JJNY : จบดราม่า "แม่พิธา"โทรปรับความเข้าใจ│น้ำมันโลกพุ่งรับตรุษจีน│เอสเอ็มอีหวังงวดหน้ากนง.ลดดอกเบี้ย│อิสราเอลถล่มราฟาห์

จบดราม่า "แม่พิธา" โทรปรับความเข้าใจ "อภัยวงศ์" สรุปไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน
https://www.thairath.co.th/news/politic/2761909

 
จบดราม่า "ทายาทอภัยวงศ์" เผย "แม่พิธา" โทรปรับความเข้าใจ ปม "บ้านคุณยาย" แล้ว รับ "คุณยายอนุศรี" เคยเป็น "สะใภ้อภัยวงศ์" ในช่วงหนึ่ง ยืนยัน แม้เราไม่ได้เป็นสายเลือดเดียวกัน แต่เป็นคนร่วมชาติเดียวกัน
 
วันที่ 9 ก.พ. 2567 จากกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความ ชี้แจง ปม เคยโพสต์ภาพบ้านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) เมืองพระตะบอง ประเทศกัมพูชา พร้อมข้อความสรุปว่า เป็นบ้านของคุณยายที่เคยอาศัยอยู่เมื่อประมาณ 100 ปีก่อน เมื่อปี 2558 
 
ทั้งนี้ อาจารย์ตรีดาว อภัยวงศ์ ทายาทตระกูลอภัยวงศ์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว Threedow Aphaiwongs ระบุว่า 

"ขออนุญาตเรียนแจ้งข้อมูล กรณีที่เกี่ยวข้องกับ "บ้านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร" ที่พระตะบอง และโพสต์ของคุณพิธาที่เกี่ยวข้องกับ สกุล อภัยวงศ์ นะคะ"
 
"สืบเนื่องจากกรณีที่เป็นประเด็นและข้อสงสัย ว่า คุณยายของ คุณพิธา เป็นใคร เหตุใดจึงเคยอาศัยอยู่ในบ้านของ เจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้ทั้งๆ ที่บ้านหลังนั้น ตกเป็นของรัฐบาลกัมพูชาไปตั้งแต่ ปี 2450 แล้ว วันนี้ขออนุญาตสื่อสารข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้ประเด็นส่วนตัวไม่กระทบกับคนส่วนมาก ดังนี้ นะคะ"
"คุณแม่ของคุณพิธา ท่านได้โทรศัพท์มาปรับความเข้าใจและพูดคุยกับผู้ใหญ่ในสกุล อภัยวงศ์ แล้วเมื่อวานนี้"
 
"ทางครอบครัวอภัยวงศ์เข้าใจได้ว่า การที่คุณพิธาฟังคำบอกของญาติที่เล่าต่อกันมา อาจจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้ ทั้งนี้ คุณอนุศรี ซึ่งเป็นคุณยายของคุณพิธาเองก็เคยเป็น สะใภ้ ของสกุล อภัยวงศ์ ในช่วงหนึ่ง"
 
"เราขอเรียนว่าเราเข้าใจถึงเจตนารมณ์ของคุณพิธา ที่ไปเยือนพระตะบองและจะระลึกถึงคุณยายและสถานที่ ที่เคยได้ทราบมาในสมัยยังเด็ก ซึ่งสถานที่นั้นมีส่วนเชื่อมโยงกับสกุล อภัยวงศ์ ทางสายตระกูลเราขอขอบคุณที่ระลึกถึงเรา แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นสายเลือดเดียวกัน แต่เราก็เป็นคนร่วมชาติเดียวกัน ขอบคุณค่ะ"



น้ำมันโลกพุ่งรับตรุษจีน ปรับขึ้นทั่วหน้าทุกตลาด สิงคโปร์ +1.46 เหรียญ
https://ch3plus.com/news/economy/morning/386317

ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับขึ้นอีกครั้ง ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ล่าสุด (9 ก.พ.67) พุ่งขึ้นไป 3% หลังจากที่อิสราเอลปฏิเสธข้อเสนอหยุดยิงฮามาสครั้งใหม่ โดยตลาดไนเม็กซ์ นิวยอร์ก เพิ่มขึ้น 2.36 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ปิดที่ 76.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล
ส่วนตลาดเบรนท์ ลอนดอน เพิ่มขึ้น 2.42 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ปิดที่ 81.36 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล
 
ขณะที่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ ที่ไทยใช้เป็นราคาอ้างอิง ปรับขึ้นเช่นกัน โดยเพิ่มอีก 1.46 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล อยู่ที่ 104.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล



เอสเอ็มอี หวังงวดหน้า กนง.ลดดอกเบี้ยพรวดเดียวเหลือ 2% ด้านหอค้าฯหนุน เหตุศก.ยังเปราะบาง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4416517

เอสเอ็มอี หวังงวดหน้า กนง.ลดดอกเบี้ยพรวดเดียวเหลือ 2% ด้านหอค้าฯหนุน เหตุศก.ยังเปราะบาง-ปชช.หนี้สูง ช่วยลดความเสี่ยงหนี้เสีย
 
เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า มองว่าเป็นสัญญาณที่ดี สะท้อนจากเริ่มมีกรรมการบางคนในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) บางคน มองเห็นความจำเป็นในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ซึ่งการลดดอกเบี้ยในขณะนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งกับการลดความเสี่ยงการทำธุรกิจ และเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและภาคประชาชนโดยตรง ที่วันนี้ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยในอัตราที่สูง ขณะที่สภาพคล่องการทำธุรกิจยังไม่ได้ฟื้นตัวได้ตามคาด กำลังซื้อมีความระมัดระวังสูง ลังเลการใช้จ่าย สะท้อนจากตัวเลขทางเศรษฐกิจและการค้าขายของร้านค้าทั่วไป ผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายเล็ก เอสเอ็มอี เราหวังว่าการประชุมกนง.ในครั้งถัดไป จะพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ย
 
” จริงๆแล้ว ควรปรับดอกเบี้ยลงตั้งแต่รอบนี้แล้ว เริ่มที่ลงอีก 0.5% และเหลือ 2 % ก่อนหน้านี้การปรับขึ้น 0.5% เป็นภาระเพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยความเสี่ยง นั้น แบงก์ชาติ ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบต่อการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานที่ธนาคารพาณิชย์คิดกับประชาชน และ เอสเอ็มอี ทั้งๆที่หลักประกันมี แถมทำประกันชีวิต แต่ไม่มีการตรวจสอบ กำกับดูแลที่ชัดเจนให้ความเป็นธรรม ” นายแสงชัย กล่าว
 
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้มีการหารือและติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยล่าสุดตามที่ประชุม กนง. มีมติเห็นชอบ 5 ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำลง จากปัจจัยเชิงโครงสร้างนั้น หอการค้าฯ รับทราบถึงเหตุผลประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการฯ แต่อย่างไรก็ตามภาคเอกชนโดยที่ประชุม กกร. มองว่าแม้ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปีนี้จะฟื้นตัวได้จากปัจจัยหนุนภาคการท่องเที่ยว แต่ก็ยังมีความเปราะบางจากกำลังซื้อภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวตามเต็มที่ ภาคการผลิตยังมีแนวโน้มหดตัว รวมถึงยังเผชิญความเสี่ยงและความท้าทายในประเด็นภูมิรัฐศาสตร์หลายปัจจัย
 
ทั้งการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งอาจเกิดการปรับเปลี่ยนทางนโยบายสำคัญ ผลกระทบจากสงครามที่ขยายวงโดยเฉพาะอิสราเอล-ฮามาสที่ส่งผลให้ค่าระวางเรือเพิ่มและกระทบกับราคาพลังงาน ปัญหาความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน และการแข่งขันกับสินค้าจีนในประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ภาคธุรกิจถูกกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูงกระทบต้นทุนการดำเนินกิจการโดยตรง ส่วนการกู้ยืมของประชาชนก็มีภาระหนี้สินที่อยู่ในระดับสูงเช่นกัน
 
ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบต่อเนื่อง 4 เดือน แม้ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการปรับลดเชิงเทคนิค ตามนโยบายการลดภาระค่าครองชีพด้านพลังงานของภาครัฐ แต่บ่งชี้ให้เห็นถึงกำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอ ดังนั้น หอการค้าฯ จึงมีข้อเสนอแนะว่าในระยะถัดไป กนง. ควรพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อช่วยลดภาระประชาชน ลดต้นทุนผู้ประกอบการ ซึ่งจะส่วนลดความเสี่ยงในการเกิดหนี้เสีย รวมถึงเสนอให้มีมาตรการใหม่ ๆ ในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวก จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ และเป็นแรงหนุนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ตามเป้าหมายต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่