ไม่นานเกินรอ แรงงาน AI ล้วน ไม่มีคนปน
'ซัมซุง' เตรียมสร้างโรงงาน AI ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์
ขณะที่ โรงงานประกอบรถ 'บีเอ็มดับเบิ้ลยู' และโรงงานผลิตขนมขบเคี้ยวของ 'เป็ปซี่โค' เริ่มใช้ AI มาทำงานร่วมกับคนมากขึ้นแล้ว
.
AI ไม่ได้ทำให้ทุกคนตกงาน แต่เรื่องแย่งงานมนุษย์เพิ่มขึ้นนั้นอาจจะได้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
.
เมื่อล่าสุด Asia Times รายงานข่าวว่า ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ (Samsung Electronics) บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้กำลังวางแผนที่จะสร้าง 'โรงงาน AI' เต็มรูปแบบไม่มีแรงงานคนเข้าไปอยู่ในกระบวนการเลยมาผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์
.
โดยจะพัฒนาให้เป็นโรงงานแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
.
อย่างไรก็ตามโรงงานผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์โดยทั่วไปจะเน้นการทำงานด้วยเครื่องจักรเทคโนโลยี ใช้คนน้อยในตัวโรงงานอยู่แล้ว แต่ซัมซุงต้องการนำ AI มาใช้งานเข้มข้นขึ้นโดยไม่ต้องมีแรงงานคนในโรงงานเลย
.
เป้าหมายคือ ใช้ AI ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพ ด้วยการติดตั้ง 'เซ็นเซอร์อัจฉริยะ' ควบคุมกระบวนการผลิตทั้งหมด และนำระบบอัจฉริยะของ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบวงจรรวม (IC) การพัฒนาวัสดุ การผลิต การปรับปรุงผลผลิต และบรรจุภัณฑ์ โดยซัมซุงตั้งใจให้ ซอฟท์แวร์ AI สามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ระบุสาเหตุของข้อบกพร่องในกระบวนการผลิตได้ด้วย
.
โรงงานปัญญาประดิษฐ์เต็มรูปแบบตั้งเป้าจะเปิดดำเนินการให้ได้ภายในปี 2030 นับจากตอนนี้ก็อีกไม่กี่ปีเท่านั้น
.
การนำระบบอัตโนมัติและ AI มาใช้โดยสมบูรณ์นี้ ซัมซุงเห็นว่าในอนาคตเทคโนโลยีชิปหน่วยความจำจะมีขนาดเล็กลง ความเสี่ยงของข้อบกพร่องก็อาจมีได้มากขึ้น ซึ่ง AI จะช่วยลดปัญหานี้ เพราะสามารถเข้ามาช่วยตรวจจับข้อบกพร่องที่เกิดระหว่างการผลิต และยังช่วยให้บริษัทรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้
.
นักวิเคราะห์ในต่างประเทศมองแผนการนี้ของซัมซุงว่ากำลังเปลี่ยนจากการพึ่งพาซัพพลายเออร์จากต่างประเทศไปสู่การพัฒนาภายในองค์กรเพื่อสร้างความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี
.
นอกจากซัมซุงจะเป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำรายใหญ่ที่สุดของโลกแล้ว ก็ยังเป็นผู้ผลิตชิปตามสัญญา (Chip contract) รายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจาก TSMC ของไต้หวัน
.
ความคิดริเริ่มของซัมซุงเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลทั่วโลกว่า AI จะมาพลิกโฉมตลาดงานในอนาคต เนื่องจากบริษัทจำนวนมากหันมาใช้ระบบอัตโนมัติและ AI โดยมีการศึกษาที่คาดการณ์ว่า AI อาจนำไปสู่การสูญเสียงานประมาณ 25% ในอีก 6 ปีข้างหน้า
.
[ บีเอ็มดับเบิ้ลยู-เป็ปซี่โค เริ่มใช้ AI มาทำงานร่วมกับคนมากขึ้น ]
.
เมื่อปีที่แล้วค่ายรถบีเอ็มดับเบิลยู (BMW) ได้อัพเกรดโรงงานในรัฐเซาท์แคโรไลนาเพื่อเพิ่มความสามารถด้าน AI เข้ามาในโรงงาน โรงงานแห่งนี้ผลิตรถยนต์ BMW ประมาณ 60 % ที่ขายในสหรัฐอเมริกา ในโรงงานจะมีหุ่นยนต์ทำหน้าที่เชื่อมหมุดโลหะระหว่าง 300-400 ชิ้นเข้ากับโครงของรถ ซึ่งขั้นตอนนี้จัดการโดย AI หากการประกอบชิ้นส่วนนี้มีความผิดพลาด ระบบ AI จะสั่งให้หุ่นยนต์แก้ไขให้ถูกต้อง โดยไม่จำเป็นต้องมีการแทรกแซงของมนุษย์
.
เทคโนโลยีส่วนนี้ช่วยโรงงานประหยัดเงินได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี และเทคโนโลยีใหม่นี้ทำให้ให้ BMW สามารถถอดพนักงาน 6 คนออกจากสายงาน และปรับใช้คนกลุ่มนี้ไปทำงานอื่นในโรงงานได้
.
ส่วนโรงงานเป็ปซี่โค (PepsiCo) ในเมืองโคเวนทรี สหราชอาณาจักร ก็เริ่มใช้ AI มาทดสอบทำงานร่วมกับมนุษย์ในโรงงานผลิตขนมขบเคี้ยว โดยมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ที่จะมอนิเตอร์ตรวจสอบ และวิเคราะห์กระบวนการผลิตแบบเรียลไทม์ สามารถเตือนปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันทีผ่านการประมวลข้อมูลในระบบ รวมทั้งแนะนำแนวทางแก้ไข
.
นอกจากนี้ยังสามารถคาดการณ์ได้ว่าระบบการผลิตอาจจะมีปัญหาอะไรได้อีกในอนาคตด้วย โดยจะมีการขึ้นแจ้งเตือนล่วงหน้าจากการประมวลข้อมูล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ช่วยให้ผู้ผลิตคาดการณ์และเตรียมพร้อมรับมือได้ทัน หากระบบการผลิตในโรงงานมีปัญหาขัดข้อง
.
ผู้บริหารของ PepsiCo บอกว่า ระบบ AI เซ็นเซอร์ ช่วยปรับปรุงวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
.
บนความฉลาดอัจฉริยะที่เกิดขึ้น ดูเหมือน AI จะมาพร้อมกับความวิตกกังวลของคนทำงาน
.
ในการวิเคราะห์ของ Deloitte Thailand Insights ให้ความเห็นอีกด้านว่า AI จะเปลี่ยนรูปแบบการทำงานในอนาคต โดยเริ่มตั้งแต่แรงงานคน จากเดิมที่ไอคิวเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในการทำงานเมื่อ AI เข้ามามีบทบาททำงานแทนมนุษย์ได้ ตัวชี้วัดความสำเร็จของมนุษย์จะเปลี่ยนเป็นอีคิว มุมมองทัศนคติ และ soft skill
.
ทุกคนจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองเพื่อเรียนรู้การใช้ประโยชน์จาก AI เราอาจจะไม่ตกงานเพราะ AI แต่คนที่รู้จักใช้ประโยชน์จาก AI ต่างหากที่จะมาชิงตำแหน่งงานของเราไป
.
สิ่งสำคัญคือ เราต้องมองว่า AI เป็นเพื่อนร่วมงานที่จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น AI เปรียบเหมือนผู้ช่วยนักบินที่ไม่เพียงทำหน้าที่ช่วยทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ แต่ยังสามารถทำงานระดับพื้นฐาน และซ้ำ ๆ ปริมาณมากได้อีกด้วย เช่น การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ
.
ดีลอยท์เรียกยุคนี้ว่า 'The Age of With' ซึ่งเป็นยุคที่มนุษย์และ AI ทำงานร่วมกัน
ไม่นานเกินรอ แรงงาน AI ล้วน ไม่มีคนปน 'ซัมซุง' เตรียมสร้างโรงงาน AI ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์
'ซัมซุง' เตรียมสร้างโรงงาน AI ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์
ขณะที่ โรงงานประกอบรถ 'บีเอ็มดับเบิ้ลยู' และโรงงานผลิตขนมขบเคี้ยวของ 'เป็ปซี่โค' เริ่มใช้ AI มาทำงานร่วมกับคนมากขึ้นแล้ว
.
AI ไม่ได้ทำให้ทุกคนตกงาน แต่เรื่องแย่งงานมนุษย์เพิ่มขึ้นนั้นอาจจะได้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
.
เมื่อล่าสุด Asia Times รายงานข่าวว่า ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ (Samsung Electronics) บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้กำลังวางแผนที่จะสร้าง 'โรงงาน AI' เต็มรูปแบบไม่มีแรงงานคนเข้าไปอยู่ในกระบวนการเลยมาผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์
.
โดยจะพัฒนาให้เป็นโรงงานแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
.
อย่างไรก็ตามโรงงานผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์โดยทั่วไปจะเน้นการทำงานด้วยเครื่องจักรเทคโนโลยี ใช้คนน้อยในตัวโรงงานอยู่แล้ว แต่ซัมซุงต้องการนำ AI มาใช้งานเข้มข้นขึ้นโดยไม่ต้องมีแรงงานคนในโรงงานเลย
.
เป้าหมายคือ ใช้ AI ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพ ด้วยการติดตั้ง 'เซ็นเซอร์อัจฉริยะ' ควบคุมกระบวนการผลิตทั้งหมด และนำระบบอัจฉริยะของ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบวงจรรวม (IC) การพัฒนาวัสดุ การผลิต การปรับปรุงผลผลิต และบรรจุภัณฑ์ โดยซัมซุงตั้งใจให้ ซอฟท์แวร์ AI สามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ระบุสาเหตุของข้อบกพร่องในกระบวนการผลิตได้ด้วย
.
โรงงานปัญญาประดิษฐ์เต็มรูปแบบตั้งเป้าจะเปิดดำเนินการให้ได้ภายในปี 2030 นับจากตอนนี้ก็อีกไม่กี่ปีเท่านั้น
.
การนำระบบอัตโนมัติและ AI มาใช้โดยสมบูรณ์นี้ ซัมซุงเห็นว่าในอนาคตเทคโนโลยีชิปหน่วยความจำจะมีขนาดเล็กลง ความเสี่ยงของข้อบกพร่องก็อาจมีได้มากขึ้น ซึ่ง AI จะช่วยลดปัญหานี้ เพราะสามารถเข้ามาช่วยตรวจจับข้อบกพร่องที่เกิดระหว่างการผลิต และยังช่วยให้บริษัทรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้
.
นักวิเคราะห์ในต่างประเทศมองแผนการนี้ของซัมซุงว่ากำลังเปลี่ยนจากการพึ่งพาซัพพลายเออร์จากต่างประเทศไปสู่การพัฒนาภายในองค์กรเพื่อสร้างความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี
.
นอกจากซัมซุงจะเป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำรายใหญ่ที่สุดของโลกแล้ว ก็ยังเป็นผู้ผลิตชิปตามสัญญา (Chip contract) รายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจาก TSMC ของไต้หวัน
.
ความคิดริเริ่มของซัมซุงเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลทั่วโลกว่า AI จะมาพลิกโฉมตลาดงานในอนาคต เนื่องจากบริษัทจำนวนมากหันมาใช้ระบบอัตโนมัติและ AI โดยมีการศึกษาที่คาดการณ์ว่า AI อาจนำไปสู่การสูญเสียงานประมาณ 25% ในอีก 6 ปีข้างหน้า
.
[ บีเอ็มดับเบิ้ลยู-เป็ปซี่โค เริ่มใช้ AI มาทำงานร่วมกับคนมากขึ้น ]
.
เมื่อปีที่แล้วค่ายรถบีเอ็มดับเบิลยู (BMW) ได้อัพเกรดโรงงานในรัฐเซาท์แคโรไลนาเพื่อเพิ่มความสามารถด้าน AI เข้ามาในโรงงาน โรงงานแห่งนี้ผลิตรถยนต์ BMW ประมาณ 60 % ที่ขายในสหรัฐอเมริกา ในโรงงานจะมีหุ่นยนต์ทำหน้าที่เชื่อมหมุดโลหะระหว่าง 300-400 ชิ้นเข้ากับโครงของรถ ซึ่งขั้นตอนนี้จัดการโดย AI หากการประกอบชิ้นส่วนนี้มีความผิดพลาด ระบบ AI จะสั่งให้หุ่นยนต์แก้ไขให้ถูกต้อง โดยไม่จำเป็นต้องมีการแทรกแซงของมนุษย์
.
เทคโนโลยีส่วนนี้ช่วยโรงงานประหยัดเงินได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี และเทคโนโลยีใหม่นี้ทำให้ให้ BMW สามารถถอดพนักงาน 6 คนออกจากสายงาน และปรับใช้คนกลุ่มนี้ไปทำงานอื่นในโรงงานได้
.
ส่วนโรงงานเป็ปซี่โค (PepsiCo) ในเมืองโคเวนทรี สหราชอาณาจักร ก็เริ่มใช้ AI มาทดสอบทำงานร่วมกับมนุษย์ในโรงงานผลิตขนมขบเคี้ยว โดยมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ที่จะมอนิเตอร์ตรวจสอบ และวิเคราะห์กระบวนการผลิตแบบเรียลไทม์ สามารถเตือนปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันทีผ่านการประมวลข้อมูลในระบบ รวมทั้งแนะนำแนวทางแก้ไข
.
นอกจากนี้ยังสามารถคาดการณ์ได้ว่าระบบการผลิตอาจจะมีปัญหาอะไรได้อีกในอนาคตด้วย โดยจะมีการขึ้นแจ้งเตือนล่วงหน้าจากการประมวลข้อมูล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ช่วยให้ผู้ผลิตคาดการณ์และเตรียมพร้อมรับมือได้ทัน หากระบบการผลิตในโรงงานมีปัญหาขัดข้อง
.
ผู้บริหารของ PepsiCo บอกว่า ระบบ AI เซ็นเซอร์ ช่วยปรับปรุงวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
.
บนความฉลาดอัจฉริยะที่เกิดขึ้น ดูเหมือน AI จะมาพร้อมกับความวิตกกังวลของคนทำงาน
.
ในการวิเคราะห์ของ Deloitte Thailand Insights ให้ความเห็นอีกด้านว่า AI จะเปลี่ยนรูปแบบการทำงานในอนาคต โดยเริ่มตั้งแต่แรงงานคน จากเดิมที่ไอคิวเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในการทำงานเมื่อ AI เข้ามามีบทบาททำงานแทนมนุษย์ได้ ตัวชี้วัดความสำเร็จของมนุษย์จะเปลี่ยนเป็นอีคิว มุมมองทัศนคติ และ soft skill
.
ทุกคนจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองเพื่อเรียนรู้การใช้ประโยชน์จาก AI เราอาจจะไม่ตกงานเพราะ AI แต่คนที่รู้จักใช้ประโยชน์จาก AI ต่างหากที่จะมาชิงตำแหน่งงานของเราไป
.
สิ่งสำคัญคือ เราต้องมองว่า AI เป็นเพื่อนร่วมงานที่จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น AI เปรียบเหมือนผู้ช่วยนักบินที่ไม่เพียงทำหน้าที่ช่วยทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ แต่ยังสามารถทำงานระดับพื้นฐาน และซ้ำ ๆ ปริมาณมากได้อีกด้วย เช่น การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ
.
ดีลอยท์เรียกยุคนี้ว่า 'The Age of With' ซึ่งเป็นยุคที่มนุษย์และ AI ทำงานร่วมกัน