เมื่อผมเป็นทหาร

กระทู้สนทนา
เรื่อง : เมื่อผมเป็นทหาร
โดย : ละเว้

รถที่มาส่งเราวิ่งฝุ่นฟุ้งจากไปแล้ว ช่วงเวลาเพียงปีกว่าในสถานการณ์แบบนี้คงไม่ทำให้หมู่บ้านของผมเปลี่ยนแปลงได้สักเท่าไรนัก ความรู้สึกต่างหากที่ทำให้ดูว่ามันไม่เหมือนเดิม ผมยืนหันรีหันขวาง กระชับอาก้าที่สะพายอยู่ หันมองน้าเตียเพื่อนร่วมรบ ก่อนหันไปยิ้มให้ภรรยาที่พามาด้วย

"เดินไปอีกหน่อยก็ถึงบ้านพี่แล้ว" บอกเธอก่อนเดินนำออกมา

"เดี๋ยวไปบ้านผมด้วยนะน้า" ไม่ลืมหันไปตะโกนสั่งน้าเตียที่แบกปืนสะพายเป้ไปอีกทาง

‘เฮ้ย มีเมียมาด้วยเรอะ’

‘เป็นทหารมาเป็นไงบ้างวะ’

‘มากี่วัน กลับเมื่อไรล่ะ’

นั่นเป็นคำถามที่ผมต้องตอบซ้ำ ๆ ตลอดทาง เด็กมอมแมมร้องทัก บางฅนพากันหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นเรา มันเป็นความอบอุ่นของหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้

และไม่ว่าอย่างไร ผมคงอดเหลือบมองบ้านไม้สองชั้นข้างทางหลังนั้นไม่ได้ขณะเดินผ่าน

ปีกว่าแล้วสินะที่ผมได้เข้าร่วมกองทัพอย่างภาคภูมิใจ ในฐานะทหารอาสาสมัครด้วยวัยที่ยังไม่ถึงสิบหกด้วยซ้ำ นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นฅนพิเศษ ต่างกับอีกหลายฅนที่ไม่เต็มใจและถูกบังคับให้มา ซึ่งพวกนั้นก็มักจะถามผมว่า

‘ทำไมเราต้องมารบกันเอง’

‘ข้ารู้แต่ว่าพวกมันอยู่ฝ่ายตรงข้ามที่เราต้องเอาชนะ’

 ใช่ ผมตอบพวกเขาไปแบบนั้น เพราะเอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้หรอกว่าเรารบกันทำไม รู้แต่ว่าต้องเอาชนะ เพื่อสงครามบนแผ่นดินนี้มันจะได้จบ ๆ ไปเสียที ตอนนั้นผมคงคิดได้แค่นั้นจริงๆ

แม่และพี่ชายต่างดีใจกับการได้กลับบ้านหนแรกของผม เพื่อนฝูงแวะเวียนมาหาเฮฮาครื้นเครงกัน

“ดีนี่หว่า เป็นทหารหาเมียง่ายด้วย”

ค่ำคืนบนชานบ้าน ลุงมุดกล่าวพลางกระดกเหล้าเข้าปาก ผมยิ้ม หันมองภรรยาซึ่งกำลังช่วยแม่หุงหาอาหารในครัว เธอต้องลำบากมากทีเดียว อยู่ป่าอยู่ดงท่ามกลางสงครามด้วยกันมาตลอด

“ไอ้ว็อตมันมีเมียทุกหมู่บ้านนั่นแหละ” น้าเตียหันไปบอกลุงมุด

“น้อย ๆ หน่อยเถอะน้า” ผมเอ่ยปรามในที

“หรือไม่จริงล่ะ ไอ้ทหารหนุ่มรูปหล่อ ผ่านไปหมู่บ้านไหนสาว ๆ ติดกันเกรียว” น้าเตียกลับยิ่งเสียงดัง อาจเพราะฤทธิ์น้ำเมานั่นด้วย
แต่ที่แกพูดมาก็มีส่วนจริงอยู่บ้างเหมือนกัน หน้าที่ของเราหลังฝึกเสร็จ คือการออกลาดตระเวนเพื่อขับไล่กดดันฝ่ายตรงข้ามให้ถอยร่นออกไป นั่นทำให้เราได้พบปะผู้ฅนตามหมู่บ้านต่าง ๆ ตลอดเส้นทางไปด้วย และดูว่าชาวบ้านส่วนใหญ่นั้นค่อนข้างที่จะชื่นชอบเราอยู่ทีเดียว โดยเฉพาะในหมู่ของบรรดาหญิงสาว ซึ่งผมก็ไม่ได้เจ้าชู้มากมายอะไรแบบที่น้าเตียแกว่านักหรอก เมื่อได้เจอภรรยาที่พามาผมก็ตัดสินใจแต่งงาน ความจริงมันเป็นเพียงการผูกข้อมือกล่าวคำอวยพรของผู้หลักผู้ใหญ่เสียมากกว่า

“ก็ดีนะ อยู่ป่าอยู่ดงก็ได้เมียมันนี่แหละหุงหาอาหารให้กิน ไม่อย่างนั้นคงได้ล่อแต่ข้าวแห้งแช่น้ำกัน” น้าเตียยังไม่ยอมจบเรื่องของผมสักที “เออ แต่บางคราก็ยังต้องอดอยู่เหมือนกันนะ ไอ้มันนี่หรือก็ไม่เคยเห็นใจผู้หญิง พาบุกป่าฝ่าดงหอบหิ้วไปด้วยกันไม่ให้ห่าง”

“อ้าว น้า ผัวเมียมันก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ” ผมรีบค้านก่อนที่แกจะพล่ามไปมากกว่านี้

“ที่เอ็งพูดน่ะมันก็ถูก” น้าเตียยังคงกล่าวต่อ “สามีภรรยามันก็ต้องอยู่ด้วยกัน ดูแลซึ่งกันและกัน แต่เอ็งน่ะมันมากไปหรือเปล่า กระเตงกันไปกลางสนามรบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแบบนั้นน่ะ” น้าเตียจบคำพูดยืดยาวของแกด้วยการกระดกเหล้าเข้าปาก เรื่องนี้ความจริงผมเองก็คิดอยู่เหมือนกันว่าควรจะดูแลภรรยาให้ดีกว่านี้ ที่พามานี่ก็ได้ตั้งใจไว้แล้วว่า จะให้เธอได้อยู่กับแม่เมื่อครบกำหนดวันต้องกลับกรมกอง

“เอ็งนี่มีเมียไวกว่าพวกเลยนะ” ลุงมุดพูดขึ้นมาอีก

“ใช่ ๆ พวกเราอยู่นี่ยังหาไม่ได้กันสักฅน” คราวนี้เป็นไอ้เสกที่ช่วยเสริมคำพูดลุงมุดจากเปลญวนที่ผูกอยู่กับเสา

“จะว่าไปเอ็งนี่มันมีเมียก่อนพี่ชายเอ็งเลยด้วย” ลุงฮุนผู้นั่งเงียบฟังเราคุยกันมานานออกความเห็นขึ้นมาบ้าง

“แล้วเรื่องพี่กับจันธรล่ะครับ” ผมหันไปถามพี่ชายซึ่งยังคงนั่งยิ้มข้างวงเหล้า

“ไอ้ผู้ช่วยเจือนมันบังคับอีจันธรแต่งกับลูกกำนันไปแล้ว” ลุงมุดเป็นฝ่ายตอบแทนพี่ชาย

ตาเจือน แกกีดกันความรักของพวกเขาทั้งคู่จนได้สินะ ผมอดคิดถึงเรื่องนั้นไม่ได้

พี่ชายผมกับจันธรรักกันใคร ๆ ก็รู้ แต่ที่ผมไม่รู้ก็คือ ตาเจือน ไม่รู้ว่าแกมีเรื่องแค้นเคืองอะไรต่อพ่อผมนัก ขนาดที่ว่าพ่อตายไปหลายปีแล้วแกยังไม่คลายความชิงชังที่มีต่อพวกเรา ความรักของพี่ชายผมกับลูกสาวแกจึงถูกกีดกันมาโดยตลอด

“ตอนที่ผ่านบ้านแกมารู้สึกว่าจะไม่เห็นนะ แกอยู่ไหม” ผมตั้งข้อสังเกตพร้อมคำถาม

“มันจะกล้าอยู่รึ พอผู้ใหญ่บ้านบอกว่าเอ็งจะมามันก็หนีไปบ้านญาติมันแล้ว” ลุงมุดเป็นฝ่ายตอบอีกเช่นเคย

กับเรื่องราวที่ผ่านมา วันนั้นผมต้องแปลกใจ เมื่อกลับจากศาลาเรียนแล้วได้เห็นตาเจือนพร้อมฅนแปลกหน้ามีอาวุธครบมือบนบ้านของเรา มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ๆ

“เขาจะเอาพี่เอ็งไปทำทหาร” ผมสะอึกกับคำที่แม่บอกทั้งน้ำตา บ้านของเรามีกันเพียงสามฅน แม่ผมแก่มากแล้วหนำซ้ำยังพิการอีกด้วย ขาข้างหนึ่งของแกลีบเล็กมาแต่กำเนิด ท่ามกลางสภาพสงครามแบบนี้ หลังจากพ่อตายแม่ก็เลี้ยงเราสองพี่น้องมาด้วยความยากลำบาก เมื่อโตขึ้นพี่ชายก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงมาตลอด ขณะที่ผมเองนั้นยังต้องเรียนอยู่เลย ตอนนี้หากขาดพี่ชายบ้านเราคงต้องลำบากกว่าเดิมมาก แต่ตาเจือนดูจะไม่ยอมรับรู้หรือสนใจอะไร เพราะต้องการแยกพี่ผมออกจากลูกสาวแกนั่นสินะ ตาเจือนถึงได้พาฅนมาจับตัวพี่ชายผมไปเป็นทหาร ทั้งที่โดยปกติแล้วผู้ใหญ่บ้านจะคอยบอกคอยเตือนพวกเราล่วงหน้าเสมอ หากว่าวันไหนจะมีการมาหาจับตัวฅนในหมู่บ้านแบบนี้

“ผมขออาสาสมัครเป็นทหารเองครับ”
ผมตัดสินใจในเสี้ยวนาทีสุดท้ายก่อนพี่ชายจะถูกนำตัวไป หลังจากตัดสินใจกันสักพักพวกเขาก็ยอม

“วันไหนที่กูกลับมา เมิงตาย” ผมหันไปส่งเสียงลอดไรฟันบอกตาเจือนก่อนตามพวกเขาขึ้นรถไป

ครบกำหนดเจ็ดวันแล้วแต่ผมยังไม่ได้กลับกรมกอง เพราะต้องดูแลภรรยาที่เกิดไม่สบายจึงต้องเลื่อนเวลาออกไป นั่นทำให้ผมได้พบกับแก ตาเจือน การออกมาหายาต้มให้เมียของผมทำให้เราทั้งคู่ได้เผชิญหน้ากันในที่สุด

อากาศกลางทุ่งกำลังร้อนระอุ ผมแบกอาก้าอยู่บนไหล่ ตาเจือนยืนหน้าซีดตรงหน้า แกดูตื่นทีเดียวเมื่อผมยกปืนออกจากบ่า

“สวัสดีครับลุง” ผมลดปืนลงพนมมือไหว้ ขณะที่แกยังมองด้วยสายตาคลางแคลง

“เอ็ง ไม่โกรธข้า แล้วรึ” เสียงตะกุกตะกักถามออกมา

“มันคิดได้มากกว่า” ผมตอบ เว้นจังหวะชั่วขณะก่อนกล่าวต่อ

“ฅนเราต่างมีหน้าที่ ที่ผมต้องจับปืนรบรากันนั่นก็ด้วย” ลมเย็นพัดมาพอช่วยบรรเทาไอร้อนขณะที่ตาเจือนดูผ่อนคลายลงบ้างแล้ว

“ความจริงต้องขอบคุณลุงเสียอีกที่ทำให้ผมได้เป็นทหาร ให้ผมได้เติบโตขึ้น ไม่ใช่เด็กอารมณ์ร้อนแบบเมื่อก่อน” ผมบอกกับแกตามที่คิดได้ในตอนนี้จริง ๆ การโกรธแค้นไม่ควรเป็นหน้าที่ของเราสองฅน และบางที ความต้องการแต่จะเอาชนะซึ่งกันและกัน คงไม่อาจที่จะยุติสงครามในใจของพวกเราได้แน่นอน

ผมยิ้ม เป็นครั้งแรกที่ผมมีความสุขเมื่อสบตาแก.

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่