🍅มะเขือเทศ
ควรกินแบบปรุงสุกเพราะ
สารอาหารที่สำคัญ อย่าง ไลโคปีน ที่ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และดูแลหัวใจ
ไลโคปีนเมื่อโดนความร้อนผนังเซลล์จะถูกทำลาย ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ง่ายขึ้น

🥕แคร์รอต
ควรกินแบบปรุงสุก แครอทมีเบตาแคโรทีนสูงมาก ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ
เมื่อโดนความร้อนผนังเซลถูกทำลายร่างกายดูดซึมเบต้าแคโรทีนได้มากขึ้น

🌶️พริก
ควรจะกินแบบดิบ สารอาหารประเภทวิตามินซีสูง หากโดนความร้อนวิตามินซีสลายไปได้ง่าย

ปริมาณวิตามินซีในพริก 100 กรัม
พริกหวาน มีวิตามินซี 70 มิลลิกรัม
พริกหยวก มีวิตามินซี 50 มิลลิกรัม
พริกขี้หนู มีวิตามันซี 40 มิลลิกรัม

🥦ผักตระกูลกะหล่ำ
เช่น กะหล่ำปลี บล็อกโครี่ คะน้า ควรจะกินแบบปรุงสุก เพราะแบบดิบจะทำให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหารได้ และผู้ที่การทำงานของต่อมไทรอยด์บกพร่อง ควรหลีกเลี่ยงผักตระกูลกะหล่ำ เพราะมีสาร Goitrogen ยับยั้งการดูดซึมไอโอดีนมีผลทำให้ต่อมไทรอยด์ผลิตโฮร์โมนได้น้อยลง

🧅หัวหอมใหญ่
ควรกินแบบดิบ เพราะเอ็นไซม์ วิตามินบีและซี อาจถูกทำลายลงได้เมื่อโดนความร้อน
วิตามินบี ช่วยการเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงานแก่ร่างกาย
วิตามินซี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ เสริมสร้างภูมิต้านทาน และช่วยให้ผิวหนังให้แข็งแรง

🍡หน่อไม้ฝรั่ง
ควรปรุงสุก เพราะ มีวิตามินเอ วิตามินอี ละลายในไขมัน ถ้าผัดหน่อไม้ฝรั่งกับน้ำมัน ช่วยให้ดูดซึมวิตามินได้ดีขึ้นและหน่อไม้ฝรั่งแบบสุกจะช่วยเพิ่มระดับกรดฟีโนลิก (phenolic acid) ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งได้

🥬ปวยเล้ง หรือ ผักโขม แบบสุก  ช่วยลดกรดออกซาลิก (oxalic acid) ซึ่งรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็กและแคลเซียมของร่างกาย

 🌾ถั่วงอก
ถั่วงอกดิบมีสารที่ชื่อว่า กรดไฟติก (Phytic acid) ที่สกัดกั้นการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ทำให้เราได้รับสารอาหารน้อยลง

🎋หน่อไม้ / มันสำปะหลัง
การทานหน่อไม้หรือมันสำปะหลังดิบนั้น ทำให้เราได้รับสารไซยาไนด์ ซึ่งจะเข้าไปจับกับเม็ดเลือดแดง ส่งผลให้เกิดอาการขาดออกซิเจน ทำให้หมดสติ หรือเสียชีวิต การป้องกันคือ ควรต้มด้วยน้ำเดือดมากกว่า 10 นาที