เรื่องนานแล้ว แต่ไม่นานมาก และจำจนชั่วชีวิต สาปแช่ง รอผลของการกระทำของพวกมัน
บริษัทมีปัญหาภายในสะสมมานาน (ไม่ขอลงรายละเอียด) พยายามบีบพนักงาน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะทนไม่ได้ ออกไปก่อน ลาออกไปเอง
จนเมื่อ ช่วงเดือน พฤศจิกายน 2564 บริษัทติดประกาศย้ายสถานประกอบการ โดยมีผลเริ่มวันที่ 4 ธันวาคม 2564 ซึ่ง วันที่ติดประกาศจนถึงวันที่จะต้องย้าย นับๆ แล้วไม่ถึง 30 วัน ตามที่กฎหมายแรงงานกำหนด และไม่มีการเรียกพูดคุยกับพนักงานแต่อย่างใด เราซึ่งรู้แล้วว่าบริษัทต้องพยายามทำอะไรแบบนี้ และศึกษาข้อกฎหมายแรงงานมาพอสมควร และเราได้มีการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ แต่ก็ไม่มีใครเป็นหน่วยกล้าตายพร้อมไปกับเรา เราจึงตัดสินใจเป็นหัวโจกเลยก็ว่าได้
เราทำตามขั้นตอนของกฎหมายแรงงานค่ะ ยื่นหนังสือว่าไม่ย้ายไปตามสถานประกอบการใหม่ ให้เหตุผลไปตามความจำเป็น ซึ่งมีผล 30 วัน (ต้องยื่นภายใน 30 วัน นับแต่วันประกาศ) บริษัทต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยตามกฎหมาย
หลังจากวันที่เรายื่นหนังสือไป ทั้งตัวจริง ตัวสำเนาเก็บไว้ ส่งเมลล์ ไลน์กลุ่ม อีกวันถัดมา เราโดนใบเตือนว่า ไม่เชื่อฟังคำสั่งของหัวหน้า เรายอมรับ เซ็นต์รับทราบ
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เรานั่งไม่ติดเก้าอี้เลย โดยเรียกแล้วเรียกอีก เพิ่มข้อหาของใบเตือน ออกไปซื้อของในเวลางาน,เล่นเน็ตในเวลางาน,เอาลูกมาเลี้ยงที่ทำงาน,นำซิมการ์ดของบริษัทไปใช้นอกเวลางาน (ซึ่งใบเตือน ให้เตือนเป็นเรื่องๆ ไป ไม่เกิน 3 ครั้ง หากเรื่องนึงเตือนไม่ถึง 3 ครั้ง ไม่มีสิทธิ์ไล่ออก)
พอถัดมาอีกวัน เรามีคำสั่งว่าให้ย้ายแผนก เราก็ไป ให้ไปนั่งไหนเราก็ไป ให้ทำอะไรเราก็ทำ พร้อมกับโดนยึดซิมการ์ดโทรศัพท์พร้อมกับให้เราเซ็นต์เอกสารให้ออกโดยมีความผิดว่า เล่นเน็ตในเวลางาน เราไม่เซ็นต์ค่ะ เราไม่มีความผิด เราฟาดฟันกับคนเหล่านั้น ฉุดกระชากลากถู บอกให้เราไม่ต้องมาทำงาน นับตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป และมีหนังสือเวียนภายในบริษัทให้เราพ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน จนเพื่อนร่วมงาน บอกให้กลับไปก่อน ไปตั้งหลักข้างนอก (เราเข้าใจเพื่อนร่วมงานนะคะ เพราะทุกคนต่างเอาตัวรอด และไม่กล้า บางคนก็ช่วยได้เท่าที่ช่วยค่ะ)
ในช่วงระยะเวลาที่กลับบ้าน เราร้องไห้ตลอดทางเลยค่ะ จนแกร็บต้องให้กำลังใจขอให้ชนะไปทุกสิ่ง เราหมดแรง ไม่รู้จะทำยังไง กินไม่ได้นอนไม่หลับ ช่วง 2-3 วันที่เกิดเรื่อง ไม่อยากไปทำงานเลย ปรึกษาคนใกล้ตัว แนะนำให้ไปทำงาน เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นว่า ขาดงานเกิน 3 วัน เราแกล้งโทรติดต่อไปยัง HR ว่าจะขอไปเอาของ ลืมไว้ ก็โยนไปโยนมา สรุปไม่ได้ใจความอะไร
เช้าวันต่อมา ตัดสินใจไปทำงานโดยทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและจะทำยังไงต่อ สแกนนิ้วไม่ได้ เพราะเอาที่สแกนนิ้วออก เดินไปที่โต๊ะทำงาน อุปกรณ์สำนักงาน ต่างๆ ถูกจัดเก็บออก มีคนเรียกเราไปคุย หาข้ออ้างและเหตุต่างๆนานา ว่าง่ายๆ ยังไงเราก็เป็นคนผิด เราคิดว่าเราคงสู้พวกมันไม่ได้ เราเลยนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านั้นเรามีโทรสอบถามกับที่ศาลแรงงานและประกันสังคมตลอด ซึ่งได้แนะนำว่า ให้เราทำยังไงก็ได้ให้เอาเอกสารที่บริษัทว่าให้เราเป็นคนผิด และห้ามเซ็นต์ทำยังไงก็ได้ให้เอาเอกสารฉบับนั้นมาให้ได้ จึงตัดสินใจกระชากกระดาษแผ่นนั้นมา แต่ก็ถูกล็อคประตู ไม่ให้ออก จึง โทร 191 ได้ประสาน ตร.ในพื้นที่ให้มาไกล่เกลี่ย เราจึงได้ใบนั้นออกมาได้
ในวันนั้น จึงรีบเดินทางไปยังกระทรวงแรงงาน จนท แนะนำว่า กรณีอย่างนี้ คือ เลิกจ้างไม่เป็นธรรม ต้องไปทำเรื่องที่ศาล จะได้เงินในส่วนนี้ด้วยแต่ใช้เวลานาน หรือจะไกล่เกลี่ยที่กระทรวงแรงงานนั้นก็ได้ แต่จะได้เงิน แค่ 2 ส่วน คือ เงินค่าชดชดเชย และ เงินค่าบอกกล่าวล่วงหน้า (ค่าตกใจ) เราตัดสินใจ เอาเงินอีกส่วน และได้เดินทางไปยังศาลแรงงาน มี จนท นิติกร ให้คำแนะนำ พร้อมทั้งเขียนคำร้อง ศาลนัดอีก คือ เดือน มีนาคม 2565
เรา นั่ง ยืน รอ ด้วยความหวัง เวลาช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน พยายามศึกษาหาข้อมูล ถามผู้รู้ ต่างๆ ก็ไม่ได้ความอะไรมากนัก จนวันนั้นก็มาถึง นัดไกล่เกลี่ย ทางออนไลน์ จนท ศาลแนะนำ ให้เรารับเงิน แค่ 2 ส่วน ซึ่งในส่วนของเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ต้องรอนัดสืบพยานอีก (หมายถึงลักษณะของคดีแพ่งซึ่งใช้เวลานาน) แต่เราไม่ยอมค่ะ
ศาลได้ทำการนัดสืบพยานอีกครั้งนึง ในเดือน กรกฎาคม 2565 ก็ยังตกลงกันไม่ได้ (ในขั้นตอนกระบวนการต่างๆ เราลืมหมดแล้ว แต่จะมี จนท แนะนำตลอด) ในระหว่างช่วงนั้น เราได้โทรไปอ้อนวอน ร้องไห้ไปด้วยก็ไม่เป็นผลค่ะ พวกมันได้แต่บอกว่า ให้รอศาลสั่ง เราได้แต่มีความแค้น ร้องไห้ ด่าสาปแช่งพวกมัน ที่รังแกคนเงินเดือนแค่หมื่นห้า จนศาลนั้นอีกที เดือน ตุลาคม 2565 ก็ตกลงกันไม่ได้ค่ะ และได้นัดอีกที เดือน พฤษภาคม 2566 เราได้บนบานศาลกล่าว ของให้ดคีจบ ไม่ยืดยื้อ เพราะกลัวทางนู้น จะยื่นอุทธรณ์ เราได้ปรึกษากับ จนท เล่าว่า ทาง บ.ไม่ยอมไกล่เกลี่ย ไม่คุยกับเรา จึงต้องการให้ จนท ประสานให้ ว่าง่ายๆ อยากให้พวกมันจ่ายเงินค่ะ ไม่มีตังค์ใช้แล้ว
ก่อนถึงวันนัด มี จนท โทรมาเราค่ะ เราเลยตัดปัญหา และคิดว่า สู้ไปก็มีแต่ยื้อ มันไม่จ่ายง่ายๆ เลยบอกกับ จนท ว่า ขอรับเงิน ตามกฎหมาย ส่วนที่เลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอรับเงินอีก 1.5 เดือน (ซึ่งตรงนี้ เค้าเลี่ยงให้เป็นเงินช่วยเหลือ) มันมีในเรื่องของรายละเอียดของกฎหมายอีก มันเป็นเรื่องของคดีความไปไม่จบสิ้นอีก
พอถึงวันนัดจริง เรายื้ออีก ผลสรุป ได้มาเป็น อีกแค่ 1.5 เดือน รวม 3 เดือน และให้ทำเรื่องประนอมความ อะไรสักอย่าง เราลืม เพราะถ้ายื้อไป ท่านว่า ไม่มีประโยชน์อะไร และจะได้เงินตามที่เขียนในใบคำฟ้องหรือเปล่า เพราะต้องสู้อีกนาน
แนะนำ ถ้าใครสามารถไกล่เกลี่ยกันได้แต่ขั้นแรก ควรจบค่ะ ไม่มีประโยชน์ เอาเงินมาใช้เถอะค่ะ ท้อเลย
*เพิ่มเติม ตอนที่เราออกมา มันไปยื่น ปกส ว่าถูกไล่ออก ทำให้เราไม่ได้รับเงินในส่วนนี้ ต้องเอาคำพิพากษาไปยื่น ปกส อีกที จะจ่ายเงินย้อนหลังให้ค่ะ
แชร์ประสบการณ์ โดนเลิกจ้าง (ไม่เป็นธรรม)
บริษัทมีปัญหาภายในสะสมมานาน (ไม่ขอลงรายละเอียด) พยายามบีบพนักงาน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะทนไม่ได้ ออกไปก่อน ลาออกไปเอง
จนเมื่อ ช่วงเดือน พฤศจิกายน 2564 บริษัทติดประกาศย้ายสถานประกอบการ โดยมีผลเริ่มวันที่ 4 ธันวาคม 2564 ซึ่ง วันที่ติดประกาศจนถึงวันที่จะต้องย้าย นับๆ แล้วไม่ถึง 30 วัน ตามที่กฎหมายแรงงานกำหนด และไม่มีการเรียกพูดคุยกับพนักงานแต่อย่างใด เราซึ่งรู้แล้วว่าบริษัทต้องพยายามทำอะไรแบบนี้ และศึกษาข้อกฎหมายแรงงานมาพอสมควร และเราได้มีการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ แต่ก็ไม่มีใครเป็นหน่วยกล้าตายพร้อมไปกับเรา เราจึงตัดสินใจเป็นหัวโจกเลยก็ว่าได้
เราทำตามขั้นตอนของกฎหมายแรงงานค่ะ ยื่นหนังสือว่าไม่ย้ายไปตามสถานประกอบการใหม่ ให้เหตุผลไปตามความจำเป็น ซึ่งมีผล 30 วัน (ต้องยื่นภายใน 30 วัน นับแต่วันประกาศ) บริษัทต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยตามกฎหมาย
หลังจากวันที่เรายื่นหนังสือไป ทั้งตัวจริง ตัวสำเนาเก็บไว้ ส่งเมลล์ ไลน์กลุ่ม อีกวันถัดมา เราโดนใบเตือนว่า ไม่เชื่อฟังคำสั่งของหัวหน้า เรายอมรับ เซ็นต์รับทราบ
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เรานั่งไม่ติดเก้าอี้เลย โดยเรียกแล้วเรียกอีก เพิ่มข้อหาของใบเตือน ออกไปซื้อของในเวลางาน,เล่นเน็ตในเวลางาน,เอาลูกมาเลี้ยงที่ทำงาน,นำซิมการ์ดของบริษัทไปใช้นอกเวลางาน (ซึ่งใบเตือน ให้เตือนเป็นเรื่องๆ ไป ไม่เกิน 3 ครั้ง หากเรื่องนึงเตือนไม่ถึง 3 ครั้ง ไม่มีสิทธิ์ไล่ออก)
พอถัดมาอีกวัน เรามีคำสั่งว่าให้ย้ายแผนก เราก็ไป ให้ไปนั่งไหนเราก็ไป ให้ทำอะไรเราก็ทำ พร้อมกับโดนยึดซิมการ์ดโทรศัพท์พร้อมกับให้เราเซ็นต์เอกสารให้ออกโดยมีความผิดว่า เล่นเน็ตในเวลางาน เราไม่เซ็นต์ค่ะ เราไม่มีความผิด เราฟาดฟันกับคนเหล่านั้น ฉุดกระชากลากถู บอกให้เราไม่ต้องมาทำงาน นับตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป และมีหนังสือเวียนภายในบริษัทให้เราพ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน จนเพื่อนร่วมงาน บอกให้กลับไปก่อน ไปตั้งหลักข้างนอก (เราเข้าใจเพื่อนร่วมงานนะคะ เพราะทุกคนต่างเอาตัวรอด และไม่กล้า บางคนก็ช่วยได้เท่าที่ช่วยค่ะ)
ในช่วงระยะเวลาที่กลับบ้าน เราร้องไห้ตลอดทางเลยค่ะ จนแกร็บต้องให้กำลังใจขอให้ชนะไปทุกสิ่ง เราหมดแรง ไม่รู้จะทำยังไง กินไม่ได้นอนไม่หลับ ช่วง 2-3 วันที่เกิดเรื่อง ไม่อยากไปทำงานเลย ปรึกษาคนใกล้ตัว แนะนำให้ไปทำงาน เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นว่า ขาดงานเกิน 3 วัน เราแกล้งโทรติดต่อไปยัง HR ว่าจะขอไปเอาของ ลืมไว้ ก็โยนไปโยนมา สรุปไม่ได้ใจความอะไร
เช้าวันต่อมา ตัดสินใจไปทำงานโดยทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและจะทำยังไงต่อ สแกนนิ้วไม่ได้ เพราะเอาที่สแกนนิ้วออก เดินไปที่โต๊ะทำงาน อุปกรณ์สำนักงาน ต่างๆ ถูกจัดเก็บออก มีคนเรียกเราไปคุย หาข้ออ้างและเหตุต่างๆนานา ว่าง่ายๆ ยังไงเราก็เป็นคนผิด เราคิดว่าเราคงสู้พวกมันไม่ได้ เราเลยนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านั้นเรามีโทรสอบถามกับที่ศาลแรงงานและประกันสังคมตลอด ซึ่งได้แนะนำว่า ให้เราทำยังไงก็ได้ให้เอาเอกสารที่บริษัทว่าให้เราเป็นคนผิด และห้ามเซ็นต์ทำยังไงก็ได้ให้เอาเอกสารฉบับนั้นมาให้ได้ จึงตัดสินใจกระชากกระดาษแผ่นนั้นมา แต่ก็ถูกล็อคประตู ไม่ให้ออก จึง โทร 191 ได้ประสาน ตร.ในพื้นที่ให้มาไกล่เกลี่ย เราจึงได้ใบนั้นออกมาได้
ในวันนั้น จึงรีบเดินทางไปยังกระทรวงแรงงาน จนท แนะนำว่า กรณีอย่างนี้ คือ เลิกจ้างไม่เป็นธรรม ต้องไปทำเรื่องที่ศาล จะได้เงินในส่วนนี้ด้วยแต่ใช้เวลานาน หรือจะไกล่เกลี่ยที่กระทรวงแรงงานนั้นก็ได้ แต่จะได้เงิน แค่ 2 ส่วน คือ เงินค่าชดชดเชย และ เงินค่าบอกกล่าวล่วงหน้า (ค่าตกใจ) เราตัดสินใจ เอาเงินอีกส่วน และได้เดินทางไปยังศาลแรงงาน มี จนท นิติกร ให้คำแนะนำ พร้อมทั้งเขียนคำร้อง ศาลนัดอีก คือ เดือน มีนาคม 2565
เรา นั่ง ยืน รอ ด้วยความหวัง เวลาช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน พยายามศึกษาหาข้อมูล ถามผู้รู้ ต่างๆ ก็ไม่ได้ความอะไรมากนัก จนวันนั้นก็มาถึง นัดไกล่เกลี่ย ทางออนไลน์ จนท ศาลแนะนำ ให้เรารับเงิน แค่ 2 ส่วน ซึ่งในส่วนของเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ต้องรอนัดสืบพยานอีก (หมายถึงลักษณะของคดีแพ่งซึ่งใช้เวลานาน) แต่เราไม่ยอมค่ะ
ศาลได้ทำการนัดสืบพยานอีกครั้งนึง ในเดือน กรกฎาคม 2565 ก็ยังตกลงกันไม่ได้ (ในขั้นตอนกระบวนการต่างๆ เราลืมหมดแล้ว แต่จะมี จนท แนะนำตลอด) ในระหว่างช่วงนั้น เราได้โทรไปอ้อนวอน ร้องไห้ไปด้วยก็ไม่เป็นผลค่ะ พวกมันได้แต่บอกว่า ให้รอศาลสั่ง เราได้แต่มีความแค้น ร้องไห้ ด่าสาปแช่งพวกมัน ที่รังแกคนเงินเดือนแค่หมื่นห้า จนศาลนั้นอีกที เดือน ตุลาคม 2565 ก็ตกลงกันไม่ได้ค่ะ และได้นัดอีกที เดือน พฤษภาคม 2566 เราได้บนบานศาลกล่าว ของให้ดคีจบ ไม่ยืดยื้อ เพราะกลัวทางนู้น จะยื่นอุทธรณ์ เราได้ปรึกษากับ จนท เล่าว่า ทาง บ.ไม่ยอมไกล่เกลี่ย ไม่คุยกับเรา จึงต้องการให้ จนท ประสานให้ ว่าง่ายๆ อยากให้พวกมันจ่ายเงินค่ะ ไม่มีตังค์ใช้แล้ว
ก่อนถึงวันนัด มี จนท โทรมาเราค่ะ เราเลยตัดปัญหา และคิดว่า สู้ไปก็มีแต่ยื้อ มันไม่จ่ายง่ายๆ เลยบอกกับ จนท ว่า ขอรับเงิน ตามกฎหมาย ส่วนที่เลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอรับเงินอีก 1.5 เดือน (ซึ่งตรงนี้ เค้าเลี่ยงให้เป็นเงินช่วยเหลือ) มันมีในเรื่องของรายละเอียดของกฎหมายอีก มันเป็นเรื่องของคดีความไปไม่จบสิ้นอีก
พอถึงวันนัดจริง เรายื้ออีก ผลสรุป ได้มาเป็น อีกแค่ 1.5 เดือน รวม 3 เดือน และให้ทำเรื่องประนอมความ อะไรสักอย่าง เราลืม เพราะถ้ายื้อไป ท่านว่า ไม่มีประโยชน์อะไร และจะได้เงินตามที่เขียนในใบคำฟ้องหรือเปล่า เพราะต้องสู้อีกนาน
แนะนำ ถ้าใครสามารถไกล่เกลี่ยกันได้แต่ขั้นแรก ควรจบค่ะ ไม่มีประโยชน์ เอาเงินมาใช้เถอะค่ะ ท้อเลย
*เพิ่มเติม ตอนที่เราออกมา มันไปยื่น ปกส ว่าถูกไล่ออก ทำให้เราไม่ได้รับเงินในส่วนนี้ ต้องเอาคำพิพากษาไปยื่น ปกส อีกที จะจ่ายเงินย้อนหลังให้ค่ะ