อยากเล่าประสบการณ์ดีๆ ในการผ่าตัดริดสีดวง ขอบันทึกในนี้เพื่อบทความจะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านค่ะ
สาเหตุโรคริดสีดวงของแต่ละคนก็น่าจะคล้ายๆกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ได้รับคำแนะนำมา ซึ่งอยากจะเกริ่นก่อน เผื่อผู้ที่ยังเป็นน้อยจะได้ไม่ต้องอ่านยาวจนจบก็ได้นะคะ คือ หากรู้สึกเจ็บริดสีดวง หรือเริ่มเป็น ควรกินของอ่อนๆ พร้อมทายาหรือเหน็บยา เพื่อจะถ่ายง่าย และพยายามอย่ากินผักสดในช่วงนี้ ให้กินผักต้มย่อยง่ายๆแทน เพราะผักสดกากใยจะแข็งทำให้ย่อยยาก เวลาถ่ายแม้จะถ่ายออกดีแต่กากใยผักสดที่แข็งนั้นจะทำให้เสียดสีกับริดสีดวง ยิ่งเจ็บและอักเสบขึ้นอีก และไม่ควรยกของหนักหรือเข็นของหนักเพราะจะเกิดแรงเบ่ง จนกว่าจะหายเจ็บและเป็นปกติ
เอาล่ะค่ะ

ทีนี้มาว่ากันในเรื่องของการผ่าตัดริดสีดวงของตัวเอง ซึ่งมีอาการมาตลอด 20 กว่าปี เป็นๆหายๆ และหนักสุดก็ช่วง 2-3 ปีนี้ มีอาการอักเสบมากคลำได้มีทั้งหมด 3 ก้อนและยัดไม่เข้าแล้ว ใช้ยาเหน็บเมื่อเจ็บ จะเจ็บและทรมานสุดๆก็ตอนท้องเสีย และในเวลาที่ท้องไม่เสียก็เบ่งถ่ายออกน้อยและเบ่งยากมาก เมื่อปีที่แล้วตัดสินใจไปรักษาโดยใช้ประกันสังคม คุณหมอตรวจดูวินิจฉัยว่าควรผ่าตัด นัดวันผ่าตัดเรียบร้อยคือภายในสองวัน คือมันเร็วมากค่ะ ทีนี้ด้วยความที่ไม่คาดคิดว่าจะต้องผ่าทันที เลยหาข้อมูลในเว็บต่างๆส่วนใหญ่จะบอกว่า หลังผ่าตัดจะสุดแสนทรมานเวลาถ่าย เลยขอยกเลิกการผ่าตัด ผ่านมา 1 ปี เจ็บก็ใช้ยาเหน็บเหมือนเดิม แต่ถึงช่วงปลายปีที่ผ่านมาท้องเสียหนัก ทำให้รับรู้ถึงความเจ็บปวดริดสีดวงตอนอักเสบหนักอีกครั้ง จนตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องผ่าตัด เพราะคิดว่ายังไงตอนนี้แม้เจ็บหนัก หลังผ่าออกไปก็คงไม่เจ็บหนักไปกว่านี้
จากนั้นเมื่อต้นปีนี้ (2567) ตัดสินใจไปหาคุณหมอคนเดิม คุณหมอให้ผ่าตัดวันเดียวกันในช่วงบ่าย คุณหมอบอกว่า เนื้อที่มันไม่ดีก็ตัดทิ้งไปเลยให้เหลือแต่เนื้อดีๆนะ คุณหมอผู้ชายมีอายุแล้ว พูดให้กำลังใจน่ารักมากค่ะ ตอนนั้นไม่รู้สึกกลัวเพราะเจ็บจนอยากจะเอาออกแล้ว แต่กังวลเรื่องการดมยาสลบว่าสลบแล้วจะตื่นระหว่างผ่าตัดไหม หรือต่างๆนาๆ เพราะจากการหาข้อมูลแต่ละคนที่ผ่าจะใช้วิธีดมยาสลบ แต่แล้วการผ่าตัดครั้งนี้คุณหมอใช้วิธีบล็อกหลัง ซึ่งตัวเองเคยผ่านการผ่าตัดใหญ่สองครั้งที่ใช้วิธีบล็อกหลัง เลยไม่กลัววิธีนี้เลย

>>>>> ขั้นตอนการผ่าตัด เมื่อบล็อกหลังแล้วนอนคว่ำ จากนั้นเริ่มการผ่าตัดใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ผ่าตัดวิธีปกติ ผ่าตัดเสร็จก็ได้ขอดูก้อนริดสีดวงที่ผ่าออกไป เห็นว่าเป็น 3 ชิ้นจริงๆด้วย โล่งละ ออกไปครบ^^
คุณหมอให้นอนรพ. 1 คืน และแล้วค่ำคืนแห่งความเจ็บปวดคืนแรกก็เริ่มดำเนิน นอนไม่หลับเลย ได้ยาแก้ปวดก็ทุเลา บอกกับตัวเองเดี๋ยวมันต้องดีขึ้นเพราะเนื้อไม่ดีออกไปแล้ว แต่ความไม่สบายตัวที่หนักกว่าคือ ปวดปัสสาวะแต่ปัสสาวะไม่ออก ไม่กล้าเบ่งปัสสาวะ (อ่านข้อมูลมาเยอะจนกลัวการเบ่งแล้วทำให้แผลที่เย็บปริออก) จนพยาบาลบอกว่าเบ่งได้ แต่เบ่งน้อยๆพอให้ปัสสาวะออก ถ้าไม่ออกจะต้องสวนปัสสาวะนะ เท่านั้นแหละ เลยพยายามเบ่งปัสสาวะให้ออก ย้ำว่าเบ่งนิดๆเท่านั้น จนปัสสาวะออก และดื่มน้ำเยอะๆจนปัสสาวะออกได้เป็นปกติ
ลืมบอกว่า ตอนแพลนหาหมอได้สั่งซื้อหมอนโดนัทเตรียมไว้แล้ว และได้ใช้ตั้งแต่อยู่ รพ. สำคัญเลยนะคะ เพราะช่วยลดความเจ็บปวดเวลานั่งได้ดี
เช้ามา ไม่อยากนอนแล้วเพราะเจ็บ เลยฝึกนั่งกับหมอนโดนัท นั่งสบายกว่านอนจนเผลอหลับตอนนั่ง ^^ คุณหมอเปิดประตูมาดูอาการเห็นหน้าตายิ้มแย้ม ยังไม่ทันเข้าห้อง คุณหมอก็บอกว่า “หายแล้วนี่นา ไปๆ กลับบ้านเลยจะได้ไปเที่ยวปีใหม่นะ” เลยได้กลับบ้าน พร้อมยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด และยาระบาย โดยมีหมอนโดนัทเคียงข้างกายตลอด

>>>>> คืนแรกที่บ้าน เจ็บแผลจนนอนไม่หลับ เจ็บจนคิดว่ากินยาแก้ปวดก็คงไม่หาย ไม่อยากกินแล้ว สุดท้ายก็ลองกินเผื่อทุเลา แต่พอกินยาแก้ปวดก็หายเลย ไม่ทุเลาแต่หายทันที เลยจำไว้เลยว่าถ้าเจ็บต้องกินยา เฝ้ารอคอยรุ่งเช้าที่ต้องถ่ายตามปกติว่าจะเจ็บทรมานมากไหม
พอรุ่งเช้าก็เข้าห้องน้ำ ทำใจว่าเราต้องกล้าหาญในการถ่าย

เพราะต้องใช้ชีวิตให้เป็นปกติให้ได้ ช่วงแรกไม่กล้าเบ่งกลัวแผลปริ แต่ที่สุดก็ต้องตัดสินใจเบ่ง เป็นอึติดที่ก้นถ้าไม่ออกก็คงอึดอัดทั้งวัน แต่เบ่งออกแรงนิดๆ ถ้าเคยเบ่งมาแค่ไหนก็ขอให้เบ่งออกแรงครึ่งหนึ่งจากเดิมเท่านั้น ย้ำว่าเบาๆ แล้วหยุด เบาๆแล้วหยุด ถ้าถ่ายไม่ออกก็ต้องหยุดแค่นั้น เพราะมีเวลาอีกทั้งวัน สุดท้ายถ่ายออกมา 1 ก้อนเล็กๆที่ค่อนข้างแข็ง แต่ก็พอใจที่สุด เวลาถ่ายก็ไม่ได้เจ็บปวดมาก แค่เสียดสีเหมือนบาดแผลที่ถลอกแล้วถูกเสียดสี ไม่เจ็บทรมานอย่างที่เคยคิดเลย อาจเพราะตอนเจ็บริดสีดวงหนักกว่านี้มากนัก จากนั้นทำความสะอาดให้ดีที่สุดแล้วก็แช่น้ำอุ่น 20 นาที หลังจากแช่น้ำอุ่นก็อยากถ่ายอีก ก็ถ่ายออก แล้วล้างแช่น้ำอุ่นอีกรอบ
จากนั้นก็สระผมอาบน้ำ ทำตัวให้มีความสุข พยายามไม่คิดถึงแผลผ่าตัดที่เหมือนจะน่ากลัว
ในระหว่างวันก็ทำตามที่คุณหมอแนะนำ ในช่วงแรกให้กินอาหารอ่อนๆ ย่อยง่ายๆไม่รสจัด ดื่มน้ำเยอะๆ 3 ลิตร คุณหมอแนะนำว่า แม้จะกินผักมาก หรือกินอ่อนๆ แต่ถ้าไม่กินน้ำให้เยอะก็จะถ่ายยาก และอาการเจ็บจะมากขึ้น จึงทำตามหมอแนะนำอย่างเคร่งครัด เจ็บก็กินยาแก้ปวด ก่อนนอนก็กินยาระบายที่หมอให้มา
แต่ปัญหาที่ตัวเองเจอคือลมในท้องเยอะมาก อาจเพราะก่อนหน้าผ่าตัดเพิ่งหายจากท้องเสีย ท้องยังไม่ค่อยปกตินัก พอลมในท้องเยอะทำให้เกิดแรงกดตรงกระเพาะปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อยมาก วันต่อมาเลยไปหาหมออีกครั้งได้ยาไล่ลมกับยาที่ทำให้ปัสสาวะสุด (อาการนี้ก็หายเป็นปกติในเวลา 2 วัน)
การถ่ายในเช้าวันต่อมา มีอาการเหมือนเดิมคือ ถ่ายก้อนแรกค่อนข้างแข็ง (เบ่งเบาๆ) แต่เมื่อก้อนนี้ออกมาแล้ว ต่อมาก้อนนุ่มๆก็ออกมาเอง ไม่ต้องเบ่งเลย ทำให้นึกถึงวัยเด็กที่ปวดถ่าย พอเข้าห้องน้ำก็ออกมาไม่ต้องเบ่ง ความรู้สึกดีใจสุดๆ
หลังจากนี้ได้ถ่าย 3 ครั้ง เช้า เที่ยง เย็น เป็นเวลา 3 วัน คือถ้ารู้สึกอยากถ่ายก็จะเข้าห้องน้ำเลย และไม่ต้องเบ่ง ถ่ายคล่องมาก และกินยาแก้ปวดดักไว้ก่อนนอนเลย ทำให้นอนหลับสบายขึ้น
จึงเริ่มขับรถละ

ใช้หมอนโดนัทวางนั่ง แต่ช่วงที่ขยับก้นมีช่วงหนึ่งที่ขยับแรงไปเลยเจ็บแผล เดินก็รู้สึกเจ็บ ทำให้เช้าวันต่อมาเวลาถ่ายเริ่มเจ็บอีก และออกนิดเดียว กลางคืนเริ่มนอนไม่ค่อยสบายเพราะอึดอัดอยากถ่ายออกให้หมด
ตัดสินใจไป รพ. ในวันต่อมา ก่อนวันที่หมอนัดดูแผล 1 วัน หมอบอกแผลปกติไม่มีปริ แค่อักเสบนิดหนึ่ง หมอแตะไหล่ถามว่า เจ็บมากไหม (ย้ำว่าคุณหมอน่ารักมาก) และบอกว่าทนเจ็บนิดนะ แล้วก็จับตรงที่อักเสบยัดเข้าไป ตอนนั้นคือเจ็บสุดๆ แต่อีก 5-10 นาทีอาการเจ็บก็หายเลย แล้วคุณหมอก็ให้ยามาทา ตั้งแต่นี้เลยระมัดระวังเวลาจะเคลื่อนตัวเพราะแผลยังไม่สนิท รอสามอาทิตย์แผลก็จะหายสนิทดีขึ้น
เช้าวันต่อมาคิดว่าจะทำยังไงที่จะให้ถ่ายออกมาดีกว่านี้ เพราะตั้งแต่เจ็บทำให้ถ่ายออกนิดเดียว
จึงซื้อมะละกอสุกมา 1 ลูก

กินวันละครึ่งลูก เพื่อให้ถ่ายสิ่งที่ค้างออกมา และก็ได้ผลดีมาก ถ่ายง่ายและออกมาเยอะ หลังจากนั้นก็หาผักบุ้ง ถั่วฝักยาว ฟักทอง มาทำกับข้าว ต้มบ้างผัดบ้าง รสชาติไม่เข้มเหมือนเดิมออกไปทางจืด กินส้ม ผลไม้ ทำให้ถ่ายง่ายทุกวันไม่ต้องเบ่ง ถ่ายออกตามเวลา แต่ถ้าระหว่างวันอยากถ่ายก็ไปถ่ายทันทีไม่อั้น อาการถ่ายแล้วเสียดสีแผลก็เจ็บน้อยลงจนตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว แค่รู้สึกแผลตึงๆตอนถ่าย

ผลพลอยได้หลังการผ่าตัด คือ ได้ดูแลเรื่องอาหารทำให้น้ำหนักลดลง กินอาหารที่ย่อยง่าย ไม่มันไม่จัดไม่เค็ม ไขมันก็ลดลงตาม และออกกำลังกายเบาๆ เพื่อลำไส้จะได้ทำงานปกติ ทั้งหมดนี้กับวัยที่ย่าง 55 ปี ถือว่าได้ตั้งต้นดูแลสุขภาพอีกครั้ง ^^
>>>>> สรุปสิ่งที่อยากย้ำ

ในสองสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด อาหารการกินทำตามหมออย่างเคร่งครัด อาหารอ่อน ผักต้ม ไม่รสจัด กินน้ำให้เยอะ ตื่นมากินน้ำ 1 แก้วเลย พอเข้าห้องน้ำก็พกน้ำเข้าไปด้วย พอถ่ายออกลองกินน้ำอีก ก็จะทำให้ถ่ายอีกจนสุด อย่าเบ่ง ถ้าต้องเบ่งให้เบ่งน้อยๆเบาๆ อย่านั่งถ่ายนานจนถึงชั่วโมง ถ้าไม่ถ่ายแล้วล้างให้สะอาด แล้วแช่น้ำอุ่น 15-20 นาที บางครั้งหลังแช่น้ำอุ่นจะทำให้รู้สึกอยากถ่ายอีก ทำให้ก้อนที่ค้างออกมาได้จนสุด ทำความสะอาดให้ดีที่สุด เช็ดก้นให้แห้งและทายา และถ้าถ่ายไม่ออกก็ปล่อยไป ยังมีเวลาอีกทั้งวัน หาโยเกิร์ต หรือ ผลไม้ ย้ำว่ากินน้ำเยอะๆ แต่อย่าสวนหรือกินยาถ่ายนะคะ เพราะจะทำให้เกิดแรงดันตรงแผล แผลจะอักเสบ กินยาระบายอ่อนๆตามที่หมอให้มา กินจนหมดก็น่าจะพอค่ะ เวลาเจ็บก็กินยาแก้ปวดทันที หรือกินดักไว้ก่อนนอนในช่วงสองสามวันแรก เวลาเคลื่อนตัวให้ระวังแผลด้วยจนกว่าแผลจะหายสนิท แช่น้ำอุ่นอย่างน้อยเช้าเย็น ถ้าจะให้ดีหลังถ่ายด้วยทุกครั้งเพื่อความสะอาดของแผล
....และถ้ามีอาการใดที่ทำให้กังวล รีบปรึกษาคุณหมอทันทีนะคะ

ตอนนี้ขึ้นสัปดาห์ที่ 3 แล้วค่ะ การขับถ่ายเป็นปกติ เลือดที่ซึมก็ไม่มีแล้ว (เลือดกับน้ำเหลืองเป็นแค่สัปดาห์แรกและต้องใส่แผ่นอนามัยทั้งกลางวันและกลางคืน) หมอนโดนัทแทบไม่ต้องใช้แล้ว มีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น ตัดสินใจถูกที่ไปผ่าออก เพราะตอนเจ็บริดสีดวงไม่มีที่สิ้นสุดและเจ็บมากตอนอักเสบ การผ่าออกมีวันเวลาที่สิ้นสุดความเจ็บปวด แต่ต่อจากนี้ต้องควบคุมอาหาร เคี้ยวให้ละเอียด ไม่ทานรสจัดมาก เพราะสาเหตุของหลักตัวเองที่เป็นริดสีดวงเพราะการทำงานที่ต้องนั่งนาน ๆ และหนักตรงที่ชอบกินอาหารรสจัด แถมเคี้ยวไม่ละเอียดถ่ายยาก และท้องเสียบ่อยทำให้เกิดการอักเสบบ่อยๆ
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>------------>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
สุดท้ายนี้

ขอเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ที่เจ็บปวดแผลผ่าตัดในตอนขับถ่ายนะคะ ย้ำว่าดื่มน้ำเยอะๆสำคัญมากค่ะ จะทำให้ถ่ายง่าย และขอให้อดทนๆๆๆ สัปดาห์ที่สอง สาม อาการเจ็บจะลดลงจนหายดี
ส่วนผู้ที่กำลังตัดสินใจผ่าตัด ในความเห็นของตัวเองนะคะ ถ้าเคยเจ็บริดสีดวงแบบอักเสบสุดๆ คุณจะพบว่า การผ่าตัดไม่เจ็บไปมากกว่าการที่ต้องทนเจ็บริดสีดวงอักเสบ การผ่าตัดน่าจะเหมาะกับระยะที่เจ็บรุนแรง เพราะจะทำให้มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะผ่าตัดออกไป การผ่าตัดจะดีกับเราในระยะยาว และหลังผ่าตัดก็จะได้ลึกซึ้งกับสำนวนที่บอกว่า “ฟ้าหลังฝน” ค่ะ ^^
ท้ายของท้าย ^^ ต้องขอขอบคุณคุณพยาบาลท่านหนึ่งที่ได้เล่าประสบการณ์การผ่าตัดริดสีดวงของตัวเอง เลยทำให้ยิ่งมั่นใจว่า ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดค่ะ
และ ปล. หากมีคำเขียนใดที่อธิบายถึงการขับถ่ายที่ไม่เหมาะสม ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ^____^

ขอบคุณผู้อ่านด้วยค่ะ 🙏
ประสบการณ์การผ่าตัดริดสีดวง (เหมือนฟ้าหลังฝน)
สาเหตุโรคริดสีดวงของแต่ละคนก็น่าจะคล้ายๆกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ได้รับคำแนะนำมา ซึ่งอยากจะเกริ่นก่อน เผื่อผู้ที่ยังเป็นน้อยจะได้ไม่ต้องอ่านยาวจนจบก็ได้นะคะ คือ หากรู้สึกเจ็บริดสีดวง หรือเริ่มเป็น ควรกินของอ่อนๆ พร้อมทายาหรือเหน็บยา เพื่อจะถ่ายง่าย และพยายามอย่ากินผักสดในช่วงนี้ ให้กินผักต้มย่อยง่ายๆแทน เพราะผักสดกากใยจะแข็งทำให้ย่อยยาก เวลาถ่ายแม้จะถ่ายออกดีแต่กากใยผักสดที่แข็งนั้นจะทำให้เสียดสีกับริดสีดวง ยิ่งเจ็บและอักเสบขึ้นอีก และไม่ควรยกของหนักหรือเข็นของหนักเพราะจะเกิดแรงเบ่ง จนกว่าจะหายเจ็บและเป็นปกติ
เอาล่ะค่ะ
จากนั้นเมื่อต้นปีนี้ (2567) ตัดสินใจไปหาคุณหมอคนเดิม คุณหมอให้ผ่าตัดวันเดียวกันในช่วงบ่าย คุณหมอบอกว่า เนื้อที่มันไม่ดีก็ตัดทิ้งไปเลยให้เหลือแต่เนื้อดีๆนะ คุณหมอผู้ชายมีอายุแล้ว พูดให้กำลังใจน่ารักมากค่ะ ตอนนั้นไม่รู้สึกกลัวเพราะเจ็บจนอยากจะเอาออกแล้ว แต่กังวลเรื่องการดมยาสลบว่าสลบแล้วจะตื่นระหว่างผ่าตัดไหม หรือต่างๆนาๆ เพราะจากการหาข้อมูลแต่ละคนที่ผ่าจะใช้วิธีดมยาสลบ แต่แล้วการผ่าตัดครั้งนี้คุณหมอใช้วิธีบล็อกหลัง ซึ่งตัวเองเคยผ่านการผ่าตัดใหญ่สองครั้งที่ใช้วิธีบล็อกหลัง เลยไม่กลัววิธีนี้เลย
>>>>> ขั้นตอนการผ่าตัด เมื่อบล็อกหลังแล้วนอนคว่ำ จากนั้นเริ่มการผ่าตัดใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ผ่าตัดวิธีปกติ ผ่าตัดเสร็จก็ได้ขอดูก้อนริดสีดวงที่ผ่าออกไป เห็นว่าเป็น 3 ชิ้นจริงๆด้วย โล่งละ ออกไปครบ^^
คุณหมอให้นอนรพ. 1 คืน และแล้วค่ำคืนแห่งความเจ็บปวดคืนแรกก็เริ่มดำเนิน นอนไม่หลับเลย ได้ยาแก้ปวดก็ทุเลา บอกกับตัวเองเดี๋ยวมันต้องดีขึ้นเพราะเนื้อไม่ดีออกไปแล้ว แต่ความไม่สบายตัวที่หนักกว่าคือ ปวดปัสสาวะแต่ปัสสาวะไม่ออก ไม่กล้าเบ่งปัสสาวะ (อ่านข้อมูลมาเยอะจนกลัวการเบ่งแล้วทำให้แผลที่เย็บปริออก) จนพยาบาลบอกว่าเบ่งได้ แต่เบ่งน้อยๆพอให้ปัสสาวะออก ถ้าไม่ออกจะต้องสวนปัสสาวะนะ เท่านั้นแหละ เลยพยายามเบ่งปัสสาวะให้ออก ย้ำว่าเบ่งนิดๆเท่านั้น จนปัสสาวะออก และดื่มน้ำเยอะๆจนปัสสาวะออกได้เป็นปกติ
ลืมบอกว่า ตอนแพลนหาหมอได้สั่งซื้อหมอนโดนัทเตรียมไว้แล้ว และได้ใช้ตั้งแต่อยู่ รพ. สำคัญเลยนะคะ เพราะช่วยลดความเจ็บปวดเวลานั่งได้ดี
เช้ามา ไม่อยากนอนแล้วเพราะเจ็บ เลยฝึกนั่งกับหมอนโดนัท นั่งสบายกว่านอนจนเผลอหลับตอนนั่ง ^^ คุณหมอเปิดประตูมาดูอาการเห็นหน้าตายิ้มแย้ม ยังไม่ทันเข้าห้อง คุณหมอก็บอกว่า “หายแล้วนี่นา ไปๆ กลับบ้านเลยจะได้ไปเที่ยวปีใหม่นะ” เลยได้กลับบ้าน พร้อมยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด และยาระบาย โดยมีหมอนโดนัทเคียงข้างกายตลอด
>>>>> คืนแรกที่บ้าน เจ็บแผลจนนอนไม่หลับ เจ็บจนคิดว่ากินยาแก้ปวดก็คงไม่หาย ไม่อยากกินแล้ว สุดท้ายก็ลองกินเผื่อทุเลา แต่พอกินยาแก้ปวดก็หายเลย ไม่ทุเลาแต่หายทันที เลยจำไว้เลยว่าถ้าเจ็บต้องกินยา เฝ้ารอคอยรุ่งเช้าที่ต้องถ่ายตามปกติว่าจะเจ็บทรมานมากไหม
พอรุ่งเช้าก็เข้าห้องน้ำ ทำใจว่าเราต้องกล้าหาญในการถ่าย
จากนั้นก็สระผมอาบน้ำ ทำตัวให้มีความสุข พยายามไม่คิดถึงแผลผ่าตัดที่เหมือนจะน่ากลัว
ในระหว่างวันก็ทำตามที่คุณหมอแนะนำ ในช่วงแรกให้กินอาหารอ่อนๆ ย่อยง่ายๆไม่รสจัด ดื่มน้ำเยอะๆ 3 ลิตร คุณหมอแนะนำว่า แม้จะกินผักมาก หรือกินอ่อนๆ แต่ถ้าไม่กินน้ำให้เยอะก็จะถ่ายยาก และอาการเจ็บจะมากขึ้น จึงทำตามหมอแนะนำอย่างเคร่งครัด เจ็บก็กินยาแก้ปวด ก่อนนอนก็กินยาระบายที่หมอให้มา
แต่ปัญหาที่ตัวเองเจอคือลมในท้องเยอะมาก อาจเพราะก่อนหน้าผ่าตัดเพิ่งหายจากท้องเสีย ท้องยังไม่ค่อยปกตินัก พอลมในท้องเยอะทำให้เกิดแรงกดตรงกระเพาะปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อยมาก วันต่อมาเลยไปหาหมออีกครั้งได้ยาไล่ลมกับยาที่ทำให้ปัสสาวะสุด (อาการนี้ก็หายเป็นปกติในเวลา 2 วัน)
การถ่ายในเช้าวันต่อมา มีอาการเหมือนเดิมคือ ถ่ายก้อนแรกค่อนข้างแข็ง (เบ่งเบาๆ) แต่เมื่อก้อนนี้ออกมาแล้ว ต่อมาก้อนนุ่มๆก็ออกมาเอง ไม่ต้องเบ่งเลย ทำให้นึกถึงวัยเด็กที่ปวดถ่าย พอเข้าห้องน้ำก็ออกมาไม่ต้องเบ่ง ความรู้สึกดีใจสุดๆ
หลังจากนี้ได้ถ่าย 3 ครั้ง เช้า เที่ยง เย็น เป็นเวลา 3 วัน คือถ้ารู้สึกอยากถ่ายก็จะเข้าห้องน้ำเลย และไม่ต้องเบ่ง ถ่ายคล่องมาก และกินยาแก้ปวดดักไว้ก่อนนอนเลย ทำให้นอนหลับสบายขึ้น
จึงเริ่มขับรถละ
ตัดสินใจไป รพ. ในวันต่อมา ก่อนวันที่หมอนัดดูแผล 1 วัน หมอบอกแผลปกติไม่มีปริ แค่อักเสบนิดหนึ่ง หมอแตะไหล่ถามว่า เจ็บมากไหม (ย้ำว่าคุณหมอน่ารักมาก) และบอกว่าทนเจ็บนิดนะ แล้วก็จับตรงที่อักเสบยัดเข้าไป ตอนนั้นคือเจ็บสุดๆ แต่อีก 5-10 นาทีอาการเจ็บก็หายเลย แล้วคุณหมอก็ให้ยามาทา ตั้งแต่นี้เลยระมัดระวังเวลาจะเคลื่อนตัวเพราะแผลยังไม่สนิท รอสามอาทิตย์แผลก็จะหายสนิทดีขึ้น
เช้าวันต่อมาคิดว่าจะทำยังไงที่จะให้ถ่ายออกมาดีกว่านี้ เพราะตั้งแต่เจ็บทำให้ถ่ายออกนิดเดียว
จึงซื้อมะละกอสุกมา 1 ลูก
>>>>> สรุปสิ่งที่อยากย้ำ
ในสองสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด อาหารการกินทำตามหมออย่างเคร่งครัด อาหารอ่อน ผักต้ม ไม่รสจัด กินน้ำให้เยอะ ตื่นมากินน้ำ 1 แก้วเลย พอเข้าห้องน้ำก็พกน้ำเข้าไปด้วย พอถ่ายออกลองกินน้ำอีก ก็จะทำให้ถ่ายอีกจนสุด อย่าเบ่ง ถ้าต้องเบ่งให้เบ่งน้อยๆเบาๆ อย่านั่งถ่ายนานจนถึงชั่วโมง ถ้าไม่ถ่ายแล้วล้างให้สะอาด แล้วแช่น้ำอุ่น 15-20 นาที บางครั้งหลังแช่น้ำอุ่นจะทำให้รู้สึกอยากถ่ายอีก ทำให้ก้อนที่ค้างออกมาได้จนสุด ทำความสะอาดให้ดีที่สุด เช็ดก้นให้แห้งและทายา และถ้าถ่ายไม่ออกก็ปล่อยไป ยังมีเวลาอีกทั้งวัน หาโยเกิร์ต หรือ ผลไม้ ย้ำว่ากินน้ำเยอะๆ แต่อย่าสวนหรือกินยาถ่ายนะคะ เพราะจะทำให้เกิดแรงดันตรงแผล แผลจะอักเสบ กินยาระบายอ่อนๆตามที่หมอให้มา กินจนหมดก็น่าจะพอค่ะ เวลาเจ็บก็กินยาแก้ปวดทันที หรือกินดักไว้ก่อนนอนในช่วงสองสามวันแรก เวลาเคลื่อนตัวให้ระวังแผลด้วยจนกว่าแผลจะหายสนิท แช่น้ำอุ่นอย่างน้อยเช้าเย็น ถ้าจะให้ดีหลังถ่ายด้วยทุกครั้งเพื่อความสะอาดของแผล
....และถ้ามีอาการใดที่ทำให้กังวล รีบปรึกษาคุณหมอทันทีนะคะ
ตอนนี้ขึ้นสัปดาห์ที่ 3 แล้วค่ะ การขับถ่ายเป็นปกติ เลือดที่ซึมก็ไม่มีแล้ว (เลือดกับน้ำเหลืองเป็นแค่สัปดาห์แรกและต้องใส่แผ่นอนามัยทั้งกลางวันและกลางคืน) หมอนโดนัทแทบไม่ต้องใช้แล้ว มีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น ตัดสินใจถูกที่ไปผ่าออก เพราะตอนเจ็บริดสีดวงไม่มีที่สิ้นสุดและเจ็บมากตอนอักเสบ การผ่าออกมีวันเวลาที่สิ้นสุดความเจ็บปวด แต่ต่อจากนี้ต้องควบคุมอาหาร เคี้ยวให้ละเอียด ไม่ทานรสจัดมาก เพราะสาเหตุของหลักตัวเองที่เป็นริดสีดวงเพราะการทำงานที่ต้องนั่งนาน ๆ และหนักตรงที่ชอบกินอาหารรสจัด แถมเคี้ยวไม่ละเอียดถ่ายยาก และท้องเสียบ่อยทำให้เกิดการอักเสบบ่อยๆ
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>------------>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
สุดท้ายนี้
ส่วนผู้ที่กำลังตัดสินใจผ่าตัด ในความเห็นของตัวเองนะคะ ถ้าเคยเจ็บริดสีดวงแบบอักเสบสุดๆ คุณจะพบว่า การผ่าตัดไม่เจ็บไปมากกว่าการที่ต้องทนเจ็บริดสีดวงอักเสบ การผ่าตัดน่าจะเหมาะกับระยะที่เจ็บรุนแรง เพราะจะทำให้มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะผ่าตัดออกไป การผ่าตัดจะดีกับเราในระยะยาว และหลังผ่าตัดก็จะได้ลึกซึ้งกับสำนวนที่บอกว่า “ฟ้าหลังฝน” ค่ะ ^^
ท้ายของท้าย ^^ ต้องขอขอบคุณคุณพยาบาลท่านหนึ่งที่ได้เล่าประสบการณ์การผ่าตัดริดสีดวงของตัวเอง เลยทำให้ยิ่งมั่นใจว่า ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดค่ะ
และ ปล. หากมีคำเขียนใดที่อธิบายถึงการขับถ่ายที่ไม่เหมาะสม ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ^____^