ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ทลายเครือข่ายหลอกลงทุนเทรดหุ้นทองคำ-น้ำมัน ตุ๋นเหยื่อโอนเงิน พบเงินหมุนเวียนกว่า 16,000 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. พ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์รอง ผบก.ปอท., พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท. และ พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท. พ.ต.ท.นิธิ ตรีสุวรรณ รอง ผกก.2 บก.ปอท. พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ มงคลการ, พ.ต.ต.ชัยเวง พาด้วง พ.ต.ต.จักรพงษ์ รุ่งจำกัด, ว่าที่ พ.ต.ต.วชิรเชษฐ์ อัครธีระพงศ์ ว่าที่ พ.ต.ต. กมลภพ หาญเวช สว.กก.2 บก.ปอท. พ.ต.ต.ธนนชัยย์ ศรีบุญจันทร์ ว่าที่ พ.ต.ต. ศุภเดช ธนชัยศิริสว.(สอบสวน) กก.2 บก.ปอท. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. ร่วมด้วย บก.ป., บก.ทล., บก.ปคบ., บก.รน.
ร่วมกันจับกุม นายภัทรกษิณ อายุ 22 ปี, นายปรัชญา อายุ 23 ปี, นายภาณุวัฒน์ อายุ 30 ปี, นายวินัย อายุ 53 ปี, นายเจนณรงค์ อายุ 31 ปี, น.ส.จิราพัชร อายุ 20 ปี และนายธงชัย อายุ 28 ปี ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนําเข้าสู่ ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, สมคบโดย การตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ ได้มีการสมคบ และร่วมกันฟอกเงิน”
สืบเนื่องจากเมื่อประมาณ เดือนกรกฎาคม 2566 มีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์กับ พนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. กรณีมี กลุ่มคนร้ายสร้างบัญชีเฟซบุ๊กปลอมขึ้นมา โดยนำภาพของบุคคลอื่นที่มีฐานะดีและมีความน่าเชื่อถือ ทักแชตมาพูดคุยกับผู้เสียหาย จากนั้นพูดคุยเพื่อสร้างความสนิทสนมและขอไอดีไลน์ผู้เสียหายเพื่อแชทพูดคุยต่อระยะหนึ่ง จนผู้เสียหายเริ่มไว้วางใจคนร้ายจึงชักชวนลงทุนเทรดหุ้นทองคำและหุ้นน้ำมัน ผ่านแอพพลิเคชั่น “AVATRADE” ต่อมาตรวจสอบพบว่าเป็นแอพพลิเคชั่น ที่ปลอมขึ้นมาเพื่อเลียนแบบแอพพลิเคชั่นที่มีอยู่จริง ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปลงทุน
โดยช่วงแรกได้ผลตอบแทนจริงตามคำกล่าวอ้าง สามารถทำรายการเบิกถอนเงินได้ปกติ จนผู้เสียหายเริ่มลงทุนในจำนวนมากขึ้นและต้องการถอนเงิน แต่ไม่สามารถถอนเงินได้ คนร้ายอ้างว่ายอดเงินผู้เสียหายมีจำนวนมาก จะต้องมีการชำระภาษีก่อนถึงจะทำรายการถอนเงินได้ ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกหลอกลวง ตรวจสอบเพิ่มเติมจากระบบรับแจ้งความออนไลน์ พบมีผู้เสียหายถูกหลอกลวงให้ทำการลงทุนผ่านแอพพลิเคชั่นดังกล่าวทั้งหมด 23 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 14 ล้านบาท
สืบสวนเส้นทางการเงินพบว่ากลุ่มคนร้ายใช้บัญชีธนาคารม้าในการรับโอนเงินของผู้เสียหายและยักย้ายถ่ายเทเงินที่ได้จากการกระทำความผิดไปยังบัญชีธนาคารบัญชีม้าอื่นๆ อีกหลายทอด จากนั้นแปลงสภาพเงินที่ได้จากการหลอกลวงให้กลายเป็น เงินดิจิทัลสกุล USDT ผ่านแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน เหรียญดิจิทัล จากนั้นเงินดิจิทัลจะถูกโอนต่อไปอีกหลายทอดไปยังกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง
จากการสืบสวนพบว่า กลุ่มคนร้ายเป็นขบวนการที่มีฐานปฏิบัติอยู่ที่ สปป.ลาว มีการแยกหน้าที่กันทำชัดเจน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. จึงรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายจับกลุ่มผู้ต้องหา 18 ราย ดังนี้ 1. กลุ่มบัญชีม้า (คนไทย) 8 ราย 2. กลุ่มจัดหาบัญชีม้าและฟอกเงิน 5 ราย (คนไทย 2 ราย, มาเลเซีย 1 ราย และจีน 2 ราย) 3. กลุ่มผู้สั่งการหรือนายทุน (คนจีน) 5 ราย
ต่อมาเมื่อวันที่ 30-31 มกราคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. พร้อมด้วย บก.ป., บก.ปคบ., บก.รน.และ บก.ทล. บูรณาการกำลังร่วมกันตรวจค้นจับกุม กลุ่มผู้ร่วมขบวนการการกระทำความผิดดังกล่าว ทั้งสิ้น 10 จุด โดยแบ่งเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ 2 จุด, ภูเก็ต 6 จุด, เชียงราย 1 จุดและหนองบัวลำภู 1 จุด จับกุมผู้ต้องหา 7 ราย (กลุ่มบัญชีม้า 5 ราย, กลุ่มจัดหาบัญชีม้าและฟอกเงิน 2 ราย) ตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จำนวนหลายรายการ อาทิเช่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (PC) 10 เครื่อง, คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 2 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ 53 เครื่อง (ผูกแอพพลิเคชันธนาคาร พร้อมใช้งาน 42 เครื่อง), เครื่องใหม่ 11 เครื่อง), สมุดบัญชีธนาคาร 1,113 เล่ม, บัตรกด-เงินสด (ATM) 1,065 ใบ และกล่องโทรศัพท์เปล่า 77 กล่องอีกทั้งยังได้ตรวจยึดทรัพย์สินมีค่า 3 อีกจำนวนหลายรายการ
ในส่วนผู้ต้องหาชาวจีนและมาเลเซียที่หลบหนีอยู่ในต่างประเทศ จำนวน 9 ราย ซึ่งอยู่ ระหว่างประสานงานติดตามจับกุมตัว คือ
1. MR.HUORONG (หั่วหรง) สัญชาติจีน
2. MR. SHENGWEI (เชิงเว่ย) สัญชาติจีน
3. MR. ZHIQIANG (จื้อเฉียง)สัญชาติจีน
4. MS. DI (ตี๋)สัญชาติจีน
5. MS. PEILING (เผยหลิง) สัญชาติจีน
6. MS. XIANLI (เซียนลี้) สัญชาติจีน
7. MR.FEIFEI (เฟยเฟย) สัญชาติจีน
8. MR. ZIHAO (จื้อเห่า) สัญชาติจีน
9. MR.TIAH (เตี๊ยะ) สัญชาติมาเลเซีย
โดยรายที่ 1-5 เป็นกลุ่มผู้สั่งการหรือนายทุน ส่วนรายที่ 6-9 เป็นกลุ่มจัดหาบัญชีม้าและฟอกเงิน
ตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ช่วงพฤษภาคม 2565 ถึงปัจจุบัน กลุ่มคนร้ายมีการรับเงินดิจิทัลสกุล USDT ประมาณ 230 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทย มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท และมียอดเงินหมุนเวียน กว่า 16,000 ล้านบาท ซึ่งน่าเชื่อได้ ว่าเป็นเงินที่ได้จากการกระทำความผิด
สอบถามเบื้องต้นผู้ต้องหาแต่ละรายให้การภาคเสธ โดย นายปรัชญา ให้การยอมรับว่าร่วมกับ นายภัทรกษิณ ในการจัดหาบัญชีธนาคารและบัญชีเทรดคริปโทม้า โดย นายภัทรกษิณ จะได้รับการว่าจ้างจาก นายทุนชาวมาเลเซีย และ MR. TIAH (เตี๊ยะ) สัญชาติมาเลเซีย ให้จัดหาบัญชีธนาคารและบัญชีเทรดคริปโทม้า จากนั้น นายภัทรกษิณ จะสั่งการให้นายปรัชญา ไปจัดหาคนเปิดบัญชีธนาคารม้า พร้อมทั้งเปิดบัญชีเทรดคริปโทม้า โดยมีการผูกแอพพลิเคชั่นธนาคารและแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัลไว้ในโทรศัพท์มือถือ ในลักษณะ พร้อมใช้งาน จากนั้นจะส่งโทรศัพท์มือกล่าวกล่าวไปยังต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อส่งต่อไปยังฐานปฏิบัติการ ของกลุ่มคนร้ายในประเทศ สปป.ลาว
โดยนายทุนชาวมาเลเซียจะจ่ายค่าจ้างเป็นเงินบาท และเงินดิจิทัลสกุล USDT คิดเป็นเงินประมาณ 10,000 บาท ต่อบัญชีม้าหนึ่งบัญชี จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า นายภัทรกษิณ ได้ให้ลูกน้องจดทะเบียนบริษัท และเช่าบ้านแห่งหนึ่ง ย่านเขตบางชัน กรุงเทพมหานคร เป็นออฟฟิศ เพื่อใช้ในการฟอกเงินที่ได้จากการจัดหาบัญชีม้าให้กับกลุ่มนายทุนชาวมาเลเซีย และเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม พบว่า เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2564 ถึงสิงหาคม พ.ศ.2566 มีรายได้จากการจัดหาบัญชีม้าให้กับกลุ่มนายทุน มากกว่า 28 ล้านบาท
อีกทั้งยังพบว่า นายภัทรกษิณ เคยสั่งให้ นายปรัชญา ส่งโทรศัพท์มือถือ (บัญชีม้า) ไปยังสถานที่ต่างๆ จำนวนมาก มีทั้งในและต่างประเทศต่างประเทศ อาทิเช่น ประเทศ ไต้หวัน, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา และมาเลเซีย ในประเทศอาทิเช่น จังหวัดเชียงราย, จังหวัดตาก,จังหวัดสุรินทร์ จังหวัด สระแก้วและจังหวัดนราธิวาสซึ่งเป็นจังหวัดตามแนวตะเข็บชายแดน
จากนั้นจะมีการลักลอบลำเลียงบัญชีม้าออกไป ยังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้กลุ่มคอลเซ็นเตอร์และกลุ่มการพนันออนไลน์ที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ใช้ในการกระทำความผิด สอบถามปากคำผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธตามข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยนายภัทรกษิณผู้ต้องหาที่ 1 และ นายปรัชญา ผู้ต้องหาที่ 2 รับว่าเป็นผู้จัดหาบัญชีส่งให้กับ กลุ่มคนร้ายไปใช้ในการกระทำความผิดจริง แต่ตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการหลอกลวง
เครดิตจากมติชนออนไลน์
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4410495
ทลายแก๊งทุนจีนทำแอพพ์เทรดหุ้นปลอม สะพัด 1.6 หมื่นล้าน เจอบัญชีม้าอื้อ
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ทลายเครือข่ายหลอกลงทุนเทรดหุ้นทองคำ-น้ำมัน ตุ๋นเหยื่อโอนเงิน พบเงินหมุนเวียนกว่า 16,000 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. พ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์รอง ผบก.ปอท., พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท. และ พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท. พ.ต.ท.นิธิ ตรีสุวรรณ รอง ผกก.2 บก.ปอท. พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ มงคลการ, พ.ต.ต.ชัยเวง พาด้วง พ.ต.ต.จักรพงษ์ รุ่งจำกัด, ว่าที่ พ.ต.ต.วชิรเชษฐ์ อัครธีระพงศ์ ว่าที่ พ.ต.ต. กมลภพ หาญเวช สว.กก.2 บก.ปอท. พ.ต.ต.ธนนชัยย์ ศรีบุญจันทร์ ว่าที่ พ.ต.ต. ศุภเดช ธนชัยศิริสว.(สอบสวน) กก.2 บก.ปอท. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. ร่วมด้วย บก.ป., บก.ทล., บก.ปคบ., บก.รน.
ร่วมกันจับกุม นายภัทรกษิณ อายุ 22 ปี, นายปรัชญา อายุ 23 ปี, นายภาณุวัฒน์ อายุ 30 ปี, นายวินัย อายุ 53 ปี, นายเจนณรงค์ อายุ 31 ปี, น.ส.จิราพัชร อายุ 20 ปี และนายธงชัย อายุ 28 ปี ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนําเข้าสู่ ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, สมคบโดย การตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ ได้มีการสมคบ และร่วมกันฟอกเงิน”
สืบเนื่องจากเมื่อประมาณ เดือนกรกฎาคม 2566 มีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์กับ พนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. กรณีมี กลุ่มคนร้ายสร้างบัญชีเฟซบุ๊กปลอมขึ้นมา โดยนำภาพของบุคคลอื่นที่มีฐานะดีและมีความน่าเชื่อถือ ทักแชตมาพูดคุยกับผู้เสียหาย จากนั้นพูดคุยเพื่อสร้างความสนิทสนมและขอไอดีไลน์ผู้เสียหายเพื่อแชทพูดคุยต่อระยะหนึ่ง จนผู้เสียหายเริ่มไว้วางใจคนร้ายจึงชักชวนลงทุนเทรดหุ้นทองคำและหุ้นน้ำมัน ผ่านแอพพลิเคชั่น “AVATRADE” ต่อมาตรวจสอบพบว่าเป็นแอพพลิเคชั่น ที่ปลอมขึ้นมาเพื่อเลียนแบบแอพพลิเคชั่นที่มีอยู่จริง ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปลงทุน
โดยช่วงแรกได้ผลตอบแทนจริงตามคำกล่าวอ้าง สามารถทำรายการเบิกถอนเงินได้ปกติ จนผู้เสียหายเริ่มลงทุนในจำนวนมากขึ้นและต้องการถอนเงิน แต่ไม่สามารถถอนเงินได้ คนร้ายอ้างว่ายอดเงินผู้เสียหายมีจำนวนมาก จะต้องมีการชำระภาษีก่อนถึงจะทำรายการถอนเงินได้ ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกหลอกลวง ตรวจสอบเพิ่มเติมจากระบบรับแจ้งความออนไลน์ พบมีผู้เสียหายถูกหลอกลวงให้ทำการลงทุนผ่านแอพพลิเคชั่นดังกล่าวทั้งหมด 23 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 14 ล้านบาท
สืบสวนเส้นทางการเงินพบว่ากลุ่มคนร้ายใช้บัญชีธนาคารม้าในการรับโอนเงินของผู้เสียหายและยักย้ายถ่ายเทเงินที่ได้จากการกระทำความผิดไปยังบัญชีธนาคารบัญชีม้าอื่นๆ อีกหลายทอด จากนั้นแปลงสภาพเงินที่ได้จากการหลอกลวงให้กลายเป็น เงินดิจิทัลสกุล USDT ผ่านแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน เหรียญดิจิทัล จากนั้นเงินดิจิทัลจะถูกโอนต่อไปอีกหลายทอดไปยังกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง
จากการสืบสวนพบว่า กลุ่มคนร้ายเป็นขบวนการที่มีฐานปฏิบัติอยู่ที่ สปป.ลาว มีการแยกหน้าที่กันทำชัดเจน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. จึงรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายจับกลุ่มผู้ต้องหา 18 ราย ดังนี้ 1. กลุ่มบัญชีม้า (คนไทย) 8 ราย 2. กลุ่มจัดหาบัญชีม้าและฟอกเงิน 5 ราย (คนไทย 2 ราย, มาเลเซีย 1 ราย และจีน 2 ราย) 3. กลุ่มผู้สั่งการหรือนายทุน (คนจีน) 5 ราย
ต่อมาเมื่อวันที่ 30-31 มกราคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. พร้อมด้วย บก.ป., บก.ปคบ., บก.รน.และ บก.ทล. บูรณาการกำลังร่วมกันตรวจค้นจับกุม กลุ่มผู้ร่วมขบวนการการกระทำความผิดดังกล่าว ทั้งสิ้น 10 จุด โดยแบ่งเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ 2 จุด, ภูเก็ต 6 จุด, เชียงราย 1 จุดและหนองบัวลำภู 1 จุด จับกุมผู้ต้องหา 7 ราย (กลุ่มบัญชีม้า 5 ราย, กลุ่มจัดหาบัญชีม้าและฟอกเงิน 2 ราย) ตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จำนวนหลายรายการ อาทิเช่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (PC) 10 เครื่อง, คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 2 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ 53 เครื่อง (ผูกแอพพลิเคชันธนาคาร พร้อมใช้งาน 42 เครื่อง), เครื่องใหม่ 11 เครื่อง), สมุดบัญชีธนาคาร 1,113 เล่ม, บัตรกด-เงินสด (ATM) 1,065 ใบ และกล่องโทรศัพท์เปล่า 77 กล่องอีกทั้งยังได้ตรวจยึดทรัพย์สินมีค่า 3 อีกจำนวนหลายรายการ
ในส่วนผู้ต้องหาชาวจีนและมาเลเซียที่หลบหนีอยู่ในต่างประเทศ จำนวน 9 ราย ซึ่งอยู่ ระหว่างประสานงานติดตามจับกุมตัว คือ
1. MR.HUORONG (หั่วหรง) สัญชาติจีน
2. MR. SHENGWEI (เชิงเว่ย) สัญชาติจีน
3. MR. ZHIQIANG (จื้อเฉียง)สัญชาติจีน
4. MS. DI (ตี๋)สัญชาติจีน
5. MS. PEILING (เผยหลิง) สัญชาติจีน
6. MS. XIANLI (เซียนลี้) สัญชาติจีน
7. MR.FEIFEI (เฟยเฟย) สัญชาติจีน
8. MR. ZIHAO (จื้อเห่า) สัญชาติจีน
9. MR.TIAH (เตี๊ยะ) สัญชาติมาเลเซีย
โดยรายที่ 1-5 เป็นกลุ่มผู้สั่งการหรือนายทุน ส่วนรายที่ 6-9 เป็นกลุ่มจัดหาบัญชีม้าและฟอกเงิน
ตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ช่วงพฤษภาคม 2565 ถึงปัจจุบัน กลุ่มคนร้ายมีการรับเงินดิจิทัลสกุล USDT ประมาณ 230 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทย มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท และมียอดเงินหมุนเวียน กว่า 16,000 ล้านบาท ซึ่งน่าเชื่อได้ ว่าเป็นเงินที่ได้จากการกระทำความผิด
สอบถามเบื้องต้นผู้ต้องหาแต่ละรายให้การภาคเสธ โดย นายปรัชญา ให้การยอมรับว่าร่วมกับ นายภัทรกษิณ ในการจัดหาบัญชีธนาคารและบัญชีเทรดคริปโทม้า โดย นายภัทรกษิณ จะได้รับการว่าจ้างจาก นายทุนชาวมาเลเซีย และ MR. TIAH (เตี๊ยะ) สัญชาติมาเลเซีย ให้จัดหาบัญชีธนาคารและบัญชีเทรดคริปโทม้า จากนั้น นายภัทรกษิณ จะสั่งการให้นายปรัชญา ไปจัดหาคนเปิดบัญชีธนาคารม้า พร้อมทั้งเปิดบัญชีเทรดคริปโทม้า โดยมีการผูกแอพพลิเคชั่นธนาคารและแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัลไว้ในโทรศัพท์มือถือ ในลักษณะ พร้อมใช้งาน จากนั้นจะส่งโทรศัพท์มือกล่าวกล่าวไปยังต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อส่งต่อไปยังฐานปฏิบัติการ ของกลุ่มคนร้ายในประเทศ สปป.ลาว
โดยนายทุนชาวมาเลเซียจะจ่ายค่าจ้างเป็นเงินบาท และเงินดิจิทัลสกุล USDT คิดเป็นเงินประมาณ 10,000 บาท ต่อบัญชีม้าหนึ่งบัญชี จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า นายภัทรกษิณ ได้ให้ลูกน้องจดทะเบียนบริษัท และเช่าบ้านแห่งหนึ่ง ย่านเขตบางชัน กรุงเทพมหานคร เป็นออฟฟิศ เพื่อใช้ในการฟอกเงินที่ได้จากการจัดหาบัญชีม้าให้กับกลุ่มนายทุนชาวมาเลเซีย และเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม พบว่า เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2564 ถึงสิงหาคม พ.ศ.2566 มีรายได้จากการจัดหาบัญชีม้าให้กับกลุ่มนายทุน มากกว่า 28 ล้านบาท
อีกทั้งยังพบว่า นายภัทรกษิณ เคยสั่งให้ นายปรัชญา ส่งโทรศัพท์มือถือ (บัญชีม้า) ไปยังสถานที่ต่างๆ จำนวนมาก มีทั้งในและต่างประเทศต่างประเทศ อาทิเช่น ประเทศ ไต้หวัน, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา และมาเลเซีย ในประเทศอาทิเช่น จังหวัดเชียงราย, จังหวัดตาก,จังหวัดสุรินทร์ จังหวัด สระแก้วและจังหวัดนราธิวาสซึ่งเป็นจังหวัดตามแนวตะเข็บชายแดน
จากนั้นจะมีการลักลอบลำเลียงบัญชีม้าออกไป ยังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้กลุ่มคอลเซ็นเตอร์และกลุ่มการพนันออนไลน์ที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ใช้ในการกระทำความผิด สอบถามปากคำผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธตามข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยนายภัทรกษิณผู้ต้องหาที่ 1 และ นายปรัชญา ผู้ต้องหาที่ 2 รับว่าเป็นผู้จัดหาบัญชีส่งให้กับ กลุ่มคนร้ายไปใช้ในการกระทำความผิดจริง แต่ตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการหลอกลวง
เครดิตจากมติชนออนไลน์
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4410495