JJNY : 5in1 “พิธา”เผยภาพคุณยาย แจงข้อเท็จจริง│“สส.แบงค์”ซัดคมนาคม│กัณวีร์ลุกโวยรัฐ│หุ้นไทยร่วง│ดัชนีราคาผู้บริโภคจีนดิ่ง

“พิธา” ลั่น ไม่เคยแอบอ้างเป็นลูกหลาน “อภัยวงศ์” เผยภาพคุณยาย แจงข้อเท็จจริง
https://www.thairath.co.th/news/politic/2761767

“พิธา” เผยภาพคุณยาย พร้อมแจงข้อเท็จจริง ลั่น ไม่เคยแอบอ้างเป็นลูกหลาน “อภัยวงศ์” และไม่เคยคิดว่าภาพเกือบ 10 ปี จะถูกนำมาเป็นประเด็นการเมือง
 
เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ภาพและข้อความผ่านทางอินสตาแกรม โดยชี้แจงถึงเรื่องที่กำลังเป็นกระแสในสังคมตอนนี้ หลังมีข่าวว่าผู้อาวุโสตระกูลอภัยวงศ์ ระบุ นายพิธา ไม่ใช่ญาตินั้น 
 
นายพิธา เผยว่า 
 
ตนเองเกิดมาไม่ทันคุณยาย ความผูกพันเดียว ความทรงจำเดียวที่มีคือรูปคุณยายที่อยู่แถวๆ หิ้งพระ แล้วก็การนอนฟังคุณป้า คุณแม่ และน้าๆ เล่าให้ฟังถึงคุณยายในอดีต พอมาตอนนี้ มีคนตั้งคำถาม เลยถือโอกาสรู้จักคุณยายมากขึ้นในที่สุด ข้อเท็จจริงมีดังต่อไปนี้
 
1. คุณยายอนุศรี เคยแต่งงานกับคุณเกษม อภัยวงศ์ มีบุตรด้วยกัน 2 คน ซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณป้าของผม ณ ปัจจุบัน
2. คุณยายเกิดที่พระนคร ผมไม่ได้มีเชื้อสายเขมร ไม่ได้เป็นลูกครึ่ง ตามที่สื่อบางสำนักตั้งคำถาม ขออย่านำเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นกระทบกระทั่งระหว่างประเทศ
3. คุณยายเคยย้ายไปอยู่พระตะบองพักนึงจริง
4. ผมไม่เคยแอบอ้างว่าเป็นลูกหลานอภัยวงศ์ แต่อย่างใด
5. ผมโพสต์รูปเมื่อปี 2558 ด้วยความระลึกถึงคุณยาย เมื่อตอนไปเที่ยวพระตะบอง และอ้างอิงตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่และผู้นำชม ณ ขณะนั้น ไม่เคยคิดว่าจะถูกนำมาเป็นประเด็นการเมืองให้หลังเกือบ 10 ปีต่อมา
6. จริงๆ เรื่องส่วนตัว แต่คงต้องชี้แจงเพราะมันกระทบวงกว้าง ไม่เฉพาะบุคคล ตระกูล แต่ข้ามไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน (มีคำว่า บ่าว ทาส) ในช่วงที่เวลาผู้นำเขามาเยือนพอดิบพอดี
 
ทั้งนี้ ในช่วงท้าย นายพิธา ยังระบุด้วยว่า “ต้องขอบคุณครอบครัวผมที่ตอนนี้ กำลังค้นแฟ้ม รวมรูปคุณยายกันอย่างขะมักเขม้น
 
https://www.instagram.com/p/C3FRcNmrQ9r/



“สส.แบงค์” ซัด คมนาคม ระบบตั๋วร่วมเมื่อไหร่จะเกิด-เปลี่ยนเลขรถเมล์ทำคนสับสน
https://www.thairath.co.th/news/politic/2761699

“สส.ศุภณัฐ” ตั้งกระทู้ถาม เปลี่ยนหมายเลขรถเมล์ในกรุงเทพฯ ไม่ฟังเสียงประชาชน แบ่งโซนจนคนสับสน คนต่างจังหวัดไม่มีรถเมล์ใช้ ระบบตั๋วร่วมยังไม่เกิด ด้าน รมช.คมนาคม แจง กำลังเร่งประชาสัมสัมพันธ์ ให้ทีมลงไปศึกษาแล้ว ชี้ พ.ร.บ.ตั๋วร่วมจะเข้าสู่ ครม. ภายในเดือนนี้ 
 
วันที่ 8 ก.พ. 2567 ที่อาคารรัฐสภา นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กรุงเทพฯ จตุจักร-บางเขน-หลักสี่ พรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถามสดรัฐบาลเรื่องสายรถเมล์ ที่กรมขนส่งทางบกไปปรับเลขสายรถเมล์แบบใหม่ X-xx และ xxx ที่มีขีดกลาง และแบ่งเป็นโซนต่างๆ ในกรุงเทพฯ ทำให้ผู้สูงอายุและประชาชนต่างวิพากษ์วิจารณ์ เพราะทำให้เกิดความสับสน ซึ่งกรมการขนส่งทางบกเคยทำประชาพิจารณ์แล้วแต่ไม่ผ่านเนื่องจากประชาชนไม่เห็นด้วย แต่กรมการขนส่งทางบกยังดำเนินการ ซึ่งเข้าคอนเซปต์ คนคิดไม่ได้นั่ง คนนั่งไม่ได้ทำ ยืนยันว่ายิ่งแก้ยิ่งสับสนและการแก้เลขสายรถเมล์มันใช้ไม่ได้ผล เพราะส่วนใหญ่วิ่งข้ามโซนกัน จึงสอบถามว่ารัฐมนตรีทราบหรือไม่ว่าประชาชนไม่เห็นด้วยในเรื่องดังกล่าว และจะยกเลิกแบบใหม่ไปใช้แบบดั้งเดิมได้หรือไม่
 
โดยนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมในฐานะกำกับดูแลกรมขนส่งทางบก กล่าวชี้แจงว่า การแบ่งโซนรถเมล์ คณะศึกษาได้ให้เหตุผลว่า กลัวประชาชนหลงทาง โดยประชาชนจะได้ทราบว่าโซนรถเมล์ 1-4 และสีนั้น วิ่งไปไหนก็จะกลับมาที่โซนเดิม ส่วนจะเปลี่ยนกลับไปใช้แบบเดิมได้หรือไม่นั้น วันนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นผลดีหรือไม่ โดยจะให้ทีมลงไปศึกษาอีกครั้ง ว่ามีการประชาสัมพันธ์เพียงพอหรือยัง เพื่อให้ประชาชนเข้าใจเรื่องสายรถเมล์ใหม่ โดยคาดว่าจะใช้เวลา 90 วัน
 
จากนั้นนายศุภณัฐ กล่าวอภิปรายต่อว่า แผนที่ที่รัฐมนตรีนำมาชี้แจงถูกเจ้าหน้าที่วางยาเพราะกำหนดทิศโซนผิด และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ เพราะรัฐมนตรีเป็นคนไปสั่งรื้อเส้นทางทั้งหมดเอง จึงขอให้ช่วยกันแก้และเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง จึงขอถามว่าการให้กรมขนส่งทางบก จากเดิมตรวจสภาพรถแต่ปัจจุบันมาออกใบอนุญาต วางกฎระเบียบผู้เดินรถนั้นถูกต้องหรือไม่ เพราะรถเมล์ที่สะดวก สะอาด เข้าถึงง่าย ราคาจับต้องได้คือสิทธิพื้นฐานของประชาชนที่ได้จากรัฐบาล ขณะที่ปัจจุบันมีรถเมล์วิ่งกันแค่ 153 เส้นทาง และมีอีก 193 เส้นทางที่ไม่ได้วิ่ง แค่ฝั่งตะวันออกก็มีแค่ 7 เส้นทาง ไม่เพียงพอ และทั้งเก่าและทรุดโทรม รอนาน ส่วนต่างจังหวัดบางจังหวัดแทบจะไม่มีรถเมล์ ถ้าเปรียบเทียบการลงทุนรถไฟฟ้า 1 สาย ซื้อรถเมล์ใหม่ยกชุดได้ทั้งประเทศ แต่รัฐบาลกลับไม่สนใจและสนใจแต่รถไฟฟ้า จึงถามว่า รัฐบาลจะแก้ปัญหารถเมล์ขาดแคลนวิ่งไม่ครบรอบอย่างไร และจะมีแนวทางให้เกิดรถเมล์ในเขตของกทม.และต่างจังหวัดที่ยังไม่มีรถเมล์อย่างไร และภายในปี 2567 จะมีจังหวัดใดบ้างที่จะผลักดันรถเมล์เพิ่มขึ้น 
 
นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม จึงชี้แจงว่า จริงๆ รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะให้ความสำคัญและบูรณาการทุกระบบ และในอนาคตรถเมล์จะเป็นพระเอก โดยระบบราง ล้อ จะเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน หากรถไฟทางคู่เสร็จสิ้น ระบบรถไฟความเร็วสูงเสร็จ จะมีรถไฟวิ่งผ่านถึง 61  จังหวัด จะทำให้เกิดการบูรณาการร่วมกัน รถ บขส.จะหายไปหลายพันคัน ส่วนรถเมล์ ขสมก.จะเป็นตัวเชื่อม โดยรัฐบาลที่เข้ามาบริหารครึ่งปีนี้พยายามจะนำเส้นทางต่างๆ มารวมกันโดยในอนาคตจะได้เห็น 
 
ส่วนที่ถามว่ามีจังหวัดใดบ้างจะมีรถเมล์ รัฐบาลได้กระจายอำนาจไปยังท้องถิ่นแล้ว ให้เป็นผู้ประกอบการร่วมกับ บขส. และ ขสมก. ได้ เป็นเจตนาที่รัฐบาลส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงระบบสาธารณะที่เท่าเทียมกัน แต่วันนี้การเชื่อมโยงกันเริ่มจะเป็นรูปธรรม แต่จะสำเร็จต้องอาศัยระบบราง โดยวันนี้ก็เห็นการเปลี่ยนแปลงในกทม.และปริมณฑลแล้ว ยืนยันรัฐบาลมีการวางแผนระยะสั้น กลาง ยาว มาตลอด ส่วนเรื่องหมายเลขรถเมล์ไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมรับฟังความเห็นทุกด้าน อันไหนเป็นประโยชน์กับประชาชนก็พร้อมไปปฏิบัติและทำ และใช้ประชาชนเป็นที่ตั้ง
 
จากนั้นนายศุภณัฐ กล่าวอภิปรายต่อเป็นคำถามที่ 3 ว่า ตั้งแต่รัฐบาลแถลงนโยบายมายังไม่เห็นการบูรณาการร่วมกันทั้งรถ ราง เรือ ทั้งเรื่องตั๋วร่วม และค่าโดยสารร่วมกันจะแพงสุดที่เท่าไร โดยนายสุรพงษ์ กล่าวว่า พ.ร.บ.ตั๋วร่วมจะเข้าสู่ ครม. ภายในเดือนนี้ ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ส่วนรายละเอียดต้องดูให้ชัดในชั้นกรรมาธิการว่าเป็นอย่างไร ส่วนการบูรณาการร่วม ยืนยันว่าภาษีที่กรมขนส่งเก็บภาษีล้อเลื่อนได้ส่งไปยังท้องถิ่นอยู่แล้ว จึงฝากท้องถิ่นควรนำไปลงทุนและดูแลระบบขนส่งสาธารณะด้วย


 
กัณวีร์ ลุกโวยรัฐ จับผู้ลี้ภัยกัมพูชา ต้อนรับฮุน มาเนต ยันกระทบแน่ ไทยสมัครเป็นคณะมนตรีสิทธิฯ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4415540

กัณวีร์ ลุกโวยรัฐ จับผู้ลี้ภัยกัมพูชา ต้อนรับฮุน มาเนต ยันกระทบแน่ ไทยสมัครเป็นคณะมนตรีสิทธิฯ
 
เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ได้ลุกขึ้นหารือต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ผ่านไปยังนายกรัฐมนตรี ต่อจุดยืนทางการทูตและความสง่าผ่าเผยของประเทศไทยในเวทีประชาคมโลก โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้เห็นการเยือนอย่างเป็นทางการของนายกฯกัมพูชาต่อประเทศไทย มีกองเกียรติยศมากมายต้อนรับนายกกัมพูชา และเดินทางมาถึงสภาของเรา แต่รู้ไหมเกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ มีการจับกุมนักกิจกรรมที่ลี้ภัยมาอยู่ประเทศไทยจำนวน 3 ราย และทั้งหมด 8 คนในครอบครัวของเขา มีเด็กอายุ 1 ขวบครึ่งถึง 4 ขวบครึ่ง 4 คน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น นี่หรือการต้อนรับนายกฯกัมพูชาอย่างสง่าผ่าเผย
 
นายกัณวีร์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในเวทีระหว่างประเทศเราเรียก Transnational Repression คือการกดปราบข้ามชาติ เป็นการร่วมมือระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล ในการปราบปรามกดขี่ข่มแหง การประหัตประหารต่อคน ที่ลี้ภัยเข้ามา และคนเหล่านี้ได้รับการคุ้มครองจาก UNHRC เรียบร้อยแล้ว เขากำลังรอการแก้ไขปัญญหาอย่างยั่งยืน ซึ่ง 1 ใน 3 ราย กำลังจะไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่ 3 ทำไมเราไปจับเขา เกิดอะไรขึ้น เราสง่าผ่าเผยแค่ไหนอย่างไร เรื่องนี้ยังมีอีก การจับเด็กเข้าไป ทั้งผู้หญิงและเด็ก โดยเข้าไปอยู่ในศูนย์แม่และเด็ก ชื่อว่าศูนย์แม่และเด็ก แต่จริงๆ เป็นห้องกักของ ตม.
 
เรามี MOU ของประเทศไทย 7 หน่วยงานด้วยกัน ที่จะไม่กักเด็ก แต่นี่เราทำได้ยังไงกัน ถ้าเป็นลูกพวกเรา เราจะคิดกันยังไง ต่อไปในปี 2567 เราจะเข้าเป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ผมว่าไม่ได้หรอกครับ เรื่องต่างๆ เหล่านี้ไม่ควรจะมีเกิดขึ้น สิ่งต่างๆเหล่านี้ จะทำยังไงบ้าง ขออนุญาตหารือท่านประธาน ไปยังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ท่านต้องชี้แจงเรื่องนี้ ต้องแสดงจุดยืนทางการทูตของไทย ต้องแสดงจุดยืนว่า เรามีความสง่าผ่าเผยอย่าไรบ้างต่อประชาคมโลก” นายกัณวีร์ กล่าวทิ้งท้าย



หุ้นไทยร่วงมีแรงเทขายหุ้นกลุ่มค้าปลีก-ไอซีที-อสังหาฯ
https://www.khaosod.co.th/economics/stock-monitor/news_8088154

สรุปภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวันที่ 8 ก.พ. 2567 วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ดัชนีเร่งตัวลงในภาคบ่าย หลังจากที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมา แต่ยังไม่สามารถผ่านแนวต้านบริเวณ 1,400 จุดได้ แรงขายมากในหุ้นกลุ่มค้าปลีก ไอซีที และอสังหาฯ เป็นต้น ตลาดหุ้นปรับตัวลง หลังจากการประชุมกนง. ในวันพุธ ที่ผ่านมา กนง.หั่นคาดการณ์ GDP ปี 2567 เหลือโต 2.5-3% ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,388.60 จุด -11.42 จุด -0.82% มูลค่าการซื้อขาย 43,082.48 ล้านบาท
 
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1. KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,482 ล้านบาท -3.00, (-2.43%)
2. ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,399 ล้านบาท -4.00, (-1.83%)
3. PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,397 ล้านบาท -0.25, (-0.71%)
4. PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,354 ล้านบาท +1.00, (+0.65%)
5. CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,188 ล้านบาท -0.50, (-0.90%)

ดัชนีพักฐานติดต่อกัน 2 วันทำการแต่ยังคงยืนเหนือเส้น EMA 10 และ 25 วัน ขณะที่ค่าสัญญาณ RSI และ MACD เคลื่อนไหวสวนทางกันเป็นสัญญาณของการพักฐาน หากหลุดแนวรับ 1,382 จุดจะเข้าสู่แนวโน้มขาลง
คำแนะนำ หากหลุดแนวรับ 1,382 จุดให้ลดสถานะ
 
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่