ประสบการณ์การทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย จนถึง ปัจจุบัน ในวัย25ปี เดี๋ยวแก่แดดจะเล่าให้ฟัง

สวัสดีครับ วันนี้ผมอยากแชร์ประสบการณ์ และ รู้ความเห็นของบุคคลสัญจรที่ผ่านมาเห็นกระทู้นี้ครับ 
ผมสาบานต่อทุกสรรพสิ่งว่าเรื่องนี้ไม่ได้แต่งขึ้น(แล้วแต่ความเชื่อ ถ้าไม่เชื่อผมก็ไม่ขัดศรัทธาอมยิ้ม04) แต่ผมจะเล่าทุกอย่างไม่ได้จริงๆครับ(หากต้องการสอบถามเพิ่มเติมในบางหัวข้อที่ผมตอบได้ผมจะตอบครับ)

ผมอายุ 25 ปี ประสบการณ์การทำงาน 12 - 14 ปี (แล้วแต่คนจะเรียก แต่ผมคิดว่าผมเป็นลูกจ้างมาแค่ 10 ปีเต็มๆครับ )(ก่อนที่จะอายุ 15 ผมทำงานแค่วันที่หยุดเรียน เสาร์ - อาทิตย์ ,หลังเลิกเรียนก็ไปทำงาน, ปิดเทอมก็ทำงาน)

อายุ 11 - 14 คลุกคลีอยู่กับงานโรงแรม และ ร้านอาหาร (หลายที่แต่บอกไม่ได้) (ฐานะไม่ได้ยากจน แต่ไม่รวยครับ แค่ที่บ้านไม่ค่อยให้เงินปรนเปรอ และผมมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงอยากหาเงินเองครับ ) (เฉลี่ยรายได้ตั้งแต่ 3500 - 10000 บาทต่อเดือน)

[ขั้นตอนการทำงานจะข้ามไปก็ได้ครับแต่ถ้าอยากรู้ว่าทำอะไรบ้างจะเล่าให้ฟัง]

[เข้างาน 8.00 - 17.00 หากมาก่อนเวลามีข้าวในแคนทีนให้กินก่อนทำงานก็ได้ บางที่ก็จัดเตรียมใส่ถาดหลุมมาแล้วแล้วก็รับกันไปคนละ1ถาด แต่ที่อื่นๆส่วนใหญ่ จะให้เลือกตักอาหารได้ สำหรับ ผู้ที่ทานมังสวิรัติ ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม ก็มีอาหารรองรับเช่นกัน , น้ำอัดลม กาแฟ และของหวานครบครันมาก
ห้องอาหารที่ผมทำอยู่คือเป็นห้องอาหารบุฟเฟ่ต์ มี 3 ช่วงเวลา เช้า กลางวัน เย็น แต่ละช่วงเวลา ราคา NET ต่างกันโดยช่วงเย็นจะแพงที่สุด ผมมีหน้าที่แค่เก็บจานจากลูกค้าที่ทานเสร็จแล้ว ไปใส่ถาดตามจุดที่ตัวเองประจำหน้าที่ เมื่อถาดนั้นๆเต็มจึงยกไปเคลียร์กับสจ๊วด ล้างถาดแล้วนำกลับมาที่จุดที่ตัวเองประจำ เวลาพักมี1ครั้งที่สามารถใช้ได้ เวลาพักมีแบ่งกันเป็น 2 - 3 กะด้วยกัน(ส่วนใหญ่2กะ) / เฉลี่ยแล้ว 40 นาที - 1 ชั่วโมงต่อการพัก1ครั้ง 11.00 - 12.00 / 12.00 - 13.00 / 13.00-14.00 ทำแบบนี้จนหมดวันแล้วกลับบ้าน]

- งานหนักมาก ต้องกินกาแฟ หรือ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเพื่อช่วยกระตุ้นความคล่องตัว เงินดี(300/350/400/450บาท/วัน) สนุก(ทำงานกับคนที่โตกว่าและสังคมโอเคดี ไม่มีใครถ่วงใคร )
- ที่ทำงาน ที่แรกต้องออกเพราะช่วงนั้น กฎหมายแรงงานเด็กโดนกระตุ้นบ่อยมาก จน ฝ่ายบัญชีและ HR ต้องคอยจับตาดูผมตลอดว่า ผมอายุเท่าไหร่ และ เข้ามาทำงานได้ยังไง ///// งานโรงแรมทุกแห่งถ้าไม่ใช่พนักงานประจำที่แสกนนิ้ว พนักงานรายวันหรือที่เรียกว่า Casual ต้องใช้บัตรประชาชนเพื่อเข้างานกับ Security ที่หลังโรงแรม โดยผมได้ใช้บัตรประชาชนของตัวเองที่ขึ้นต้นด้วย ด.ช. xxx xxx เพื่อเข้าแลกบัตรเป็น Visitor และทำงานแต่ละที่ทั้งวัน .. และตอนรับเงินเขาจะใช้สำเนาบัตรประชาชน ซึ่งผมใช้สำเนาบัตรประชาชนของคนอื่นเพื่อรับเงินครับ  - เมื่อโดน ฝ่ายบัญชี และ HR จี้จุดขึ้นเรื่อยๆ จึงออกมา
- ที่ 2 ดีหน่อยไม่ค่อยอะไรมากกับเรื่องกฎหมายแรงงานเด็ก และ สังคมดีขึ้นกว่าเก่า ผมถูกสอนทั้งจากพนักงานด้วยกันและผู้จัดการ เหมือนโดนประคบประหงม อย่างดีมากๆ เรียกได้ว่าเป็นเด็กปั้น จากทั้งห้องอาหารแผนกนี้เต็มๆ ด้วยความเป็นเด็กปั้นและมีชื่อเสียงที่ดีในขณะที่เป็นพนักงาน Casual ชื่อเสียงเริ่มดีขึ้น + บุคลิกภายนอกที่ดูดี ทำให้เข้าตาหลายๆแผนกแบบเต็มๆ (เข้าตาเต็มๆไม่ได้หมายถึงเรื่องการขึ้นตำแหน่งนะครับแต่เป็นการที่ผู้ใหญ่หลายๆแผนกให้ความเอ็นดูเป็นอย่างมาก เริ่มจาก ห้องอาหารด้วยกันเอง - กุ๊ก - สจ๊วด(พนักงานล้างจาน) พนักงานจัดเลี้ยง(ที่บางทีก็มาช่วยห้องอาหารเพราะบางวันลูกค้าช่วงเช้า 500 - 800 คน )จนไปถึง F&B (Food&Beverage))
- ช่วงไหนขยันหน่อยแล้วคาเฟอีนยังไม่หมดฤทธิ์ผมจะไปทำร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งที่ติดกับโรงแรม (ต้องบอกเขาล่วงหน้าก่อนไปซัก 2 - 4 ชั่วโมงหรือบางทีต้องบอกก่อนทำเป็นวันหรืออาทิตย์) เข้างาน 17.30 18.00 18.30 19.00 แล้วแต่วัน (ทางร้านอาหารที่นี่ไม่ได้เคร่งเรื่องเวลากับ Casual เท่าไหร่แต่ส่วนใหญ่เมื่อผมเสร็จธุระจากที่ใดที่หนึ่งหมายถึง โรงเรียน หรือ ที่ทำงานในโรงแรมแล้วจึงเข้างานทันทีโดยไม่เถลไถล) ไปจนถึง 00.00 น . บางวันก็ ตี1กว่า
- ทำงานไปได้ซักพักหนึ่งเริ่มมีการบ้านเยอะขึ้นมาก แต่ไม่สนใจและปล่อยปะละเลยการบ้านที่ได้จากโรงเรียนตอนมอต้นและให้ความสำคัญกับการเรียนและสอบแทน (ผมแบ่งความรับผิดชอบต่อสถานศึกษาไว้แค่ 3 ส่วน เรียนในคาบ / การบ้าน / การสอบ กิจกรรมอื่นๆและจิปาถะที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนผมปล่อยเลย)
- ช่วงเวลาการทำงานของผมจะแบ่งเป็นดังนี้
วันที่เข้าเรียน 8.00 - 15.00 บางวัน 16.00 และ 17.00 เมื่อเสร็จกลับบ้านเปลี่ยนชุดเสื้ออะไรก็ได้ กางเกงสแล็ค แล้วไปทำงานต่อที่ร้านอาหาร
วันหยุดเรียน ผมทำงาน 8.00 - 17.00 แล้วต่อด้วยร้านอาหารข้างๆโรงแรม 
ใช้ชีวิตวนเวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนการเรียนเริ่มเสีย แล้วก็ปล่อยเรื่องการเรียน ออกมาทำงานเต็มตัว ตอนอายุ 14 ปี ทำไปได้ประมาณ 4 - 6 เดือน จู่ๆเรื่องกฎหมายแรงงานเด็กก็เริ่มเข้ามามีบทบาทอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่เคร่งเหมือนที่เก่า รอบนี้ทางฝั่งโรงแรมเริ่มมีเอกสารมาให้ผมฝากไปถึงผู้ปกครองเกี่ยวกับการอนุญาตให้เด็กมาทำงาน และลดค่าแรงลง จาก 450เป็น400บาท 
ช่วงนี้เป็นช่วงที่รู้สึกว่าเป็นเด็กคนเดียวที่มีเงินเยอะกว่าเพื่อนมาก เลยไม่รู้จะใช้จ่ายอะไร เลยไปปรนเปรอกับเด็กๆสาวๆรุ่นเดียวกัน ไปจนถึงคนที่มีอายุเยอะกว่า สังคมเริ่มเปิดกว้างจนนำไปสู่การเกิดคอนเนคชั่นหนึ่งที่ทำให้ได้งานที่ต่อไป 

อายุ 15 เป็นผู้ช่วยครูที่สอนผ่านออนไลน์ (it support) รายได้คงที่ 9000 บาทถ้วนไม่บวกเลยซักรอบ
[ขั้นตอนการทำงาน ข้ามได้แต่ถ้าอยากรู้เดี๋ยวเล่าให้ฟัง]

[เข้างาน 8.00 - 16.00 คอยช่วยแก้ปัญหาให้กับอาจารย์ทั้งทางฝั่งต้นทาง และ ปลายทาง โดยการเรียนการสอนจะใช้ซอฟแวร์เฉพาะ บริษัทแห่งนี้เริ่มต้นมาจากการที่โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง เจ้าของโรงเรียน กับ คู่รักของเขา ได้ก่อตั้งขึ้นมาพร้อมกับเพื่อนเขาที่เป็นหุ้นส่วน ซึ่งหุ้นส่วนคนนี้ได้เขียนซอฟแวร์นี้ขึ้นมาเพื่อจัดทำการเรียนการสอน หากประวัติผิดพลาดต้องขออภัยเพราะนั่นก็ 10 ปีแล้ว  ผมมีหน้าที่ดูแลและช่วยเหลืออาจารย์หากซอฟแวร์มีปัญหาเช่นเมื่อเข้าคลาสเรียนแล้วๆ สอนไปซักพักหนึ่ง ภาพ เสียง สัญญาณ ไม่ว่าอะไรก็ตามส่วนใดส่วนหนึ่งมีปัญหาผมต้องแก้ปัญหาในส่วนนั้น ซึ่งไม่มีอะไรยากเลยจากที่หัวหน้าช่างสอนมาคือ ถ้าภาพ / เสียง อย่างใดอย่างหนึ่งหายไปก็แค่ถอดกล้องหรือไมค์แล้วเสียบใหม่ ถ้าไม่ได้อีกก็ปิดซอฟแวร์แล้วเปิดใหม่ ทำเอกสารนิดๆหน่อยๆ  ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาณหรือเน็ตเวิร์คนั้น เกินความสามารถของผม ผมไม่สามารถแก้ปัญหาได้ครับ ทักษะตัวเองมีไม่มากพอ แต่จะใช้วิธีการครูพักลักจำเสมอ]
- งานสบายกว่าโรงแรมเป็น 10 เท่า สังคมดี หัวหน้าช่างดี รองหัวหน้าช่างดี เพื่อนร่วมงานเป็นพี่ 2 คน ที่เพิ่งจบ ปวส. มา และกำลังเรียนต่อ ป.ตรี
- ที่นี่ทำงานหยุดเสาร์ อาทิตย์ ผมทำได้ 1 ปีถ้วน (ก่อนออก 1 เดือน ผมออกมอไซค์ 1 คัน)

   อายุ 16 เข้า 17 ผมสมัครเป็นเซลล์ขายเครื่องมือแพทย์(มีเส้นสายทางสายเลือดและเป็นหัวหน้าอยู่ที่นั่น) ผมได้เงินเดือน 9000 บาทถ้วนบวกค่าน้ำมัน8000บาท (รวมๆแล้ว 17,000 บาทถ้วนต่อเดือนไม่รวมค่าคอมแต่ค่าคอมไม่เคยได้) 

[ขั้นตอนการทำงาน ข้ามได้แต่ถ้าอยากรู้เดี๋ยวเล่าให้ฟัง]
[เข้างาน 8.00 แค่เข้างานเฉยๆจะเลิกกี่โมงก็ได้ แต่ทุกวันที่ 15 , 16 และสิ้นเดือน จะต้องเข้าประชุมทุกครั้งเลิก บ่าย 2 - 3 แล้วแต่โอกาส ไม่มีก่อนเวลา เรทบ้างบางครั้ง ในส่วนของการทำงาน ผมเปรียบเสมือนเป็น Supplier ที่จะต้องนำเสนอขายอุปกรณ์การแพทย์ให้กับร้านขายยาทั่วไป เช่น เครื่องให้ออกซิเจน เก้าอี้วีลแชร์ ไม้เท้า น้ำเกลือ เจลแอลกอฮอล์ ฯ]
- แม้ว่าผมจะมีคนในสายเลือดอยู่ในองค์กรแห่งนี้ แต่ ผมดันตกม้าตายเพียงเพราะ ไม่มีใครสอนงาน ต่อๆๆๆๆ
- ผมได้รับหน้าที่ให้ดูแลเขตหนึ่งซึ่งไม่ใช่เขตหนึ่งแต่เป็น 10 กว่าเขต โดยขับมอไซค์ไปหาร้านขายยาในเขตนั้นๆแล้วนำเสนอขาย (10กว่าเขตนั้นที่พูดถึงบริษัทแห่งนี้ที่ผมทำอยู่เขากล่าวว่า เป็นเขตที่ถูกทิ้งล้างมานานหมายถึงหลังจากที่คนเก่าออกไป ... 10กว่าเขตนี้บริษัทเราก็ไม่ได้ดูแลอะไรมากนัก)
- ทำได้ 3 - 4 เดือน ผมจึงตัดสินใจออก เพราะ ภายใน 3 - 4 เดือนนั้น ผมขายเครื่องมือแพทย์ยอดรวมๆแล้ว ไม่ถึง 10,000 บาท แต่เป้าที่เจ้าของบริษัทตั้งไว้คือสำหรับพนักงานใหม่ 500,000 บาทขึ้นไปถึงจะได้ค่าคอม ด้วยความที่รู้สึกว่าตัวเองผลาญเงินบริษัทเล่นๆไปกับการจ่ายเงินเดือนให้กับเราผมจึงตัดสินใจออกโดยที่ไม่มีใครกล่าวว่าอะไรผมเลย .. ผมท้อครับไม่อยากให้คนที่อยู่ในสายเลือดต้องพลอยเสียเครดิตไปด้วยจึงตัดสินใจออก 
  อายุ 17 ว่างงานได้ 3 - 4 เดือน ค่ารถไม่ได้ส่ง ค่าห้องไม่ได้จ่าย รถหายโดนขโมย เมื่อผ่านไปซักพัก จึงได้งานที่หนึ่ง

อายุ 17 ผมได้เข้าทำงานประจำที่ร้านซ่อมคอม/ติดฟิล์ม ในห้าง IT แห่งหนึ่ง เฉลี่ยเงินเดือน 12000 - 13000 บาท บางเดือน ขึ้นสูงกว่าเดิมนิดหน่อยซึ่งนิดหน่อยที่ว่าก็นิดหน่อยจริงๆบวกไม่เกิน 2000

[ขั้นตอนการทำงาน ข้ามได้แต่ถ้าอยากรู้เดี๋ยวเล่าให้ฟัง]
- รับเครื่องจากร้านนู้นร้านนี้ที่ประกอบเสร็จแล้วแล้วนำมาให้เราลงโปรแกรม Iถื่ou แต่.. เดิมแล้วผมเป็นคนติดฟิล์มก่อน มีทั้งติดฟิล์มหน้าจอและเคลือบตัวเครื่อง โน้ตบุ้ค แต่เนื่องจากผมทำได้ไม่ดีผมจึงพยายามขอออกแต่ผู้จัดการบอกว่าไม่เป็นไรลองย้ายไปลงโปรแกรมดู ปรากฎว่าทำได้ดีเหมือนถูกหวย ตั้งแต่ผมย้ายมาลงโปรแกรม ผมไม่เคยพลาดเลยซักเครื่อง/ครั้งเดียว ตั้งแต่ทำมา ไม่เคยลบข้อมูลลูกค้า ไม่เคยทำตามสั่งที่ผิดพลาดแม้ครั้งเดียวเลยซักนิด และ คุมเวลาในการทำได้ตลอด จนชำนาญในสิ่งที่ตัวเองทำเลยมีเวลาว่างมากขึ้นจนทำให้เห็นโซเชียลเน็ตเวิร์คของเพื่อนๆ ว่า เพื่อนๆหลายคนใกล้จะต่อมหาลัยกันแล้ว ผมจึงกลับไปเรียน กศน. ม.ต้น / ม.ปลาย และ ปวส. (ม.ต้น/ปลายเรียนส่งๆให้มันจบๆไปแต่ ปวส. ผมทุ่มสุดความสามารถไม่ให้เหมือนกับตอนที่เรียนสามัญในระบบ จนจบ ปวส.ออกมาอย่างน่าเสียดายที่ได้ 3.78 ทำไมน่าเสียดาย? เพราะผมรู้สึกว่าผมควรจะได้ 4.00 หรืออย่างน้อยก็ 3.9 แต่โดนอาจารย์เรียกไปทำกิจกรรมบ่อยๆเกรดเลยตก) 
- ทำงาน 10.30 11.00 เลิก 20.00 แต่เรทประจำ งานสบาย ไม่มีลูกค้าก็นั่งเล่นเกม แต่สังคมห่วยคือ หัวหน้าเป็นคนปากสว่าง วันๆไม่ทำไรนั่งนับเงินอย่างเดียว ไม่ใช่เจ้าของร้านนะหัวหน้าเฉย ๆ เดินคุยโทรศัพท์เรื่องส่วนตัว เดินเม้าท์มอยร้านนู้นร้านนี้ นินทาเรื่องคนนู้นคนนี้ทั้งวัน จนบางทีก็มีปัญหากับคนในร้านบ้าง มีปัญหากับคนนู้นคนนี้บ้าง บางเรื่องผมไม่เกี่ยวด้วย แต่ฟังบ่อยๆ มันรำคาญหู จนน่ารำคาญสุดๆ 
- ตารางชีวิตช่วงนี้คือ [ทำงานจันทร์ถึงเสาร์ หยุดวันอาทิตย์]  [ วันอาทิตย์เรียนเช้าถึงบ่าย บางวันก็เย็น] เสร็จเรียนบางวัน วันไหนที่ที่ทำงานบอกว่าลูกค้าเยอะผมจะเข้าไปเสมอ / ม.ต้น ม.ปลาย ปวส. เมื่อเรียนตามเพื่อนทัน(ใช้คำว่าเกือบทันดีกว่า)ทุกอย่างต้องหยุดชะงักเพราะแม่ขอให้ไปบวช ผมจึงออกจากที่ทำงาน และ ไปบวช ตามที่แม่ขอไว้ 
- ผมทำงานที่นี่ได้ 4 ปี ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ไม่เหนื่อยมากเพราะงานชำนาญแล้วไม่มีอะไรพัฒนาต่อได้ในร้านนั้น
 
อายุ 21 ปี ตั้งใจว่าจะบวชซัก 1 พรรษา (3 เดือน) แต่ภารกิจนี้ล้มเหลวเพราะความกำหนัด
[จะใช้คำว่าขั้นตอนการทำงานไม่ได้ในช่วงนี้ เพราะ เป็นพระ 5555 แต่กล้าพูดได้สิ่งหนึ่งอย่างเต็มปากและมั่นใจมากว่าผมเป็นพระที่ดีมาก]
- จากที่กล่าวไว้ข้างต้น .. ทำไมผมถึงเป็นพระที่ดีมาก .. ผมบวชเป็นพระ มหานิกาย แต่ ปฏิบัติตนในรูปแบบของ ธรรมยุติกนิกายและปฏิบัติต่อผู้อื่นในฐานะ มหานิกายเสมอ (ผู้อื่นหมายถึงญาติโยม) บางท่านไม่เข้าใจว่า 2 นิกายนี้ต่างกันอย่างไร ผมจะสรุปสั้นๆตามที่ผมเข้าใจผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ 
มหานิกาย คือ ผู้เผยแพร่ หลักคำสอนของศาสนาตัวเอง / ธรรมยุติกนิกาย คือ พระสายปฏิบัติ
โดยแบ่งเวลาชีวิตของกิจวัตรตอนบวชไว้ดังนี้
- ตื่น 04.00 - 04.30 น. ดื่มกาแฟซองจากที่โยมแม่ถวายให้ วันไหนวันพระวันนั้นทำวัตรก่อนรุ่งสาง และ 6.30 - 7.30 เดินบิณฑบาตรเสร็จกิจกลับวัดฉันข้าวให้อยู่ในกรอบเวลา 08.30น. ฉันเสร็จกลับกุฏิ นั่งสมาธิ อ่าน-จำคำให้พร เดี๋ยวมาต่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่