อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๑๖ เขาสำเภาสมใจ
เรียกว่าจากที่ได้เห็นครั้งแรกก็สิบกว่าปีเลยกว่าผมจะได้เยือน ‘พนมซัมโปว’ หรือ ‘เขาสำเภา’ สมใจเสียที และความต้องการขึ้นเขาสำเภาของผมนั้นเพียงเพราะเห็นว่ามันมีลักษณะน่าสนใจเท่านั้นแหละ ตอนนั้นไม่รู้เลยว่ามันยังมีตำนานที่มาและเรื่องราวน่าสนใจไม่แพ้สภาพภูมิประเทศของมันเช่นกัน และเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้น บางเหตุการณ์ถึงกับทำให้มันได้ชื่อว่า ‘ถ้ำสังหารแห่งบัตด็อมบอง’ กันเลยทีเดียว
เมื่อมาถึงเพื่อนก็จอดรถบริเวณตีนเขา โดยต้องจ่ายค่าฝากรถกันด้วยห้าร้อยเรียล (ไม่ถึงห้าบาท) บริเวณด้านล่างนี้จะมีร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกไม่ต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป ผมนั้นเดินไปก็มองหาถ่ายรูปไปด้วย ได้มาเยือนทั้งทีก็ต้องมีภาพอวดเพื่อนในโลกออนไลน์กันหน่อยสิน่า และนิสัยการถ่ายภาพของผมก็จะเป็นแบบที่ผมเรียกเองว่า ‘ถ่ายร้อยเอารูป’ นั่นคือถ่ายให้มากเข้าไว้ และเลือกใช้ภาพสวยสุดเพียงภาพหรือสองภาพเท่านั้นมาอวดเพื่อน ก็เลยจะเป็นการเดินไปถ่ายภาพไปตลอดทางอย่างที่บอก
ผ่านร้านขายของที่ระลึกร้านสุดท้ายก็จะถึงบันไดขึ้นเขากันแล้ว
“ฅนไทยหรือเปล่า” เสียงดังมาจากชายผู้สวมเครื่องแบบซึ่งอยู่ลึกจากข้างทางสักหน่อย เขาร้องถามพลางกวักมือให้เราเข้าไปหา
เอาแล้วสิตู ผมอดสะดุ้งและบอกตัวเองแบบนั้นไม่ได้ รู้ได้อย่างไรนะว่าเป็นฅนไทย ผมถามในหัวขณะสมองเริ่มประมวลผล ไม่ใช่จากหน้าตาท่าทางแน่นอน เพราะหน้าตาผมนั้นต้องเรียกว่าเหมือนแขมร์มากกว่าแขมร์จริง ๆ เสียอีก มันต้องมาจากการเดินไปถ่ายรูปไปนี่แหละ เพราะตอนนั้นถึงจะมีสังคมออนไลน์อะไรนี่แล้วก็ตาม แต่ที่นี่ยังมีไม่กี่ฅนที่รู้จัก อย่าว่าแต่สังคมทางอินเทอร์เน็ตอะไรนี่เลย ช่วงที่ผมไปนั้นที่นี่จะมี 3g แล้ว ขณะที่บ้านเรายังมะงุมมะงาหรากันอยู่ แต่เมื่อผมถามถึง 3g กลับไม่มีสักฅนที่รู้จัก การเดินไปถ่ายภาพไปแบบนี้จึงทำให้ผมถูกแบ่งแยกได้ไม่ยากนั่นเอง
ซึ่งตรงนี้อย่าว่าแต่ที่นี่เลย แม้แต่เมืองไทยผมยังถูกมองว่าแปลกอยู่บ่อย ๆ เพราะตอนนั้นสังคมขนบทยังมีน้อยฅนที่จะรู้จักอินเทอร์เนตเช่นกัน ขนาดผมนั่งกดโทรศัพท์ยังถูกหัวเราะว่าแก่แล้วยังเล่นเกมอยู่อีกก็บ่อยไป แฮ่…
แต่ครั้งนี้ปัญหามันอยู่ที่ว่าผมเข้ามาโดยผิดกฎหมายนี่สิ จะเอาอะไรมาอ้างดี จะบอกว่าไม่ใช่เพื่อนก็หลุดปากรับออกไปแล้ว สมัยนี้ไม่ใช่ยุคสงครามแบบเมื่อก่อนด้วย ผมอดลุ้นไม่ได้ขณะเดินเข้าไปตามคำเรียก
“ซื้อตั๋วก่อน ยี่สิบบาท” เขาบอกหน่วยเป็นเงินไทย โล่งอกกันได้ นึกว่าตำรวจ ที่แท้ก็เจ้าหน้าที่ท่องเที่ยวนี่เอง ฮา
.
จากนั้นเราก็ไต่บันไดพันสองร้อยกว่าขั้นขึ้นสู่ยอดเขาสำเภากัน
ซึ่งทางขึ้นเขาสำเภานี้อีกด้านหนึ่งจะเป็นเส้นทางที่เพิ่งสร้างเสร็จ รถยนต์สามารถวิ่งขึ้นไปได้ มีรถจักรยานยนต์รับจ้างรอบริการพาเราขึ้นเขาเช่นกัน แต่เนื่องจากเป็นครั้งแรก เพื่อนพาขึ้นบันไดก็ขึ้นกันนั่นแหละ (ปัจจุบันไม่มีใครใช้บันไดกันแล้ว)
(เส้นทางรถยนต์ตามที่กล่าว)
ไอ้ผมนั้นไม่เท่าไรหรอก แต่ฅนพาขึ้นนี่สิ อย่าลืมว่าเขานั้นกรึ่มได้ที่มาจากงานแต่งแล้วด้วยนะครับ เมื่อต้องปีนบันไดขึ้นเขาอีกจึงแทบจะคลานขึ้นกันเลยทีเดียว น้องสาวเพื่อนจากไทยก็ดูท่าว่าอยากจะคลานขึ้นไม่ต่างกัน แต่ยังมีอารมณ์ขำตัวเองไปด้วยตลอดทาง
(สองฅนคลานขึ้นบันได)
คิดแล้วผมเองนี่ก็ไม่ได้คิดอะไรเลยจริง ๆ ที่เคี่ยวเข็ญให้เพื่อนพามาในสภาพไม่พร้อมแบบนี้ แต่ตอนนั้นมันคิดว่าหาโอกาสยาก หากไม่ขึ้นตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอกันอีกกี่ปี
ก็ยังดีที่ระหว่างทางจะมีจุดพักตลอด บางจุดทำให้เราได้ชมทิวทัศน์สวย ๆ ของทุ่งกว้างจากมุมสูงกันด้วย แต่ส่วนใหญ่ตามจุดพักจะมีรูปเคารพทางศาสนาให้ได้กราบไหว้ และตู้บริจาคให้ได้หยอดธนบัตรกันมากกว่า
(ปัจจุบันตู้บริจาคและรูปเคารพไม่มีแล้วเช่นกันเพราะไม่มีฅนผ่านแล้ว)
และไม่ว่าอย่างไร แม้จะทุลักทุเลกันบ้าง แต่เราก็สามารถพิชิตชัยบันไดพันกว่าขั้นได้สำเร็จในที่สุด
บนยอดเขาจะมีรูปเคารพทางศาสนาเห็นได้ทั่วไป มีร้านขายของกินของที่ระลึกกันบ้างเล็กน้อย ทางขวามือจะมีเส้นทางชมถ้ำต่าง ๆ โดยจะมีถ้ำหนึ่งเป็นที่เก็บกะโหลกและกระดูกของผู้เสียชีวิตที่นี่ในยุคสงครามด้วย
(กะโหลกมนุษย์ในถ้าหนึ่งที่เขาสำเภา)
แต่ตรงนี้เพื่อนผมไม่ได้พาไปชมหรอก (แค่นี้ก็คงจะหมดแรงแล้วนั่นแหละ) ข้อมูลที่ว่านี้มาจากการได้ขึ้นในครั้งถัดไปของผมมากกว่า
ดังนั้นเมื่อน้องสาวเพื่อนจากไทยซื้อมะขวิดที่แม่ค้านำขึ้นมาขายกันบนนี้แล้ว เราก็เดินตามเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขากันต่อ
แต่ก่อนจะถึงเจดีย์บนยอดเขาเพื่อนก็พาเราเลี้ยวไปตามเส้นทางด้านขวามือ และไต่บันไดลงสู่พื้นถ้ำเล็ก ๆ ซึ่งมีเพดานสูงมากทีเดียว เมื่อแหงนมองจะเห็นว่ามีปล่องถ้ำอยู่บนนั้น ซึ่งเจ้าปล่องถ้ำนี้เองคือที่มาของสมญานาม 'ถ้ำสังหารแห่งบัตด็อมบอง'
(ถ้ำสังหารแห่งพระตะบอง)
ครั้งสงครามนั้นขแมร์กรอฮอม หรือเขมรแดงได้ตั้งกองกำลังอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ ฅนบริสุทธิ์มากมายถูกจับมาสังหารที่นี่ ด้วยวิธีการที่ต้องเรียกว่าเหี้ยมโหดมาก โดยฅนเหล่านั้นจะถูกทุบตีถูกทรมานต่าง ๆ นานา ก่อนถูกถีบถูกโยนร่างลงปล่องถ้ำให้ได้พบความตายเบื้องล่างกันเอง
ฝั่งตรงข้ามมีบันไดทางขึ้นเช่นกันกับฝั่งนี้ เราไปกันต่อดีกว่า… หลังจากไต่บันไดฝั่งนี้มาได้หน่อยเส้นทางต่อไปก็คือการไต่หน้าผา ทุลักทุเลพอควรแต่ทิวทัศน์ก็สวยทีเดียว (ต้องบอกก่อนว่านี่ไม่ใช่เส้นทางปกตินะครับ เป็นการหาเรื่องพามาของผู้ชำนาญทางอย่างเพื่อนผมมากกว่า)
และในที่สุดเราก็ขึ้นสู่ลานเจดีย์บนยอดเขากันจนได้ ด้านหลังเจดีย์ที่ว่านี้ก็คือปล่องถ้ำซึ่งเรามองจากด้านล่างเมื่อสักครู่ (จากการขึ้นไปครั้งสุดท้ายเห็นว่ากำลังมีการสร้างศาลาครอบส่วนนี้อยู่)
หลังจากนั้นเราก็ได้เวลาลงจากเขากันเสียทีเพราะตะวันเริ่มลับฟ้าลงไปแล้ว
ครับ ตอนนั้นผมยังไม่ทราบเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเขาสำเภานี้มากนักหรอก ไม่รู้ด้วยว่าหลาย ๆ ฅนที่ผมได้รู้จักนั้น แต่ละฅนล้วนมีความหลังเกี่ยวพันกับสถานที่แห่งนี้ รวมถึงเพื่อนผมฅนที่พามานี่ด้วย
และบทนี้คงต้องขออนุญาตจบกันสั้น ๆ แต่เพียงนี้นะครับ ได้โปรดติดตามตอนต่อไป.
(วัดเขาสำเภา)
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๑๖)
โดย : ละเว้
บทที่๑๖ เขาสำเภาสมใจ
เรียกว่าจากที่ได้เห็นครั้งแรกก็สิบกว่าปีเลยกว่าผมจะได้เยือน ‘พนมซัมโปว’ หรือ ‘เขาสำเภา’ สมใจเสียที และความต้องการขึ้นเขาสำเภาของผมนั้นเพียงเพราะเห็นว่ามันมีลักษณะน่าสนใจเท่านั้นแหละ ตอนนั้นไม่รู้เลยว่ามันยังมีตำนานที่มาและเรื่องราวน่าสนใจไม่แพ้สภาพภูมิประเทศของมันเช่นกัน และเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้น บางเหตุการณ์ถึงกับทำให้มันได้ชื่อว่า ‘ถ้ำสังหารแห่งบัตด็อมบอง’ กันเลยทีเดียว
เมื่อมาถึงเพื่อนก็จอดรถบริเวณตีนเขา โดยต้องจ่ายค่าฝากรถกันด้วยห้าร้อยเรียล (ไม่ถึงห้าบาท) บริเวณด้านล่างนี้จะมีร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกไม่ต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป ผมนั้นเดินไปก็มองหาถ่ายรูปไปด้วย ได้มาเยือนทั้งทีก็ต้องมีภาพอวดเพื่อนในโลกออนไลน์กันหน่อยสิน่า และนิสัยการถ่ายภาพของผมก็จะเป็นแบบที่ผมเรียกเองว่า ‘ถ่ายร้อยเอารูป’ นั่นคือถ่ายให้มากเข้าไว้ และเลือกใช้ภาพสวยสุดเพียงภาพหรือสองภาพเท่านั้นมาอวดเพื่อน ก็เลยจะเป็นการเดินไปถ่ายภาพไปตลอดทางอย่างที่บอก
ผ่านร้านขายของที่ระลึกร้านสุดท้ายก็จะถึงบันไดขึ้นเขากันแล้ว
“ฅนไทยหรือเปล่า” เสียงดังมาจากชายผู้สวมเครื่องแบบซึ่งอยู่ลึกจากข้างทางสักหน่อย เขาร้องถามพลางกวักมือให้เราเข้าไปหา
เอาแล้วสิตู ผมอดสะดุ้งและบอกตัวเองแบบนั้นไม่ได้ รู้ได้อย่างไรนะว่าเป็นฅนไทย ผมถามในหัวขณะสมองเริ่มประมวลผล ไม่ใช่จากหน้าตาท่าทางแน่นอน เพราะหน้าตาผมนั้นต้องเรียกว่าเหมือนแขมร์มากกว่าแขมร์จริง ๆ เสียอีก มันต้องมาจากการเดินไปถ่ายรูปไปนี่แหละ เพราะตอนนั้นถึงจะมีสังคมออนไลน์อะไรนี่แล้วก็ตาม แต่ที่นี่ยังมีไม่กี่ฅนที่รู้จัก อย่าว่าแต่สังคมทางอินเทอร์เน็ตอะไรนี่เลย ช่วงที่ผมไปนั้นที่นี่จะมี 3g แล้ว ขณะที่บ้านเรายังมะงุมมะงาหรากันอยู่ แต่เมื่อผมถามถึง 3g กลับไม่มีสักฅนที่รู้จัก การเดินไปถ่ายภาพไปแบบนี้จึงทำให้ผมถูกแบ่งแยกได้ไม่ยากนั่นเอง
ซึ่งตรงนี้อย่าว่าแต่ที่นี่เลย แม้แต่เมืองไทยผมยังถูกมองว่าแปลกอยู่บ่อย ๆ เพราะตอนนั้นสังคมขนบทยังมีน้อยฅนที่จะรู้จักอินเทอร์เนตเช่นกัน ขนาดผมนั่งกดโทรศัพท์ยังถูกหัวเราะว่าแก่แล้วยังเล่นเกมอยู่อีกก็บ่อยไป แฮ่…
แต่ครั้งนี้ปัญหามันอยู่ที่ว่าผมเข้ามาโดยผิดกฎหมายนี่สิ จะเอาอะไรมาอ้างดี จะบอกว่าไม่ใช่เพื่อนก็หลุดปากรับออกไปแล้ว สมัยนี้ไม่ใช่ยุคสงครามแบบเมื่อก่อนด้วย ผมอดลุ้นไม่ได้ขณะเดินเข้าไปตามคำเรียก
“ซื้อตั๋วก่อน ยี่สิบบาท” เขาบอกหน่วยเป็นเงินไทย โล่งอกกันได้ นึกว่าตำรวจ ที่แท้ก็เจ้าหน้าที่ท่องเที่ยวนี่เอง ฮา
.
จากนั้นเราก็ไต่บันไดพันสองร้อยกว่าขั้นขึ้นสู่ยอดเขาสำเภากัน
ซึ่งทางขึ้นเขาสำเภานี้อีกด้านหนึ่งจะเป็นเส้นทางที่เพิ่งสร้างเสร็จ รถยนต์สามารถวิ่งขึ้นไปได้ มีรถจักรยานยนต์รับจ้างรอบริการพาเราขึ้นเขาเช่นกัน แต่เนื่องจากเป็นครั้งแรก เพื่อนพาขึ้นบันไดก็ขึ้นกันนั่นแหละ (ปัจจุบันไม่มีใครใช้บันไดกันแล้ว)
(เส้นทางรถยนต์ตามที่กล่าว)
ไอ้ผมนั้นไม่เท่าไรหรอก แต่ฅนพาขึ้นนี่สิ อย่าลืมว่าเขานั้นกรึ่มได้ที่มาจากงานแต่งแล้วด้วยนะครับ เมื่อต้องปีนบันไดขึ้นเขาอีกจึงแทบจะคลานขึ้นกันเลยทีเดียว น้องสาวเพื่อนจากไทยก็ดูท่าว่าอยากจะคลานขึ้นไม่ต่างกัน แต่ยังมีอารมณ์ขำตัวเองไปด้วยตลอดทาง
(สองฅนคลานขึ้นบันได)
คิดแล้วผมเองนี่ก็ไม่ได้คิดอะไรเลยจริง ๆ ที่เคี่ยวเข็ญให้เพื่อนพามาในสภาพไม่พร้อมแบบนี้ แต่ตอนนั้นมันคิดว่าหาโอกาสยาก หากไม่ขึ้นตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอกันอีกกี่ปี
ก็ยังดีที่ระหว่างทางจะมีจุดพักตลอด บางจุดทำให้เราได้ชมทิวทัศน์สวย ๆ ของทุ่งกว้างจากมุมสูงกันด้วย แต่ส่วนใหญ่ตามจุดพักจะมีรูปเคารพทางศาสนาให้ได้กราบไหว้ และตู้บริจาคให้ได้หยอดธนบัตรกันมากกว่า
(ปัจจุบันตู้บริจาคและรูปเคารพไม่มีแล้วเช่นกันเพราะไม่มีฅนผ่านแล้ว)
และไม่ว่าอย่างไร แม้จะทุลักทุเลกันบ้าง แต่เราก็สามารถพิชิตชัยบันไดพันกว่าขั้นได้สำเร็จในที่สุด
บนยอดเขาจะมีรูปเคารพทางศาสนาเห็นได้ทั่วไป มีร้านขายของกินของที่ระลึกกันบ้างเล็กน้อย ทางขวามือจะมีเส้นทางชมถ้ำต่าง ๆ โดยจะมีถ้ำหนึ่งเป็นที่เก็บกะโหลกและกระดูกของผู้เสียชีวิตที่นี่ในยุคสงครามด้วย
(กะโหลกมนุษย์ในถ้าหนึ่งที่เขาสำเภา)
แต่ตรงนี้เพื่อนผมไม่ได้พาไปชมหรอก (แค่นี้ก็คงจะหมดแรงแล้วนั่นแหละ) ข้อมูลที่ว่านี้มาจากการได้ขึ้นในครั้งถัดไปของผมมากกว่า
ดังนั้นเมื่อน้องสาวเพื่อนจากไทยซื้อมะขวิดที่แม่ค้านำขึ้นมาขายกันบนนี้แล้ว เราก็เดินตามเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขากันต่อ
แต่ก่อนจะถึงเจดีย์บนยอดเขาเพื่อนก็พาเราเลี้ยวไปตามเส้นทางด้านขวามือ และไต่บันไดลงสู่พื้นถ้ำเล็ก ๆ ซึ่งมีเพดานสูงมากทีเดียว เมื่อแหงนมองจะเห็นว่ามีปล่องถ้ำอยู่บนนั้น ซึ่งเจ้าปล่องถ้ำนี้เองคือที่มาของสมญานาม 'ถ้ำสังหารแห่งบัตด็อมบอง'
ฝั่งตรงข้ามมีบันไดทางขึ้นเช่นกันกับฝั่งนี้ เราไปกันต่อดีกว่า… หลังจากไต่บันไดฝั่งนี้มาได้หน่อยเส้นทางต่อไปก็คือการไต่หน้าผา ทุลักทุเลพอควรแต่ทิวทัศน์ก็สวยทีเดียว (ต้องบอกก่อนว่านี่ไม่ใช่เส้นทางปกตินะครับ เป็นการหาเรื่องพามาของผู้ชำนาญทางอย่างเพื่อนผมมากกว่า)
และในที่สุดเราก็ขึ้นสู่ลานเจดีย์บนยอดเขากันจนได้ ด้านหลังเจดีย์ที่ว่านี้ก็คือปล่องถ้ำซึ่งเรามองจากด้านล่างเมื่อสักครู่ (จากการขึ้นไปครั้งสุดท้ายเห็นว่ากำลังมีการสร้างศาลาครอบส่วนนี้อยู่)
หลังจากนั้นเราก็ได้เวลาลงจากเขากันเสียทีเพราะตะวันเริ่มลับฟ้าลงไปแล้ว
ครับ ตอนนั้นผมยังไม่ทราบเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเขาสำเภานี้มากนักหรอก ไม่รู้ด้วยว่าหลาย ๆ ฅนที่ผมได้รู้จักนั้น แต่ละฅนล้วนมีความหลังเกี่ยวพันกับสถานที่แห่งนี้ รวมถึงเพื่อนผมฅนที่พามานี่ด้วย
และบทนี้คงต้องขออนุญาตจบกันสั้น ๆ แต่เพียงนี้นะครับ ได้โปรดติดตามตอนต่อไป.
(วัดเขาสำเภา)