การเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด และหลักการ พื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนมี
หากพูดถึงมนุษย์แล้ว จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม สิ่งหนึ่งที่มนุษย์เป็นนั่นก็คือการพัฒนาตัวเองหรือการยกระดับตัวเองให้ไปสู่จุดสูงสุดที่ตัวเราจะทำได้
สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันที่เราเห็นกัน ก็จะมีทั้งคนที่ทำได้และคนที่ยอมแพ้ ซึ่งคนทั้งสองกลุ่มนั้นจริงๆแล้วผมมั่นใจว่าด้วยการลงมือทำ หรือด้วยการหาช่องทาง มันไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบได้ว่าใครทำมากหรือทำน้อย
จากมุมมองนี้อาจจะฟังดูแตกต่าง จากสิ่งที่หลายหลายคนเคยสัมผัส เพราะสิ่งที่ได้ยินเสมอนั่นก็คือคนสำเร็จมักจะมีความสม่ำเสมอและความพยายาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้มีความสม่ำเสมอหรือไม่ได้มีความพยายาม
ตัวผมเองมีโอกาสได้อยู่ทั้งสองฝั่งของการเป็น ทำให้ตัวผมรู้ว่าจริงๆแล้วทั้งหมดมันอยู่ที่วิธีคิดหรือมุมมองที่เรามองโลกใบนี้
จากสิ่งนี้เองทำให้ตัวผมเริ่มมองเห็นคำคำนึงที่จะสามารถนำมาใช้ยกระดับจิตสำนึกรวมของกลุ่มคนที่สนใจความเจริญรุ่งเรือง หรือความสำเร็จในในระดับกลุ่มที่ส่งผลกระทบต่อโลกใบนี้นั่นก็คือ “การเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด”
ในภาพของการพัฒนาตัวเองคนส่วนใหญ่ที่ผมรับรู้ มักจะวางมุมมองในการพัฒนาตัวเองจากศูนย์ไปถึง 100 ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติที่ทำต่อๆกันมา และแน่นอนสิ่งนี้ก็ใช้ได้ได้ผลในระดับหนึ่งกับกลุ่มกลุ่มคนบางกลุ่ม
หลักการทำงานของมุมมองนี้ก็คือ เมื่อเรามีเป้าหมายที่ปักธงไว้ เราเดินตามเส้นทางที่เราได้วางเป้าหมายไว้ และพัฒนาตัวเองตามสิ่งที่ตัวเองเห็นว่ามันจำเป็นกับเป้าหมาย เมื่อเจออุปสรรคมองหาว่าอะไรสามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ และลงมือทำเพื่อจัดการปัญหา ด้วยแนวทางรูปแบบเดียวกับวิทยาศาสตร์ที่ จะพิสูจน์คำตอบและ จัดการ กระบวนการของผลลัพธ์ที่เราต้องการ
การทำเช่นนี้นั้นสิ่งที่จำเป็นต้องมีที่ผมรับรู้ก็คือเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อที่จะนำพาไปถึงตัวเลข 100% ของความเป็นเรา ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่า 100% ที่เป็นเราจะสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่เราลงมาอยู่บนโลกใบนี้
ที่ผมพูดเช่นนี้มาจาก พวกเราไม่สามารถที่จะรับรู้อนาคตได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นั้นเนื่องมาจากสิ่งที่เรียกว่าความไม่แน่นอน
แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ ที่มีความกลัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นแล้วการจัดการความกลัวที่ดีที่สุดคือการปักธงเพื่อให้เห็นภาพทั้งหมดที่เราจะเดินไป และเดินไปตามความตั้งใจและเป้าหมายของเรา ซึ่งหลักการนี้ก็ไม่ผิดอะไร แต่สิ่งที่ผมเห็นผลผลกระทบจากตัวผมเองนั่นก็คือความว่างเปล่า
ซึ่งแต่ละคนก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นแล้วถ้าใครสัมผัสประสบการณ์ของความว่างเปล่า ผมชวนให้คุณได้มองในอีกรูปแบบหนึ่งที่ผมกำลังจะนำเสนอ สิ่งนี้จะเป็นอีกมุมมองที่สามารถจะนำไปใช้ในชีวิตเพื่อเจอตัวตนในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของเราได้
ในอีกภาพที่ตัวผมต้องการนำเสนอก็คือ การที่ตัวเราสร้างว่าตัวเราเป็นใครในอนาคตจากการจินตนาการถึงภาพที่เราต้องการเป็น ในแบบ 100% ที่เป็นเรา
ทั้งนี้จุดเริ่มต้นอาจจะคล้ายๆกับการเริ่มต้นจากศูนย์ไปถึง 100% แต่สิ่งนี้ถูกกำกับด้วยวิธีการใช้ชีวิต ที่ใช้มาจากคนที่เราเป็นในอนาคตที่เราต้องการ
สิ่งที่ผมอยากให้สังเกตจากจุดนี้ ก็คือปลายทางคนที่เราจินตนาการว่าเราเป็น มันไม่ได้มีอะไรตายตัว และตัวมันสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามเส้นทางที่เราเดิน
ซึ่งสิ่งนี้เองอาจจะขัดแย้งกับมุมมองของสังคม ในเรื่องของความผิดหรือการทำถูก เพราะว่าสิ่งหนึ่งที่สังคมปลูกฝัง และพวกเราจะได้ยินเสมอนั่นก็คือความผิดพลาดเป็นประตูสู่ความล้มเหลว ซึ่งจริงๆแล้ว ประโยคนี้ไม่จริงเลย เพราะว่าความผิดพลาดเป็นจุดที่ทำให้ตัวเราได้เรียนรู้ และแน่นอนหลายหลายครั้งความผิดพลาดที่มันเกิดซ้ำเดิมกับเรื่องราวเดิมๆ บางทีมันไม่ได้ตั้งใจที่จะสอนอะไรกับตัวเรา แต่สิ่งนี้อาจจะเป็นตัวสะท้อนภาพบางอย่างให้กับคนรอบรอบตัว
จากแนวทางการใช้ชีวิตเช่นนี้ เครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ตัวเราได้เจอตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดนั่นคือการทำตามความตื่นเต้นหรือแรงบันดาลใจสูงสุดที่เรามี
ความตื่นเต้นหรือแรงบันดาลใจสูงสุดที่เรามีนั้น อาจเป็นเรื่องเล็กๆในขณะเวลานั้นที่ตัวเรารู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้นยกตัวอย่างเช่น การทำความสะอาดบ้าน การซักผ้า หรือการแหกปากร้องเพลง โดยที่ทำตามความตื่นเต้นของคุณสุดความสามารถที่ที่คุณจะทำได้ และปล่อยวางความคาดหวังทั้งหมดลง หรือพูดอีกอย่างว่าทำให้ความคาดหวังต่อเรื่องนั้นเท่ากับศูนย์ สิ่งนี้จะทำให้ตัวคุณเองได้เกิดแอ็คชั่นหรือการลงมือทำที่สอดคล้องกับตัวตนที่แท้แท้จริงของคุณเอง
สิ่งที่มันจะเข้ามาระหว่างทางเสมอ นั่นก็คือความกลัว ความกังวล สิ่งเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากความเชื่อด้านลบที่เรามี แต่ผมผมอยากให้รู้ไว้ว่าความเชื่อด้านลบที่เรามีนั้น ส่วนใหญ่มาจากคนรอบรอบตัว สังคม ที่มักจะบอกให้เราเชื่อ ดังนั้นแล้วช่วงเวลาที่เราสัมผัสสิ่งเหล่านี้จึงเป็นโอกาสดี ที่จะทำให้ตัวเราได้ทำงานกับความเชื่อด้านลบที่เรามี
สิ่งนี้เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญเพราะว่าเวลาที่ตัวเราเอง ให้ความหมายกับทุกสิ่งเป็นด้านบวกแล้ว มันจะส่งผลกระทบต่อมุมมองในการใช้ชีวิตโดยตรง
เมื่อเราใช้ชีวิตมาจากอนาคต จากการเป็น 100% ของตัวเรา ระหว่างทางที่เราดำเนินตามความตื่นเต้น เราจะเริ่มเห็นการเป็นของเราเราชัดเจนขึ้น ว่าจริงๆแล้วตัวเรา เป็นใคร สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอก คือ ไม่ต้องกังวลว่าสิ่งที่เราคิดนั้นมันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆไหม เพราะว่าจริงๆแล้วมันมีสิ่งที่เหนือกว่า ที่บางทีตัวเราไม่สามารถจินตนาการได้ หรือจินตนาการถึง นั่นคือคนที่เราเป็นอย่างแท้จริง ซึ่งกระบวนการนี้นั้น อาศัยตัวตนที่สูงกว่าของเราเป็นผู้ที่จะจัดการกับเรื่องนี้ ดังนั้นแล้วเป็นหน้าที่ของเขาในการจัดการ หน้าที่ของเราคือการเขย่งเพื่อให้เจอตัวตนที่ดีที่สุดผ่านจินตนาการของเรา
สิ่งหนึ่งที่ต้องมีอยู่เสมอนั่นก็คือการขอบคุณ หรือการสำนึกบุญคุณ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข กับตัวเราเอง สิ่งนี้จะทำให้ตัวเราก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่มีข้อจำกัด สิ่งนี้จะทำให้คนรอบรอบตัวได้สัมผัสและดึงดูดเรื่องราว เหตุการณ์ สถานการณ์ เข้ามาหาตัวคุณ ผ่านรูปแบบของความบังเอิญ
สิ่งหนึ่งที่เป็นแนวคิดเพื่อตอบโจทย์เรื่องการขอบคุณตัวเองทำไมถึงดึงดูดผู้คน เหตุการณ์ สถานการณ์ต่างๆเข้ามาหาตัวเรานั้น มาจาก คนทุกคนเชื่อมโยงกันผ่านความเป็นปัจเจกชน คนทุกคนเปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ ที่มีรูปร่างแตกต่างและไม่เหมือนกันเลย ซึ่งจิ๊กซอว์แต่ละชิ้นมีความสำคัญต่อโลกใบนี้ ดังนั้นแล้วแนวคิด มุมมองของจิ๊กซอว์แต่ละ ชิ้น ก็เป็นในแบบที่มันเป็น ไม่ได้มีแนวคิดอะไรที่ผิดหรือถูก แต่มันเป็นสิ่งที่จิ๊กซอว์ตัวนั้นนั้นเป็นเท่านั้นเอง
ดังนั้นแล้วถ้าหากตัวเรา ไว้วางใจตัวเอง และรักตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไข จะเป็นจุดเริ่มต้นในการดึงจิ๊กซอว์ตัวอื่นๆให้เข้ามาอยู่ในกลุ่มพลังงานเดียวกัน และสร้างจิตสำนึกรวมให้กับเรื่องที่แต่ละคนต้องการมาสำรวจ
สิ่งที่เราทำได้ในระหว่างการเดินทางนั้น คือสร้างโครงสร้างเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นสำหรับตัวเราในการเดินทาง ซึ่งระหว่างทางนั้นสิ่งที่ผมอยากบอกก็คือพวกคุณทุกคนได้รับการสนับสนุนจากจักรวาลอย่างไม่มีเงื่อนไข
สิ่งนี้มันถูกสะท้อนผ่านสิ่งที่เรียกว่าการเสกของ หรือภาษาอังกฤษเราใช้คำว่า manifestation ซึ่งหลักการนั้น ผมจะนำมันมาเขียนให้ทุกคนได้เอาไปใช้งานอีกครั้ง แต่หลักการคร่าวๆของการเสกของนั้น มาจากหลักฟิสิกส์ง่ายง่าย นั่นก็คือสิ่งที่เราส่งออกไปนำพาสิ่งที่เราได้รับกลับมา หรือจะให้อธิบายภาพง่ายง่ายเหมือนกับตัวเราเองดึงหนังสติ๊กที่ติดอยู่กับนิ้วให้ยืดที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะส่งให้หนังสติ๊กนั้นไปไกลที่สุดเท่าที่จะไปไปได้
จากหลักการนี้เองอาศัยจินตนาการเป็นหลักในการยึดถือ ซึ่งแนวทางถ้าให้พูดให้เห็นภาพง่ายง่ายเปรียบเสมือนกับ การโยนหินลงไปในน้ำ หินเปรียบเสมือนความตั้งใจ ความชัดเจน ความมุ่งมั่น กับสิ่งของที่ตัวเราต้องการ
ถ้าหากสิ่งนี้มีความแข็งแรงมีความชัดเจน หินที่จะตกลงไปในน้ำก็จะมีขนาดและมีน้ำหนัก สิ่งนี้พร้อมที่จะส่งผลกระทบให้คลื่นน้ำกลับมากระทบตัวคุณคนที่โยนก้อนหินก้อนนี้ไป และแน่นอนว่าหากสิ่งที่คุณจินตนาการ มันเป็นสิ่งที่คุณตั้งใจจะมีประสบการณ์กับมัน คุณจะได้สิ่งนั้นมาเพื่อได้เรียนรู้ประสบการณ์
และนี่คือการใช้ชีวิต ในรูปแบบที่ใช้จากการเป็น 100% จากอนาคต มาใช้ที่นี่ตอนนี้เดี๋ยวนี้ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้หลักการนี้ได้ผลดีที่สุดนั่นก็คือ การปล่อยวางความคาดหวัง โดยไม่มีความคาดหวังใดใดเลยจากการเสกของ หรือ manifesting
หลักการนี้เป็นหลักการพื้นฐาน ที่ทุกคนมีมันอยู่แล้วในตัว และทุกคนใช้มันอยู่แล้วตลอดเวลา ถ้าเราสังเกตดูดีดี สิ่งที่เป็นด้านลบต่างๆล้วนถูกดึงดูดด้วยหลักการนี้ทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วถ้าหากตัวเรารู้แล้วว่าตัวเราเองเป็นคนที่ดึงดูดเรื่องราวต่างๆเข้ามาในชีวิต ด้วยการเสกมันขึ้นมาด้วยตัวเอง เราก็สามารถที่จะดึงดูดสิ่งที่เป็นบวกได้เช่นเดียวกัน
แนวทางนี้เป็นแนวทางที่ไม่ใช่ข้อคิดเห็นจากตัวผม แต่มันคือความเป็นจริงที่ใครก็ตามที่สนใจ และมีความเชื่อในแนวคิดเดียวกันนี้ สามารถจะใช้มันในชีวิตได้
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงจุดนี้ และหวังว่าสิ่งนี้จะสามารถทำให้ทุกคนได้เจอตัวตนที่ดีที่สุดของตัวเองได้
ด้วยรักอย่างไม่มีเงื่อนไข
ผมชื่อโก๊ะ
การเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด และหลักการ พื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนมี
หากพูดถึงมนุษย์แล้ว จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม สิ่งหนึ่งที่มนุษย์เป็นนั่นก็คือการพัฒนาตัวเองหรือการยกระดับตัวเองให้ไปสู่จุดสูงสุดที่ตัวเราจะทำได้
สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันที่เราเห็นกัน ก็จะมีทั้งคนที่ทำได้และคนที่ยอมแพ้ ซึ่งคนทั้งสองกลุ่มนั้นจริงๆแล้วผมมั่นใจว่าด้วยการลงมือทำ หรือด้วยการหาช่องทาง มันไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบได้ว่าใครทำมากหรือทำน้อย
จากมุมมองนี้อาจจะฟังดูแตกต่าง จากสิ่งที่หลายหลายคนเคยสัมผัส เพราะสิ่งที่ได้ยินเสมอนั่นก็คือคนสำเร็จมักจะมีความสม่ำเสมอและความพยายาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้มีความสม่ำเสมอหรือไม่ได้มีความพยายาม
ตัวผมเองมีโอกาสได้อยู่ทั้งสองฝั่งของการเป็น ทำให้ตัวผมรู้ว่าจริงๆแล้วทั้งหมดมันอยู่ที่วิธีคิดหรือมุมมองที่เรามองโลกใบนี้
จากสิ่งนี้เองทำให้ตัวผมเริ่มมองเห็นคำคำนึงที่จะสามารถนำมาใช้ยกระดับจิตสำนึกรวมของกลุ่มคนที่สนใจความเจริญรุ่งเรือง หรือความสำเร็จในในระดับกลุ่มที่ส่งผลกระทบต่อโลกใบนี้นั่นก็คือ “การเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด”
ในภาพของการพัฒนาตัวเองคนส่วนใหญ่ที่ผมรับรู้ มักจะวางมุมมองในการพัฒนาตัวเองจากศูนย์ไปถึง 100 ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติที่ทำต่อๆกันมา และแน่นอนสิ่งนี้ก็ใช้ได้ได้ผลในระดับหนึ่งกับกลุ่มกลุ่มคนบางกลุ่ม
หลักการทำงานของมุมมองนี้ก็คือ เมื่อเรามีเป้าหมายที่ปักธงไว้ เราเดินตามเส้นทางที่เราได้วางเป้าหมายไว้ และพัฒนาตัวเองตามสิ่งที่ตัวเองเห็นว่ามันจำเป็นกับเป้าหมาย เมื่อเจออุปสรรคมองหาว่าอะไรสามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ และลงมือทำเพื่อจัดการปัญหา ด้วยแนวทางรูปแบบเดียวกับวิทยาศาสตร์ที่ จะพิสูจน์คำตอบและ จัดการ กระบวนการของผลลัพธ์ที่เราต้องการ
การทำเช่นนี้นั้นสิ่งที่จำเป็นต้องมีที่ผมรับรู้ก็คือเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อที่จะนำพาไปถึงตัวเลข 100% ของความเป็นเรา ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่า 100% ที่เป็นเราจะสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่เราลงมาอยู่บนโลกใบนี้
ที่ผมพูดเช่นนี้มาจาก พวกเราไม่สามารถที่จะรับรู้อนาคตได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นั้นเนื่องมาจากสิ่งที่เรียกว่าความไม่แน่นอน
แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ ที่มีความกลัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นแล้วการจัดการความกลัวที่ดีที่สุดคือการปักธงเพื่อให้เห็นภาพทั้งหมดที่เราจะเดินไป และเดินไปตามความตั้งใจและเป้าหมายของเรา ซึ่งหลักการนี้ก็ไม่ผิดอะไร แต่สิ่งที่ผมเห็นผลผลกระทบจากตัวผมเองนั่นก็คือความว่างเปล่า
ซึ่งแต่ละคนก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นแล้วถ้าใครสัมผัสประสบการณ์ของความว่างเปล่า ผมชวนให้คุณได้มองในอีกรูปแบบหนึ่งที่ผมกำลังจะนำเสนอ สิ่งนี้จะเป็นอีกมุมมองที่สามารถจะนำไปใช้ในชีวิตเพื่อเจอตัวตนในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของเราได้
ในอีกภาพที่ตัวผมต้องการนำเสนอก็คือ การที่ตัวเราสร้างว่าตัวเราเป็นใครในอนาคตจากการจินตนาการถึงภาพที่เราต้องการเป็น ในแบบ 100% ที่เป็นเรา
ทั้งนี้จุดเริ่มต้นอาจจะคล้ายๆกับการเริ่มต้นจากศูนย์ไปถึง 100% แต่สิ่งนี้ถูกกำกับด้วยวิธีการใช้ชีวิต ที่ใช้มาจากคนที่เราเป็นในอนาคตที่เราต้องการ
สิ่งที่ผมอยากให้สังเกตจากจุดนี้ ก็คือปลายทางคนที่เราจินตนาการว่าเราเป็น มันไม่ได้มีอะไรตายตัว และตัวมันสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามเส้นทางที่เราเดิน
ซึ่งสิ่งนี้เองอาจจะขัดแย้งกับมุมมองของสังคม ในเรื่องของความผิดหรือการทำถูก เพราะว่าสิ่งหนึ่งที่สังคมปลูกฝัง และพวกเราจะได้ยินเสมอนั่นก็คือความผิดพลาดเป็นประตูสู่ความล้มเหลว ซึ่งจริงๆแล้ว ประโยคนี้ไม่จริงเลย เพราะว่าความผิดพลาดเป็นจุดที่ทำให้ตัวเราได้เรียนรู้ และแน่นอนหลายหลายครั้งความผิดพลาดที่มันเกิดซ้ำเดิมกับเรื่องราวเดิมๆ บางทีมันไม่ได้ตั้งใจที่จะสอนอะไรกับตัวเรา แต่สิ่งนี้อาจจะเป็นตัวสะท้อนภาพบางอย่างให้กับคนรอบรอบตัว
จากแนวทางการใช้ชีวิตเช่นนี้ เครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ตัวเราได้เจอตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดนั่นคือการทำตามความตื่นเต้นหรือแรงบันดาลใจสูงสุดที่เรามี
ความตื่นเต้นหรือแรงบันดาลใจสูงสุดที่เรามีนั้น อาจเป็นเรื่องเล็กๆในขณะเวลานั้นที่ตัวเรารู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้นยกตัวอย่างเช่น การทำความสะอาดบ้าน การซักผ้า หรือการแหกปากร้องเพลง โดยที่ทำตามความตื่นเต้นของคุณสุดความสามารถที่ที่คุณจะทำได้ และปล่อยวางความคาดหวังทั้งหมดลง หรือพูดอีกอย่างว่าทำให้ความคาดหวังต่อเรื่องนั้นเท่ากับศูนย์ สิ่งนี้จะทำให้ตัวคุณเองได้เกิดแอ็คชั่นหรือการลงมือทำที่สอดคล้องกับตัวตนที่แท้แท้จริงของคุณเอง
สิ่งที่มันจะเข้ามาระหว่างทางเสมอ นั่นก็คือความกลัว ความกังวล สิ่งเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากความเชื่อด้านลบที่เรามี แต่ผมผมอยากให้รู้ไว้ว่าความเชื่อด้านลบที่เรามีนั้น ส่วนใหญ่มาจากคนรอบรอบตัว สังคม ที่มักจะบอกให้เราเชื่อ ดังนั้นแล้วช่วงเวลาที่เราสัมผัสสิ่งเหล่านี้จึงเป็นโอกาสดี ที่จะทำให้ตัวเราได้ทำงานกับความเชื่อด้านลบที่เรามี
สิ่งนี้เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญเพราะว่าเวลาที่ตัวเราเอง ให้ความหมายกับทุกสิ่งเป็นด้านบวกแล้ว มันจะส่งผลกระทบต่อมุมมองในการใช้ชีวิตโดยตรง
เมื่อเราใช้ชีวิตมาจากอนาคต จากการเป็น 100% ของตัวเรา ระหว่างทางที่เราดำเนินตามความตื่นเต้น เราจะเริ่มเห็นการเป็นของเราเราชัดเจนขึ้น ว่าจริงๆแล้วตัวเรา เป็นใคร สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอก คือ ไม่ต้องกังวลว่าสิ่งที่เราคิดนั้นมันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆไหม เพราะว่าจริงๆแล้วมันมีสิ่งที่เหนือกว่า ที่บางทีตัวเราไม่สามารถจินตนาการได้ หรือจินตนาการถึง นั่นคือคนที่เราเป็นอย่างแท้จริง ซึ่งกระบวนการนี้นั้น อาศัยตัวตนที่สูงกว่าของเราเป็นผู้ที่จะจัดการกับเรื่องนี้ ดังนั้นแล้วเป็นหน้าที่ของเขาในการจัดการ หน้าที่ของเราคือการเขย่งเพื่อให้เจอตัวตนที่ดีที่สุดผ่านจินตนาการของเรา
สิ่งหนึ่งที่ต้องมีอยู่เสมอนั่นก็คือการขอบคุณ หรือการสำนึกบุญคุณ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข กับตัวเราเอง สิ่งนี้จะทำให้ตัวเราก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่มีข้อจำกัด สิ่งนี้จะทำให้คนรอบรอบตัวได้สัมผัสและดึงดูดเรื่องราว เหตุการณ์ สถานการณ์ เข้ามาหาตัวคุณ ผ่านรูปแบบของความบังเอิญ
สิ่งหนึ่งที่เป็นแนวคิดเพื่อตอบโจทย์เรื่องการขอบคุณตัวเองทำไมถึงดึงดูดผู้คน เหตุการณ์ สถานการณ์ต่างๆเข้ามาหาตัวเรานั้น มาจาก คนทุกคนเชื่อมโยงกันผ่านความเป็นปัจเจกชน คนทุกคนเปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ ที่มีรูปร่างแตกต่างและไม่เหมือนกันเลย ซึ่งจิ๊กซอว์แต่ละชิ้นมีความสำคัญต่อโลกใบนี้ ดังนั้นแล้วแนวคิด มุมมองของจิ๊กซอว์แต่ละ ชิ้น ก็เป็นในแบบที่มันเป็น ไม่ได้มีแนวคิดอะไรที่ผิดหรือถูก แต่มันเป็นสิ่งที่จิ๊กซอว์ตัวนั้นนั้นเป็นเท่านั้นเอง
ดังนั้นแล้วถ้าหากตัวเรา ไว้วางใจตัวเอง และรักตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไข จะเป็นจุดเริ่มต้นในการดึงจิ๊กซอว์ตัวอื่นๆให้เข้ามาอยู่ในกลุ่มพลังงานเดียวกัน และสร้างจิตสำนึกรวมให้กับเรื่องที่แต่ละคนต้องการมาสำรวจ
สิ่งที่เราทำได้ในระหว่างการเดินทางนั้น คือสร้างโครงสร้างเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นสำหรับตัวเราในการเดินทาง ซึ่งระหว่างทางนั้นสิ่งที่ผมอยากบอกก็คือพวกคุณทุกคนได้รับการสนับสนุนจากจักรวาลอย่างไม่มีเงื่อนไข
สิ่งนี้มันถูกสะท้อนผ่านสิ่งที่เรียกว่าการเสกของ หรือภาษาอังกฤษเราใช้คำว่า manifestation ซึ่งหลักการนั้น ผมจะนำมันมาเขียนให้ทุกคนได้เอาไปใช้งานอีกครั้ง แต่หลักการคร่าวๆของการเสกของนั้น มาจากหลักฟิสิกส์ง่ายง่าย นั่นก็คือสิ่งที่เราส่งออกไปนำพาสิ่งที่เราได้รับกลับมา หรือจะให้อธิบายภาพง่ายง่ายเหมือนกับตัวเราเองดึงหนังสติ๊กที่ติดอยู่กับนิ้วให้ยืดที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะส่งให้หนังสติ๊กนั้นไปไกลที่สุดเท่าที่จะไปไปได้
จากหลักการนี้เองอาศัยจินตนาการเป็นหลักในการยึดถือ ซึ่งแนวทางถ้าให้พูดให้เห็นภาพง่ายง่ายเปรียบเสมือนกับ การโยนหินลงไปในน้ำ หินเปรียบเสมือนความตั้งใจ ความชัดเจน ความมุ่งมั่น กับสิ่งของที่ตัวเราต้องการ
ถ้าหากสิ่งนี้มีความแข็งแรงมีความชัดเจน หินที่จะตกลงไปในน้ำก็จะมีขนาดและมีน้ำหนัก สิ่งนี้พร้อมที่จะส่งผลกระทบให้คลื่นน้ำกลับมากระทบตัวคุณคนที่โยนก้อนหินก้อนนี้ไป และแน่นอนว่าหากสิ่งที่คุณจินตนาการ มันเป็นสิ่งที่คุณตั้งใจจะมีประสบการณ์กับมัน คุณจะได้สิ่งนั้นมาเพื่อได้เรียนรู้ประสบการณ์
และนี่คือการใช้ชีวิต ในรูปแบบที่ใช้จากการเป็น 100% จากอนาคต มาใช้ที่นี่ตอนนี้เดี๋ยวนี้ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้หลักการนี้ได้ผลดีที่สุดนั่นก็คือ การปล่อยวางความคาดหวัง โดยไม่มีความคาดหวังใดใดเลยจากการเสกของ หรือ manifesting
หลักการนี้เป็นหลักการพื้นฐาน ที่ทุกคนมีมันอยู่แล้วในตัว และทุกคนใช้มันอยู่แล้วตลอดเวลา ถ้าเราสังเกตดูดีดี สิ่งที่เป็นด้านลบต่างๆล้วนถูกดึงดูดด้วยหลักการนี้ทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วถ้าหากตัวเรารู้แล้วว่าตัวเราเองเป็นคนที่ดึงดูดเรื่องราวต่างๆเข้ามาในชีวิต ด้วยการเสกมันขึ้นมาด้วยตัวเอง เราก็สามารถที่จะดึงดูดสิ่งที่เป็นบวกได้เช่นเดียวกัน
แนวทางนี้เป็นแนวทางที่ไม่ใช่ข้อคิดเห็นจากตัวผม แต่มันคือความเป็นจริงที่ใครก็ตามที่สนใจ และมีความเชื่อในแนวคิดเดียวกันนี้ สามารถจะใช้มันในชีวิตได้
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงจุดนี้ และหวังว่าสิ่งนี้จะสามารถทำให้ทุกคนได้เจอตัวตนที่ดีที่สุดของตัวเองได้
ด้วยรักอย่างไม่มีเงื่อนไข
ผมชื่อโก๊ะ