[CR] บอสพาชิม : Maison Dunand 🇹🇭 อ้อมกอดแห่งFrench alp

กระทู้รีวิว
บอสพาชิม : Maison Dunand 🇹🇭 อ้อมกอดแห่งFrench alp

สำหรับรีวิวpart 2 นี่ขอพูดถึง Maison Dunand ร้านที่โด่งดังจากการเป็นร้านที่ได้ดาวมิชลินสตาร์เร็วที่สุดในประเทศไทย ในเวลาเพียงราวสองเดือนเท่านั้น และใน Michelin guide 2024 ทางร้านก็ยังคงรักษามาตราฐานและดาวเอาไว้ได้ 

Maison dunand เป็นร้านที่ผมว่าบรรยากาศในเวลากลางวันนั้นดีกว่า เพราะแสงแดดอ่อนๆและร่มไม้สีเขียวในบริเวณร้านนั้นชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย มื้อกลางวันจะมีเฉพาะในวันเสาร์อาทิตย์ครับ การกินไฟน์ไดน์ในเวลากลางวันนั้นก็สบายไปอีกแบบไม่แน่นมาก

บรรยากาศของร้านนั้นมีกลิ่นอายความเป็นบ้านบนเขาในฝรั่งเศสอยู่ไม่น้อย มีความรู้สึกอบอุ่นแบบง่ายเหมือน Chaletแฝงอยู่ ซึ่งแตกต่างกับ Le normandie ที่จะมีความรู้สึกแบบเป็นทางการมากกว่า  


การบริการเป็นส่วนที่ร้านทำได้ดีครับและไม่รู้สึกแตกต่างกับโรงแรมห้าดาวอย่างโอเรนเต็ล บริกรมีความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยได้ดี และมีความเป็นมืออาชีพ อย่างมีการถามแขกชาวจีนว่ารับน้ำอุ่นไหม หรือจะเป็นการถามแขกว่าต้องการให้ถ่ายรูปกลุ่มไหม ตินิดนึงตรงโต๊ะแขกที่มานั่งทีหลังแต่ได้amuse boucheก่อน แต่คงเพราะผมจองจองlast minเลยไม่ได้เตรียมไว้ครับ

เชฟที่นี้คือเชฟ Arnaud Dunand Sauthier แหง่ละชื่อร้านชัดขนาดนั้น ที่โด่งดังจากห้องอาหาร Le normandie ก่อนที่เชฟออกมาเปิดร้านของตัวเอง อาหารที่นี่นั้นผมว่ามีสไตล์แตกต่างจากที่ร้านเก่าของเชฟมากพอสมควร มีการใส่ตัวตนของเชฟและความเป็นfrench alp ลงไปในจานอาหารมากขึ้น ทั้งการใช้herbภูเขาสมุนไพรต่างๆ  อาหารเป็นสไตล์และtasteของเชฟมากขึ้น มีความกล้าที่จะเสริฟ์เมนูในแบบที่ตัวเองชอบ ต่างจากนอร์มังดีที่อาจเป็นเพราะอยู่ที่โรงแรมอาหารที่เสริฟ์จึงต้องมีความเป็นกลางและคลาสสิก มากกว่าการริเริ่มเมนูอะไรใหม่ เมนูอาหารที่นี่มีความซับซ้อนและต้องทำความเข้าใจสักนิดโดยอาจจะต่างจากรสอาหารฝรั่งเศสที่เราคุ้นลิ้นหรือแม้แต่ลูกค้าเก่าของเชฟเองก็มีสิทธิ์อาจจะช็อคได้ โดยที่นี่มีเสริฟ์เมนูเริ่มต้นที่เสริฟ์เฉพาะกลางวันในราคา 2,600 บาท และคอร์ส 3,600 4,900 7,900 ที่เสริฟ์ทั้งเย็นและกลางวัน 

โดยในวันนี้ผมเลือกคอร์ส 4900 จะต่างอยู่2-3 จานจากคอร์สใหญ่ที่มี Potato caviar จานSignature ของเชฟด้วย  เมนท์คอร์สนั้นเราสามารถเลือกได้ระหว่าง นกพิราบหรือแกะ เอาจริงเป็นตัวเลือกที่คนไทยไม่ค่อยนิยมทั้งคู่ ผมว่าถ้ามีตัวเลือกนึงง่ายๆน่าจะดีเหมือนกันครับ 

ประโยคสุดท้าย จะเลือกร้านไหนนั่นนะสิ Le normandie เป็นอีกหนึ่งร้านที่ผมกลับไปกินทุกๆปี ผมชอบกลิ่นอายความคลาสิกของทางร้าน และอาหารเมนูคลาสสิกเหมือนหลุดมาจาก Time capsule ในปัจจุบันที่ไม่น่าจะหาทานที่ไหนได้ง่ายๆอีกแล้ว 

ส่วน Maison Dunand นั้นเราจะได้พบกับอาหารฟรั่งเศสอีกสไตล์ ที่แปลกใหม่ในบ้านเรา รสของมันอาจจะไม่ใช่แบบที่เราคุ้นเคยนัก แต่ก็สนุกสนานดีที่ได้ลองครับแล้วคุณอาจจะหลงรักอาหารฟรั่งเศสสไตล์ french alp ก็เป็นได้



Cracker mountain herb และ flower  คำนี้เป็นแป้ง Philo เนื้อไม่ได้บางมากแต่ไม่เเข็งยังกรอบ รสเค็มอ่อนๆมีกลิ่นเเป้งและกลิ่นสมุนไพรต่างๆอาทิ rosemary



Waffle ฟรั่งเศสกับ ปลาไหลรมควันเเละcalamansi  คำนี้ผมว่าเเป้งนั้นเสริฟ์มาอุ่นนิดๆไม่ค่อยหวานกลาง ปลาไหลนั้นนุ่มละลายโดยส่วนตัวว่าพอผสมกับเท็กเจอร์ของวาฟเฟิลที่นุ่มเเล้วรู้สึกเท็กเจอร์เหลวไปนิด มีกลิ่นเครื่องเทศเบาๆ กลิ่นควัน รสเค็มจากปลาไหล เเละปิดท้ายด้วยรสเปรี้ยวเขียวจากcalamansi



ราตาตุยทองม้วน  คำนี้น่าสนจไม่หยอกครับ ได้รสสดชื่นจากผักนานาชนิดรสไม่จัดมาก  ตัวไส้เเม้ดูคล้ายครีมแต่ไม่เหลวมากมีเท็กเจอร์ผักนานาชนิดพอให้เคี้ยว  มีรสเผ็ดปลายรส



Amouse Bouche ผมชอบคำนี้ที่สุด แม้จะดุเรียบๆแต่แตกต่างครับ โดนัทที่เสริฟ์มาอุ่นๆนั้น แป้งฟูเบาไม่อมน้ำมัน ผิวบางเนื้อฟูนุ่ม มีไส้ครีมอุ่นรสเค็มเบาๆของBechemel ที่ทำออกมาได้ดีมากๆ



Cheese foam herb oil & herb brioche  ดดยเชฟเลือกเสริฟ์soft cheese ที่น่าจะทำจากนมแพะหรือแกะ มีกลิ่นเฉพาะตัวอ่อนๆตัดกับน้ำมันสมุนไพรที่มีกลิ่นของตะไคร้  ตัวbrioche มาแนวนุ่มๆเเต่ไม่เเน่น 



ขนมปังดีทุกตัว บริออส เนื้อฟูเบา ขนมปังไรน์กลิ่นเเป้งอ่อนกว่าตัวอื่นเท็กเจอร์นุ่มผิวไม่แข็งคล้ายเค้ก ส่วนบาเกตนั้นออกแนวผิวเเข็งเนื้อเหนียวๆรัสติกๆ  โดยเรารับประทานกับเนยบริทานี่ แบบจืด เนยเบซิลและมะเขือเทศ ผมชอบตัวนี้กลิ่นมะเขือไม่หนักมีกลิ่นเบซิลเขียวๆด้วยแปลกดีครับ และสุดท้ายคือเนยสาหร่ายกลิ่นสาหร่ายชัดเจนมีกลิ่นอายท้องทะเลครับ



Red Prawn, Nasturtium

จานนี้เป็นกุ้งแดงจากเมดิเตอร์เรเนียมและเยลลี่ดาชิ เสริฟ์มาพร้อมกับเจลเลม่อน และSabayonใบบัวบก  ผมชอบไอเดียการใช้ใบบัวบกมากๆ รสขมเขียวที่มีเอกลักษณ์ของมันนั้น ช่วยให้ความสว่างและเบรครสเข้มข้นได้ดี รสเจลลี่ดาชิที่เค็มและอุมามิเพิ่มความเข้มข้น ให้กับกุ้งเเดงเนื้อหวานของกุ้งแดงชั้นเยี่ยม ส่วนตัวว่ารสเยลลี่หนักไปจนกลบความหวาน แม้จะมีการพยายามเบรคเเละเพิ่มมิติด้วยรสเปรี้ยวอมหวานของเลม่อนและความเขียวจากใบบัวบกแล้วก็ตาม ถึงเเม้ผมอาจจะไม่ชอบรสชาติแต่ถือเป็นจานที่ปรุงได้ดีและใส่ใจในดีเทลเล็กน้อยดี 



Oyster, Anis

 จานต่อมาเชฟนำหอยนางรมจาก normandie ไปpoacheกับFennel เสริฟ์มากับ Jus หอยนางรม และซอสจากหอยผสมFenel และปิดท้ายด้วยโฟม Anise จานนี้ผมว่าไอเดียดีเลยครับแต่ด้วยความที่มันมีกลิ่นของทั้ง  Anise และ Fennel ซึ่งต่างมีกลิ่นเฉพาะทำให้คนที่ไม่ชอบกลิ่นมันอาจจะรู้สึกแปลกๆได้ แต่โดยส่วนตัวผมว่ามันเป็นการจับคู่ที่น่าสนใจและเข้ากันดี มีกลิ่นอายเอเชียคล้ายเเบบน้ำมันหอยจากJus  และมีกลิ่นตะวันตกจากเฟนเนล โดยผสมผสานให้เข้ากันด้วยโป๊ยกั๊ก รสออกแนวไลท์เบาๆแต่ยังคงมีความอุมามิจากหอยครับ



Tuna, Avocado

จานนี้เป็นจานที่ผม งงกับคอมบิเนชั่นที่สุด โดยเชฟอาจจะได้แรงบันดาลใจจาก Poke bowl ก็เป็นได้ โดยเชฟเลือกปลาทูน่าส่วนเนื้อเเดงมาเสริฟ์กับ พิทาชิโอ้ เคเปอร์เจล อโวคาโด้เจล  โดยส่วนตัวแล้วผมว่าจานนี้มันขาดความสมดุลไม่ครบรส และมีรสมันและรสของถั่วพิทาชิโอ้นั้นค่อนข้าง Overhelm ในปาก แม้จะมีรสเค็มนิดๆจากเคเปอร์มาแล้วก็ตาม รสของถั่วนั้นหลงเหลืออาฟเตอร์เทสที่ขมติดในปาก ผมไม่เข้าใจเลย 



Mushroom, Yellow Wine

จานนี้เชฟเสริฟ์เป็น Ravioli ไส้ Portabello ตัวเห็ดพอร์ทาเบลโล่ที่ฉุ่มฉ่ำด้านในถูกยัดมาในราวิโอลี่เนื้อหนาแต่ไม่เเข็ง ตัวซอสไวน์เหลืองหรือ Vin jaune อันเป็น fortifiled ไวน์ชนิดนึง ให้รสเปรี้ยวนำครีมมี่ มีกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆ เข้ากับตัวไส้เห็ดได้อย่างยอดเยี่ยม  ถั่ววอลนัทกรุบๆ  กลิ่นทรัฟเฟิลชั้นดี  ประสานกันได้อย่างลงตัว เป็นจานที่กินแล้วนึกถึงฤดูใบไม้ร่วงและทำออกมาได้อย่างดีครับ



Pigeon, Butternut

เป็นจานที่ปรุงมาได้ดีครับ เนื้อนกพิราบอบกับซอสJus ตัวเนื้อละมุนมากมีความนุ่มแต่ไม่อาบเลือดขนาดนั้น  ทำได้ดีมีมาก ตัวซอสJusนั้นมีแต่งกลิ่นด้วยเหล้าGin ที่ให้กลิ่นจูนิเปอร์อ่อนๆช่วยสร้างมิติและความอยากอาหารได้อย่างน่าสนใจ ก่อนเพิ่มมิติด้วย Oilจาก Celilac และจากอีกตัวที่น่าจะจทำจากกาแฟ 

ผมแนะนำให้ทานสลับกับขานกยัดไส้บัทเตอร์นัท รสหวานของบัทเตอรนัทpureeที่สอดไส้ด้วยขานกที่ดับกลิ่นด้วยขิงเเละสมุนไพรอื่นๆ นั้นก็ปรุงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นจานที่ดีมากๆครับ



Pre dessert 

อันนี้เหมือนเชฟจะเปลี่ยนเมนูให้เป็น Baba cake เสริฟ์มากับ fig compote  และ coconut cream โดยเหล้านั้นเชฟเลือกใช้เหล้าสมุนไพรฟรั่งเศสแทนรัมที่คุ้นชินตามปกติ  เหล้าเบาๆจุนิเปอรเเละเหล้าสมุนไพรให้กลิ่นหอมเย็น ตัวเนื้อเค้กเบาไม่แน่นนักเลยทำให้เข้ากับครีมมะพร้าวเนื้อฟูหอมเย็น เป็นจานที่อร่อยครับ



Cassis, Beaufort
เป็นขนมหวานจานสุดท้ายในวันนี้ครับ


Petit four

#Score: 

🍾Service:  8.25/10
🍽Food: 8/10
🤩WOW factor: 7.75/10
💰Value for money: 7.75/10

Total: 7.75/10

Visit : Sep-2023

🗺เเผนที่ :https://maps.app.goo.gl/8WFiamaMgY3Afxmd9
⏰เวลาเปิดปิด: 12–2:30 PMg เฉพาะวันอาทิตย์ , 5:30–9 PM ปิดทุกวันพุธ
💵ค่าเสียหาย: ~4900++ baht
⌨️เว็บไซต์ร้าน: https://maisondunand.com/

เราเป็นเพจรีวิวร้านอาหาร Fine dining แบบจริงใจและเจาะลึกทั้งในไทยทั่วโลก
ชอบช่วยกดไลค์ ใช่ช่วยกดเเชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้เรา  #บอสพาชิม #eatliketheboss

Website: www.eatlikethebossth.com
InstaGram: @eatliketheboss (https://goo.gl/DqzWfN )
FaceBook: บอสพาชิม (https://goo.gl/gHPnnG)
Blogdit: https://www.blockdit.com/eatliketheboss
Email : eatlikethebossth@gmail.com
ชื่อสินค้า:   Maison Dunand
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่