า poor things ในเรื่องนี้มันหมายถึงใคร หรืออะไร จะเป็นตัวเบลล่าเองที่ต้องเติบโตขึ้นมาอยู่ในโลกที่ไม่ได้สดสวยอย่างที่เคยมอง ต้องเจอแต่กับคนที่เฝ้าแต่จะครอบครองชีวิตของเธอ หรือจะเป็นคนธรรมดาในเรื่องที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรอบเกณฑ์อย่างไร้อิสระ หรืออาจจะเหมารวมถึงเราทุกคน ทุกสิ่งที่เกิดมาบนโลก เพราะชีวิตมันไม่ได้ง่าย การโตเป็นผู้ใหญ่มันไม่ได้มีแต่เรื่องที่สวยงาม การ being here เลยถูก considered ว่าเป็น poor things จากสายตาของพระเจ้าที่มองอยู่ข้างบน
คิดเห็นยังไงมาแชร์กันได้เลยค่ะะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้