ประสบการณ์การผ่าตัดริดสีดวง (เหมือนฟ้าหลังฝน)

อยากเล่าประสบการณ์ดีๆ ในการผ่าตัดริดสีดวง  ขอบันทึกในนี้เพื่อบทความจะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านค่ะ เม่ารดน้ำ
 
สาเหตุโรคริดสีดวงของแต่ละคนก็น่าจะคล้ายๆกัน  แต่มีสิ่งหนึ่งที่ได้รับคำแนะนำมา ซึ่งอยากจะเกริ่นก่อน เผื่อผู้ที่ยังเป็นน้อยจะได้ไม่ต้องอ่านยาวจนจบก็ได้นะคะ  คือ หากรู้สึกเจ็บริดสีดวง หรือเริ่มเป็น ควรกินของอ่อนๆ พร้อมทายาหรือเหน็บยา เพื่อจะถ่ายง่าย และพยายามอย่ากินผักสดในช่วงนี้   ให้กินผักต้มย่อยง่ายๆแทน เพราะผักสดกากใยจะแข็งทำให้ย่อยยาก เวลาถ่ายแม้จะถ่ายออกดีแต่กากใยผักสดที่แข็งนั้นจะทำให้เสียดสีกับริดสีดวง ยิ่งเจ็บและอักเสบขึ้นอีก  และไม่ควรยกของหนักหรือเข็นของหนักเพราะจะเกิดแรงเบ่ง  จนกว่าจะหายเจ็บและเป็นปกติ
 
เอาล่ะค่ะ เม่าอ่านทีนี้มาว่ากันในเรื่องของการผ่าตัดริดสีดวงของตัวเอง  ซึ่งมีอาการมาตลอด 20 กว่าปี  เป็นๆหายๆ  และหนักสุดก็ช่วง 2-3 ปีนี้ มีอาการอักเสบมากคลำได้มีทั้งหมด 3 ก้อนและยัดไม่เข้าแล้ว  ใช้ยาเหน็บเมื่อเจ็บ  จะเจ็บและทรมานสุดๆก็ตอนท้องเสีย และในเวลาที่ท้องไม่เสียก็เบ่งถ่ายออกน้อยและเบ่งยากมาก  เมื่อปีที่แล้วตัดสินใจไปรักษาโดยใช้ประกันสังคม คุณหมอตรวจดูวินิจฉัยว่าควรผ่าตัด นัดวันผ่าตัดเรียบร้อยคือภายในสองวัน คือมันเร็วมากค่ะ ทีนี้ด้วยความที่ไม่คาดคิดว่าจะต้องผ่าทันที   เลยหาข้อมูลในเว็บต่างๆส่วนใหญ่จะบอกว่า หลังผ่าตัดจะสุดแสนทรมานเวลาถ่าย  เลยขอยกเลิกการผ่าตัด  ผ่านมา 1 ปี เจ็บก็ใช้ยาเหน็บเหมือนเดิม แต่ถึงช่วงปลายปีที่ผ่านมาท้องเสียหนัก ทำให้รับรู้ถึงความเจ็บปวดริดสีดวงตอนอักเสบหนักอีกครั้ง จนตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องผ่าตัด เพราะคิดว่ายังไงตอนนี้แม้เจ็บหนัก หลังผ่าออกไปก็คงไม่เจ็บหนักไปกว่านี้
 
จากนั้นเมื่อต้นปีนี้ (2567)  ตัดสินใจไปหาคุณหมอคนเดิม คุณหมอให้ผ่าตัดวันเดียวกันในช่วงบ่าย คุณหมอบอกว่า เนื้อที่มันไม่ดีก็ตัดทิ้งไปเลยให้เหลือแต่เนื้อดีๆนะ คุณหมอผู้ชายมีอายุแล้ว พูดให้กำลังใจน่ารักมากค่ะ  ตอนนั้นไม่รู้สึกกลัวเพราะเจ็บจนอยากจะเอาออกแล้ว แต่กังวลเรื่องการดมยาสลบว่าสลบแล้วจะตื่นระหว่างผ่าตัดไหม หรือต่างๆนาๆ  เพราะจากการหาข้อมูลแต่ละคนที่ผ่าจะใช้วิธีดมยาสลบ  แต่แล้วการผ่าตัดครั้งนี้คุณหมอใช้วิธีบล็อกหลัง ซึ่งตัวเองเคยผ่านการผ่าตัดใหญ่สองครั้งที่ใช้วิธีบล็อกหลัง เลยไม่กลัววิธีนี้เลย

 
ปูเสื่อ
>>>>> ขั้นตอนการผ่าตัด เมื่อบล็อกหลังแล้วนอนคว่ำ จากนั้นเริ่มการผ่าตัดใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ผ่าตัดวิธีปกติ ผ่าตัดเสร็จก็ได้ขอดูก้อนริดสีดวงที่ผ่าออกไป เห็นว่าเป็น 3 ชิ้นจริงๆด้วย  โล่งละ ออกไปครบ^^
 
คุณหมอให้นอนรพ. 1 คืน  และแล้วค่ำคืนแห่งความเจ็บปวดคืนแรกก็เริ่มดำเนิน  นอนไม่หลับเลย ได้ยาแก้ปวดก็ทุเลา บอกกับตัวเองเดี๋ยวมันต้องดีขึ้นเพราะเนื้อไม่ดีออกไปแล้ว  แต่ความไม่สบายตัวที่หนักกว่าคือ ปวดปัสสาวะแต่ปัสสาวะไม่ออก ไม่กล้าเบ่งปัสสาวะ (อ่านข้อมูลมาเยอะจนกลัวการเบ่งแล้วทำให้แผลที่เย็บปริออก) จนพยาบาลบอกว่าเบ่งได้ แต่เบ่งน้อยๆพอให้ปัสสาวะออก  ถ้าไม่ออกจะต้องสวนปัสสาวะนะ เท่านั้นแหละ เลยพยายามเบ่งปัสสาวะให้ออก ย้ำว่าเบ่งนิดๆเท่านั้น จนปัสสาวะออก และดื่มน้ำเยอะๆจนปัสสาวะออกได้เป็นปกติ 
 
ลืมบอกว่า ตอนแพลนหาหมอได้สั่งซื้อหมอนโดนัทเตรียมไว้แล้ว  และได้ใช้ตั้งแต่อยู่ รพ.  สำคัญเลยนะคะ เพราะช่วยลดความเจ็บปวดเวลานั่งได้ดี
 
เช้ามา ไม่อยากนอนแล้วเพราะเจ็บ เลยฝึกนั่งกับหมอนโดนัท นั่งสบายกว่านอนจนเผลอหลับตอนนั่ง ^^  คุณหมอเปิดประตูมาดูอาการเห็นหน้าตายิ้มแย้ม  ยังไม่ทันเข้าห้อง คุณหมอก็บอกว่า “หายแล้วนี่นา ไปๆ กลับบ้านเลยจะได้ไปเที่ยวปีใหม่นะ”  เลยได้กลับบ้าน  พร้อมยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด และยาระบาย โดยมีหมอนโดนัทเคียงข้างกายตลอด

 
พาพันไฟท์ติ้ง
>>>>>  คืนแรกที่บ้าน เจ็บแผลจนนอนไม่หลับ เจ็บจนคิดว่ากินยาแก้ปวดก็คงไม่หาย ไม่อยากกินแล้ว สุดท้ายก็ลองกินเผื่อทุเลา แต่พอกินยาแก้ปวดก็หายเลย ไม่ทุเลาแต่หายทันที เลยจำไว้เลยว่าถ้าเจ็บต้องกินยา  เฝ้ารอคอยรุ่งเช้าที่ต้องถ่ายตามปกติว่าจะเจ็บทรมานมากไหม
 
พอรุ่งเช้าก็เข้าห้องน้ำ  ทำใจว่าเราต้องกล้าหาญในการถ่าย ลงชักโครก  เพราะต้องใช้ชีวิตให้เป็นปกติให้ได้ ช่วงแรกไม่กล้าเบ่งกลัวแผลปริ แต่ที่สุดก็ต้องตัดสินใจเบ่ง เป็นอึติดที่ก้นถ้าไม่ออกก็คงอึดอัดทั้งวัน แต่เบ่งออกแรงนิดๆ ถ้าเคยเบ่งมาแค่ไหนก็ขอให้เบ่งออกแรงครึ่งหนึ่งจากเดิมเท่านั้น ย้ำว่าเบาๆ แล้วหยุด เบาๆแล้วหยุด ถ้าถ่ายไม่ออกก็ต้องหยุดแค่นั้น เพราะมีเวลาอีกทั้งวัน  สุดท้ายถ่ายออกมา 1 ก้อนเล็กๆที่ค่อนข้างแข็ง แต่ก็พอใจที่สุด เวลาถ่ายก็ไม่ได้เจ็บปวดมาก แค่เสียดสีเหมือนบาดแผลที่ถลอกแล้วถูกเสียดสี ไม่เจ็บทรมานอย่างที่เคยคิดเลย  อาจเพราะตอนเจ็บริดสีดวงหนักกว่านี้มากนัก จากนั้นทำความสะอาดให้ดีที่สุดแล้วก็แช่น้ำอุ่น 20 นาที  หลังจากแช่น้ำอุ่นก็อยากถ่ายอีก ก็ถ่ายออก แล้วล้างแช่น้ำอุ่นอีกรอบ
จากนั้นก็สระผมอาบน้ำ ทำตัวให้มีความสุข พยายามไม่คิดถึงแผลผ่าตัดที่เหมือนจะน่ากลัว 
 
ในระหว่างวันก็ทำตามที่คุณหมอแนะนำ ในช่วงแรกให้กินอาหารอ่อนๆ ย่อยง่ายๆไม่รสจัด  ดื่มน้ำเยอะๆ 3 ลิตร คุณหมอแนะนำว่า แม้จะกินผักมาก หรือกินอ่อนๆ แต่ถ้าไม่กินน้ำให้เยอะก็จะถ่ายยาก และอาการเจ็บจะมากขึ้น  จึงทำตามหมอแนะนำอย่างเคร่งครัด เจ็บก็กินยาแก้ปวด ก่อนนอนก็กินยาระบายที่หมอให้มา 
 
แต่ปัญหาที่ตัวเองเจอคือลมในท้องเยอะมาก อาจเพราะก่อนหน้าผ่าตัดเพิ่งหายจากท้องเสีย ท้องยังไม่ค่อยปกตินัก  พอลมในท้องเยอะทำให้เกิดแรงกดตรงกระเพาะปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อยมาก  วันต่อมาเลยไปหาหมออีกครั้งได้ยาไล่ลมกับยาที่ทำให้ปัสสาวะสุด (อาการนี้ก็หายเป็นปกติในเวลา 2 วัน)  
 
การถ่ายในเช้าวันต่อมา  มีอาการเหมือนเดิมคือ  ถ่ายก้อนแรกค่อนข้างแข็ง (เบ่งเบาๆ) แต่เมื่อก้อนนี้ออกมาแล้ว ต่อมาก้อนนุ่มๆก็ออกมาเอง ไม่ต้องเบ่งเลย  ทำให้นึกถึงวัยเด็กที่ปวดถ่าย พอเข้าห้องน้ำก็ออกมาไม่ต้องเบ่ง  ความรู้สึกดีใจสุดๆ   
หลังจากนี้ได้ถ่าย 3 ครั้ง เช้า เที่ยง เย็น  เป็นเวลา 3 วัน คือถ้ารู้สึกอยากถ่ายก็จะเข้าห้องน้ำเลย และไม่ต้องเบ่ง ถ่ายคล่องมาก  และกินยาแก้ปวดดักไว้ก่อนนอนเลย ทำให้นอนหลับสบายขึ้น  
 ฟิน

จึงเริ่มขับรถละ เท่ ใช้หมอนโดนัทวางนั่ง  แต่ช่วงที่ขยับก้นมีช่วงหนึ่งที่ขยับแรงไปเลยเจ็บแผล เดินก็รู้สึกเจ็บ ทำให้เช้าวันต่อมาเวลาถ่ายเริ่มเจ็บอีก และออกนิดเดียว กลางคืนเริ่มนอนไม่ค่อยสบายเพราะอึดอัดอยากถ่ายออกให้หมด  wink
 
ตัดสินใจไป รพ. ในวันต่อมา ก่อนวันที่หมอนัดดูแผล 1 วัน หมอบอกแผลปกติไม่มีปริ แค่อักเสบนิดหนึ่ง หมอแตะไหล่ถามว่า เจ็บมากไหม (ย้ำว่าคุณหมอน่ารักมาก)  และบอกว่าทนเจ็บนิดนะ แล้วก็จับตรงที่อักเสบยัดเข้าไป  ตอนนั้นคือเจ็บสุดๆ แต่อีก 5-10 นาทีอาการเจ็บก็หายเลย  แล้วคุณหมอก็ให้ยามาทา   ตั้งแต่นี้เลยระมัดระวังเวลาจะเคลื่อนตัวเพราะแผลยังไม่สนิท รอสามอาทิตย์แผลก็จะหายสนิทดีขึ้น
 
เช้าวันต่อมาคิดว่าจะทำยังไงที่จะให้ถ่ายออกมาดีกว่านี้ เพราะตั้งแต่เจ็บทำให้ถ่ายออกนิดเดียว   
จึงซื้อมะละกอสุกมา 1 ลูก ผีเสื้อ กินวันละครึ่งลูก เพื่อให้ถ่ายสิ่งที่ค้างออกมา  และก็ได้ผลดีมาก ถ่ายง่ายและออกมาเยอะ  หลังจากนั้นก็หาผักบุ้ง ถั่วฝักยาว ฟักทอง มาทำกับข้าว ต้มบ้างผัดบ้าง รสชาติไม่เข้มเหมือนเดิมออกไปทางจืด  กินส้ม ผลไม้ ทำให้ถ่ายง่ายทุกวันไม่ต้องเบ่ง ถ่ายออกตามเวลา แต่ถ้าระหว่างวันอยากถ่ายก็ไปถ่ายทันทีไม่อั้น อาการถ่ายแล้วเสียดสีแผลก็เจ็บน้อยลงจนตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว แค่รู้สึกแผลตึงๆตอนถ่าย
 

นานาเยี่ยมผลพลอยได้หลังการผ่าตัด คือ ได้ดูแลเรื่องอาหารทำให้น้ำหนักลดลง   กินอาหารที่ย่อยง่าย ไม่มันไม่จัดไม่เค็ม ไขมันก็ลดลงตาม และออกกำลังกายเบาๆ เพื่อลำไส้จะได้ทำงานปกติ  ทั้งหมดนี้กับวัยที่ย่าง 55 ปี  ถือว่าได้ตั้งต้นดูแลสุขภาพอีกครั้ง ^^ 
 
 

>>>>> สรุปสิ่งที่อยากย้ำ  ซารางเฮ
ในสองสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด อาหารการกินทำตามหมออย่างเคร่งครัด อาหารอ่อน ผักต้ม ไม่รสจัด กินน้ำให้เยอะ ตื่นมากินน้ำ 1 แก้วเลย พอเข้าห้องน้ำก็พกน้ำเข้าไปด้วย พอถ่ายออกลองกินน้ำอีก ก็จะทำให้ถ่ายอีกจนสุด  อย่าเบ่ง ถ้าต้องเบ่งให้เบ่งน้อยๆเบาๆ  อย่านั่งถ่ายนานจนถึงชั่วโมง ถ้าไม่ถ่ายแล้วล้างให้สะอาด  แล้วแช่น้ำอุ่น 15-20 นาที บางครั้งหลังแช่น้ำอุ่นจะทำให้รู้สึกอยากถ่ายอีก ทำให้ก้อนที่ค้างออกมาได้จนสุด  ทำความสะอาดให้ดีที่สุด เช็ดก้นให้แห้งและทายา  และถ้าถ่ายไม่ออกก็ปล่อยไป ยังมีเวลาอีกทั้งวัน หาโยเกิร์ต หรือ ผลไม้ ย้ำว่ากินน้ำเยอะๆ แต่อย่าสวนหรือกินยาถ่ายนะคะ เพราะจะทำให้เกิดแรงดันตรงแผล แผลจะอักเสบ กินยาระบายอ่อนๆตามที่หมอให้มา กินจนหมดก็น่าจะพอค่ะ   เวลาเจ็บก็กินยาแก้ปวดทันที หรือกินดักไว้ก่อนนอนในช่วงสองสามวันแรก   เวลาเคลื่อนตัวให้ระวังแผลด้วยจนกว่าแผลจะหายสนิท  แช่น้ำอุ่นอย่างน้อยเช้าเย็น ถ้าจะให้ดีหลังถ่ายด้วยทุกครั้งเพื่อความสะอาดของแผล

....และถ้ามีอาการใดที่ทำให้กังวล  รีบปรึกษาคุณหมอทันทีนะคะ 

 
ปลื้มปริ่ม
ตอนนี้ขึ้นสัปดาห์ที่ 3 แล้วค่ะ การขับถ่ายเป็นปกติ เลือดที่ซึมก็ไม่มีแล้ว (เลือดกับน้ำเหลืองเป็นแค่สัปดาห์แรกและต้องใส่แผ่นอนามัยทั้งกลางวันและกลางคืน)  หมอนโดนัทแทบไม่ต้องใช้แล้ว มีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น ตัดสินใจถูกที่ไปผ่าออก เพราะตอนเจ็บริดสีดวงไม่มีที่สิ้นสุดและเจ็บมากตอนอักเสบ  การผ่าออกมีวันเวลาที่สิ้นสุดความเจ็บปวด แต่ต่อจากนี้ต้องควบคุมอาหาร เคี้ยวให้ละเอียด ไม่ทานรสจัดมาก เพราะสาเหตุของหลักตัวเองที่เป็นริดสีดวงเพราะการทำงานที่ต้องนั่งนาน ๆ และหนักตรงที่ชอบกินอาหารรสจัด แถมเคี้ยวไม่ละเอียดถ่ายยาก และท้องเสียบ่อยทำให้เกิดการอักเสบบ่อยๆ
 

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>------------>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
สุดท้ายนี้  เม่าอดีต ขอเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ที่เจ็บปวดแผลผ่าตัดในตอนขับถ่ายนะคะ ย้ำว่าดื่มน้ำเยอะๆสำคัญมากค่ะ  จะทำให้ถ่ายง่าย และขอให้อดทนๆๆๆ  สัปดาห์ที่สอง สาม อาการเจ็บจะลดลงจนหายดี
ส่วนผู้ที่กำลังตัดสินใจผ่าตัด ในความเห็นของตัวเองนะคะ ถ้าเคยเจ็บริดสีดวงแบบอักเสบสุดๆ คุณจะพบว่า การผ่าตัดไม่เจ็บไปมากกว่าการที่ต้องทนเจ็บริดสีดวงอักเสบ  การผ่าตัดน่าจะเหมาะกับระยะที่เจ็บรุนแรง เพราะจะทำให้มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะผ่าตัดออกไป การผ่าตัดจะดีกับเราในระยะยาว และหลังผ่าตัดก็จะได้ลึกซึ้งกับสำนวนที่บอกว่า “ฟ้าหลังฝน” ค่ะ ^^   
 
ท้ายของท้าย ^^  ต้องขอขอบคุณคุณพยาบาลท่านหนึ่งที่ได้เล่าประสบการณ์การผ่าตัดริดสีดวงของตัวเอง เลยทำให้ยิ่งมั่นใจว่า ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดค่ะ 
และ ปล. หากมีคำเขียนใดที่อธิบายถึงการขับถ่ายที่ไม่เหมาะสม ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ^____^   
เพี้ยนดีออก   ขอบคุณผู้อ่านด้วยค่ะ 🙏
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่