ขายบ้าน ขายที่ดิน สายมู กับหนึ่ง วิธีที่น่าลอง

การขายบ้าน หรือการขายที่ดิน เป็นเรื่องง่าย จบการขายไม่ยากเลย
หากผู้ซื้อ ได้ราคาถูกใจ และสามารถนำไปขายต่อได้
แต่จะลงเอยด้วย เจ้าของ ต้องขาย ถูกสถานเดียว
ราคา ถูก จึงเป็นจุด ประสงค์แรกที่ผู้ซื้อตั้งธงไว้แล้ว
อยู่ที่ว่า เจ้าของ จะยอมขาย ขาดทุนหรือไม่เท่านั้นเอง
หลักการแบบนี้ มันคือหลักการ วิทยาศาสตร์ ล้วนๆ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย

หนึ่งในวิธี สายมู ในการขายที่ดิน และขายบ้าน จากประสบการณ์ส่วนตัว
ที่ได้มีโอกาส ให้ความช่วยเหลือ เจ้าของบ้าน เจ้าของที่ดิน 
ทุกอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับสายมู เราสามารถทำได้ แต่ผลของมัน
จะได้หรือไม่ได้ ยังไงเราก็ต้อง ทดลองทำเช่นกัน ซึ่งแน่นอนครับ
สายมู เราหนีไม่พ้น จะต้องขอความช่วยเหลือ จาก สัมพะเวสี หรือ ผี
ที่เขาอาศัย ในที่ดินแปลงนั้น หรือ ในบ้านหลังนั้น ซึ่งคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้
ก็คงอมยิ้ม หัวเราะ ไม่ผิดครับ เพราะถ้าคุณเชื่อวิทยาศาตร์ คุณต้องอดหัวเราะไม่ได้แน่นอน
ส่วนตัวผม เชื่อมาโดยตลอดว่า ในทุกๆ ผืนแผ่นดิน จะมีสัมพะเวสี หรือ ผี อยู่ทุกที
ถ้าเขายังไม่ได้ไปผุดไปเกิด เขาก็ยังคงต้องอยู่ ณ ที่ตรงนั้น รอการไปผุดไปเกิดนั้นเอง
ด้วยการไม่มีตัวตน อยู่แล้ว เปรียบเสมือนความว่างเปล่า วิทยาศาสตร์ ไม่สามารถหาเครื่องมือ
มาพิสูจน์ได้ ก็เพราะ ความไม่มีตัวตนนั้นแหละ  ที่ทำให้วิทยาศาตร์ อธิบายไม่ได้
เราทุกคน มีสัมผัสพิเศษ ไม่เท่ากัน ในเรื่อง ลี้ลับ บางคนมีมาก บางคนมีน้อย บางคนก็ไม่มี
ไม่แปลก ในปัจจุบัน จึงมีคนทั้งเชื่อ และไม่เชื่อ ในเรื่องนี้
ผมโชคดี ใน 20 ปีที่ผ่านมา มีโอกาส ได้ ทำงานลี้ลับ ตั้งคำถามกับตัวเองมากมาย
เพราะเรื่องทำนองนี้ จะให้เราเชื่อสนิทใจ คงไม่ได้หรอกครับ
แต่ผมจะยอมเชื่อ เพราะคำว่า ก่อนทำ และ หลังทำ หากมันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
หลังทำ ตามความต้องการของเรา ผมจะเชื่อครับ เพราะ ไม่มีเหตผลอะไรที่จะไม่เชื่อ
ครั้งหนึ่ง เคยเจอคนขายผ้า พื้นเมือง ราคา ค่อนข้างสูง ผมอยากจะลองทดสอบอะไรบางอย่าง
และอยากจะรู้ด้วยว่า ในสถานที่นั้น มีสัมพะเวสี จริงๆ ไหม
ก็เลย ลองคุยกับเจ้าของร้านขายผ้า ว่า มีผ้าผืนไหน ที่ขายไม่ออก มาเป็นเดือนแล้ว  
ผมอยากจะทดลอง ทำให้มันขายได้ จะทดลองทำไหม ผมถามเจ้าของร้าน
เจ้าของร้าน ก็คิดอยู่นาน แล้วก็ถามผมว่า จะทำให้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ใช่ไหมครับ
ผมตอบว่าใช่ เพราะผมเอง ชอบทดลองเรื่องแบบนี้ อยู่แล้ว
แล้วเจ้าของร้าน ก็เอาผ้าผืนที่ จะขายมาให้ผม
แล้วผมก็จับผ้าผืนนั้น อธิษฐานจิต ว่า ถ้าผ้าผื่นนี้ มี สัมพะเวสีอยู่ หรือ บริเวณร้านนี้
มีสัมพะเวสีอยู่ ผมเสนอเงื่อนไขว่า ถ้าหาคนมาซื้อผ้าผื่นนี้ได้ จะแลกเปลี่ยนโดย
การ ปลดปล่อยให้ไปผุดไปเกิด เป็นการตอบแทน
ผลปรากฎว่า ผ้าผื่นนั้น ถูกซื้อไปจริงๆ หลังการอธิษฐาน ไม่ถึง 4 ชั่วโมง
ใช่ครับ ร้านค้านี้ ตั้งอยู่ในห้าง ซึ่งตัวผมเอง จะต้องกลับมาห้างนี้อีก ในวันพรุ่งนี้ อยู่แล้ว
ผมจึง ให้เวลา สัมพะเวสี ได้แค่ 1 วัน ในตอนที่ อธิษฐาน ก็ไม่ได้คิดอะไร
อยากลองทำจริงๆ ว่า มันจะเกิด เหตุอะไร ถ้าไม่ได้ ก็ไม่ได้เสียหาย
ก็แค่ ผมจะถูกเจ้าของร้าน ลงความเห็นว่า ทำไม่ได้ แล้วอาจจะไปเล่าให้คนอื่นฟัง น่าจะแค่นั้น
เมื่อผ้า ถูกขายไปจริงๆ จำราคาได้ ว่า 3,500 บาท ถามเจ้าของร้านแล้วว่า
ผู้ซื้อเป็นใครเหรอครับ ราคาขนาดนี้ น่าจะเป็นคนมีฐานะ เจ้าของร้านบอกว่า
เป็น ผู้จัดการ ที่เขาดูแล ห้างนี้ นี่แหละครับ มาซื้อ ผมอึ้งไป พักหนึ่ง
แล้วถามเจ้าของร้านว่า คิดว่าเรื่องนี้ มีข้อสรุปยังไง ในความรู้สึกของเจ้าของร้าน
เขาบอกว่า ที่นี่ มีสัมพะเวสี แน่ๆ เขาถึงได้ ดลจิต ให้ ผู้จัดการ ฝ่ายบุคคลที่นี่ มาซื้อได้
ผู้จัดการคนนี้ เขาไม่ใช่ลูกค้าที่ร้าน ร้านนี้ เปิดขายมา 3 ปีแล้ว เขาก็ไม่เคยซื้อ เลยสักชิ้นเดียว
มาถึงตรงนี้ คงมีผู้อ่าน อยากรู้แล้วใช่ไหมครับ ว่าผม ปลดปล่อย สัมพะเวสียังไง
20 ปี ที่ผมทำงานมา ผมก็ใช้ภาษาปกติ ที่ผมพูดกับคนทั่วไป นั้นแหละครับ
ผมไม่ได้เรียนวิชา สายมู ในชีวิต เคยแค่บวชเณร ภาคฤดูร้อน เหมือนชายไทยยุค 80 ที่ถูกพ่อแม่
ส่งไปอยู่วัด ตอนปิดเทอมใหญ่ 
ผมไม่มีครูบาอาจารย์ ผมคิดเสมอว่า สิ่งที่ผมทำ ไม่ใช่ตัวผมทำ หมายถึงตัวมนุษย์
เพราะสิ่งที่ทำ มันเกินความสามารถ ของมนุษย์ แล้วผมก็เชื่อว่า มี มนุษย์อีกหลายคน บนโลกนี้
ทำได้ เหมือนกับผมเช่นกัน แค่ว่า คนที่ทำได้ เขาอาจจะไม่รู้ว่าเขาทำได้ ก็แค่นั้นเอง
สายมู ถ้าได้ลองทำ คุณถึงจะรู้ว่า จะทำได้หรือไม่ได้ มันก็ต้องลองทำ แล้วต้องรอผลของมัน
การทำได้ มันอาจหมายถึง ความไม่ปลอดภัยของคุณ การใช้ชีวิต อาจจะไม่เป็นสุข
ทั้ง กิเลสความโลภของเราเอง และกิเลสของคนรอบข้างที่ ต้องการหาประโยชน์จากเรา
ถ้าฟังมาถึงตรง นี้ คุณน่าจะเข้าใจแล้วว่า ขายบ้านและขายที่ดิน ผมจะทำยังไง
ก็ทำวิธีเดียวกันกับที่ ผมทำขายผ้านั้นแหละ แต่เจ้าของที่ดิน เจ้าของบ้าน ต้องยินยอม
ฟังดูเหมือนง่าย ใช่ไหมครับ ฟังเหมือนเรื่องโกหกด้วย
คุณไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย คุณก็จะไม่เชื่อ ผมว่าเรื่องพวกนี้
ถ้าไม่เกิดกับตัวเรา ผมคนหนึ่งแหละครับ ที่ไม่เคยเชื่อเลย
แต่ที่ผมจะเล่า คืออีกมุมหนึ่งที่ น่า กลัว ขอยกตัวอย่าง 2 เคส

เคสแรก เป็น คนรู้จัก แล้วผมก็ไม่คิดว่า จะเอาเงินจากเขา เป็นค่าตอบแทน ถ้าเกิดขายที่ดินได้
เพราะคิดว่า อยากช่วยเหลือเขาจริงๆ โดยปกติ ราคาขาย ที่ตั้งขายไว้
มันคือราคาแบบวิทยาศาสตร์ เคสนี้ ผมจำราคาขายไม่ได้ ว่าเท่าไหร่กันแน่ เพราะเราอยากช่วยเขา
ก็ลยไม่ได้สนใจ ราคาที่เขาจะขาย เพียงแต่ ผมทักเขาไปว่า + ไป อีกสัก 1 ล้านหรือ 2 ล้านดีไหม
ผมพยายาม เล่าให้ฟัง โน้มน้าวทุกอย่าง แต่ดูเหมือน ฝ่ายภรรยา จะดื้อมาก แล้วก็ยืนยันจะขายราคา
วิทยาศาตร์ แล้วบอกผมว่า ร้อนเงินมาก ถ้าขายแพงกว่านี้ ใครจะซื้อ 
เคสนี้ ผมก็รู้สึกไม่ดี เพราะด้วยมันเป็น เคสขายที่ดิน ครั้งแรกในชีวิต ก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร
แต่ผมเชื่อว่า การเสียชีวิต ของสามีเจ้าของที่ดิน ล้มหัวฟาดพื้นในห้องน้ำ หลังจากขายที่ดินไปได้แล้ว แค่เพียง 1 วัน
มันเป็นอะไรที่ น่ากังขามาก และผมก็รู้เลยว่าเพราะอะไร
เพราะ ราคาขายนี่แหละครับ เป็นสิ่งที่ทำให้ สัมพะเวสี ที่นี่ โกรธมาก
เพราะโดยปกติ เวลาสัมพะเวสี จะหาคนมาซื้อ เขาจะไปดลจิต ดลใจ ให้ลูกหลานเขามาซื้อ
แล้วมาอยู่อาศัยในที่ดินผืนนี้ ผมจำได้ว่า หลังทำ 3 วัน ภรรยาเจ้าของที่ดิน โทรถามผมว่า
จะขายราคา เพิ่มจากที่ผมแนะนำได้ไหม ตอนนั้น ผมไม่ได้ใส่ใจและไม่ได้คิดอะไร อีกอยาก
ผมไม่มีเคส ก่อนหน้า กลไกลนี้ ผมก็ยังไม่ทราบ แล้วก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรเขาไป
มารู้ที่หลัง ว่า มีคนติดต่อมาซื้อ ราคา ที่แก่ตั้งไว้ ตกลงจะขายด้วย วาจา เรียบร้อยแล้ว แต่ดันมีคน
โทรมาถาม ว่าที่ดินขายราคาเท่าไหร่ ขายไปหรือยัง เกิดการสู้ราคากัน เจ้าของที่ดิน
น่าจะตัดสินใจ ขาย กับคนที่ให้ราคาสูงกว่านั้นเอง
แต่ ว่า สัมพะเวสี ไม่พอใจ เพราะคนซื้อคนแรก ตามเงื่อนไข ที่อธิษฐานไว้ ไม่ได้ซื้อ นั่นแหละคือปัญหา
สบายใจได้ ผมเองก็ไม่เล่าอะไรสักอย่าง ให้ภรรยาเจ้าของที่ดิน เพราะถ้าเล่าไป ก็คงหนีไม่พ้น โยนความผิดให้ผมว่าทำไมไม่บอก

เคสที่สอง เคสนี้เป็นเคสที่ ตกลงเงื่อนไข ผลประโยชน์กัน
ผมจะไม่ขายราคาวิทยาศาสตร์ เพราะต้องการพิสูจน์ เรื่องลี้ลับด้วย
อีกอย่าง ขายราคา วิทยาศาสตร์ ก็ยังขายไม่ได้ ขายแพงกว่าวิทยาศาตร์ถ้าขายได้
เราก็จะได้เชื่อสนิทใจ ว่า สัมพะเวสี ช่วยขายจริงๆ คิดไปอย่างอื่นไม่ได้แล้ว จริงไหมครับ
มัน สมเหตุ สมผลอยู่ กับการที่ สัมพะเวสี จะไปหาคนมาซื้อให้สำเร็จ แลกกับการไปผุดไปเกิด
เจ้าของตึกแถว รายนี้ อยากจะขาย 3 ล้าน ผมบอกว่า + เพิ่ม ไป อีก 1 ล้าน แล้วเอาหนึ่งล้าน
มาแบ่งครึ่งกัน ให้ผม 5 แสน เจ้าของเอาไป 5 แสน แล้วจะขายได้เหรอ 3 ล้านนี้ ขายมาหลายปีแล้วนะ
ผมอธิบาย ทุกอย่าง เหมือนจะรับฟัง แต่ทำท่าไม่เข้าใจ แล้วก็ย้ำหนักแน่น ว่า
ผิดไปจากคำอธิษฐาน ผมไม่รับผิดชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นนะครับ แล้วผมก็บอกว่า
ถ้าเงินไม่เข้าบัญชีผม หลังจากขายได้แล้ว ผมก็จะไม่ไป ปลด ปล่อยสัมพะเวสี ตามเงือนไขนะครับ
เคสนี้ ผมตามตลอด แล้วยังให้สายลับในพื้นที่ รายงานความเคลื่อนไหว เป็นระยะ
ไม่ถึง 3 เดือน แต่ก็ไม่แน่ใจว่า เขาขายได้ตอนไหน มีรายงานจากสายลับว่า เขาขายได้แล้วนะ
ผมไม่คิดมากกับเรื่องแบบนี้แน่นอนครับ เขาไม่ให้เงินเรา เราจะไปอยากได้ ก็คงตลกนะครับ
ตามสิครับ ว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไร เฟสบุค คือ ทีที่ ตรวจสอบ ความเคลื่อนไหวได้ดีที่สุด
แท้งลูก คือสิ่งแรก ที่เกิดกับลูกสาวเจ้าของตึกแถว ถ้าเขาไม่โพสลงเฟสบุค ผมก็ไม่รู้
หลังจากนั้น อีกไม่นาน แม่เจ้าของตึกแถว ต้องตัดเต้านมทิ้ง 1 ข้าง เพราะตรวจพบมะเร็ง
ไม่แน่ใจว่า เต้านมอีกข้าง ตัดทิ้งด้วยหรือเปล่า แล้วสภาพที่เห็น คือ เจาะคอใส่สายยาง
เขาใช้ชีวิตหลังจากนั้นได้ อีก ไม่กี่ปี ก็เสียชีวิต ที่ต่างประเทศ 
แค่นั้น ผมก็รู้สึกแล้วว่า สัมพะเวสี คงโกรธมาก ทีแรก ก็ไม่คิดว่า สองแม่ลูก เจ้าของตึกแถว
จะไม่โดนอะไรเลย เพราะ คิด มันเป็นเหตุบังเอิญ หรือเปล่า ที่เขาขายที่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์
ไม่เกี่ยวกับ ที่ผมไปอธิษฐานจิตไว้มั้ง อาจจะเป็นไปได้ 
เรื่องนี้ หาคำตอบไม่ได้เลย เพราะผมเอง ก็ไม่สามารถ สรุปเอาเองได้ฝ่ายเดียว
ก็เลยเป็นเคส ตัวอย่าง ที่ต้องเล่า ให้คนที่อยากให้ผม ช่วยขายที่ดินและขายบ้าน เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ

ขอบคุณนะครับ ถ้าคุณอ่านมาถึง บรรดทัดนี้ 
เรื่องทำนองนี้ ผมอยากจะเล่าให้คนอื่นฟังมากๆ เลย
แต่พอเห็นข่าว ต้มตุ๋น หลอกลวงคน ผมก็อึ้งไปเหมือนกัน
เพราะ ใครเขาจะเชื่อ เรื่องที่เราเล่า เพราะเรื่องแบบนี้ ต้องเจอกับตัวเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่