ขอคำแนะนำหน่อยครับว่าจะไกล่เกลี่ยอย่างไรดี สำหรับกรณีนี้
ผู้ถูกฟ้อง: เกษียณแล้ว, เป็นผู้สูงอายุ, มีบำนาญเล็กน้อย, ไม่มีรายได้ประจำ, แทบไม่มีประวัติเบิกเงินสดจากบัตร เครดิตเลย (ก้อนใหญ่ๆเช่นเกิน 5 หมื่น)
เหตุการณ์ ที่นำมาซึ่งการถูกฟ้อง: ถูก Call center โทรมาหลอกหลวงเรื่องมิเตอร์ไฟฟ้า และ Call center ทำการ Remote มือถือผู้เสียหาย โดยได้เอาเงินออกจากบัญชีเงินฝากไปทั้งหมด และยังไปทำธรุกรรมเบิก credit เงินสด โดยที่แน่นอนว่าผู้เสียหายในตอนนั้นไม่รู้ตัว และเมื่อรู้ตัวภายในวันนั้นได้ทำการแจ้งความอย่างเร่งด่วนทันที แต่อนิจจา mobile banking และบัญชีม้าได้โยกเงินไปไหนต่อไหนแล้ว และอีกอย่าง กฏหมายประเทศเราการอายัดบัญชีปลายทางทำได้ยากเย็นมากๆๆๆ รู้สึกว่าไม่สามารถเปิดเผยบัญชีปลายทางได้, ไม่สามารถดูให้ได้ว่าเงินถอนไปหรือยัง และแม้จะอายัดก็มีอำนาจอายัดเพียงราวๆ 72 ชั่วโมงเท่านั้น ส่วนการส่งเรื่องไปทางธนาคารปลายทางคนที่มีอำนาจทำได้คือตำรวจเจ้าของสำนวนแต่!! ตำรวจท้องที่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีมากมาย การทำเรื่องยังส่งจดหมายไปที่ธนาคารอยู่เลย ซึ่งจะไปสู้อะไรกับ ธุรกรรมแบบดิจิทัลได้
มูลหนี้ที่ฟ้อง: เกือบ 3 แสนถ้วน จากกรณีที่ Call center ทำธุรกรรมครั้งนี้ในการเบิกเครดิตเงินสดและโยกไปยังบัญชีม้าทันที ทางธนาคารเองก็อนุเคราะห์จัดเต็มสุดๆ โดยคิดดอกเบี้ย 15% และค่าธรรมเนียมอีก 1%
คำถามคือควรไกล่เกลี่ยอย่างไรดีครับ?
1. ยอมความครึ่งๆก็เหลือแสนห้า เพราะระบบ ธนาคารเองก็มีช่องโหว่เหมือนกัน กฏหมายเองก็มี จะโทษคนใช้งานอย่างเดียวก็ไม่ถูก
2. ยอมความเต็มจำนวนแต่ขอไกล่เกลี่ยเฉพาะเงินต้นและขอจ่ายขั้นต่ำรายเดือนแทน เช่น 3 พันบาท ต่อเดือน ตอนนี้แต่ละรอบบิลนี่เรียกที หลายหมื่น
3. ผสมกันระหว่างข้อ 1 และ 2
4. ปฏิเสธการจ่ายทุกกรณี ปล่อยให้โดนฟ้องไปเลยแล้วแต่ว่าจะไปจบที่ตรงไหนเพราะผู้เสียหายอายุมากแล้ว ไม่มีการทำธุรกรรมทางการเงินใดๆอีก
หรือมีแนวทางอื่นๆก็ขอคำแนะนำด้วยครับ ผู้เสียหายรู้สึกไม่อยากรับหนี้ก้อนหนี้เลยเพราะเป็นหนี้ที่ไม่มีความตั้งใจจะก่อ และไม่อยากจ้างทนายความเพื่อไปต่อสู้ในศาลทั้งสิ้นเพราะก็จะต้องเสียเงินอีกหลายหมื่น
หมายศาลมาให้ไปไกล่เกลี่ยหนี้ทำอย่างไรดีครับ? (สาเหตุจาก Call center ดูดเงินจากเครดิตไป)
ผู้ถูกฟ้อง: เกษียณแล้ว, เป็นผู้สูงอายุ, มีบำนาญเล็กน้อย, ไม่มีรายได้ประจำ, แทบไม่มีประวัติเบิกเงินสดจากบัตร เครดิตเลย (ก้อนใหญ่ๆเช่นเกิน 5 หมื่น)
เหตุการณ์ ที่นำมาซึ่งการถูกฟ้อง: ถูก Call center โทรมาหลอกหลวงเรื่องมิเตอร์ไฟฟ้า และ Call center ทำการ Remote มือถือผู้เสียหาย โดยได้เอาเงินออกจากบัญชีเงินฝากไปทั้งหมด และยังไปทำธรุกรรมเบิก credit เงินสด โดยที่แน่นอนว่าผู้เสียหายในตอนนั้นไม่รู้ตัว และเมื่อรู้ตัวภายในวันนั้นได้ทำการแจ้งความอย่างเร่งด่วนทันที แต่อนิจจา mobile banking และบัญชีม้าได้โยกเงินไปไหนต่อไหนแล้ว และอีกอย่าง กฏหมายประเทศเราการอายัดบัญชีปลายทางทำได้ยากเย็นมากๆๆๆ รู้สึกว่าไม่สามารถเปิดเผยบัญชีปลายทางได้, ไม่สามารถดูให้ได้ว่าเงินถอนไปหรือยัง และแม้จะอายัดก็มีอำนาจอายัดเพียงราวๆ 72 ชั่วโมงเท่านั้น ส่วนการส่งเรื่องไปทางธนาคารปลายทางคนที่มีอำนาจทำได้คือตำรวจเจ้าของสำนวนแต่!! ตำรวจท้องที่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีมากมาย การทำเรื่องยังส่งจดหมายไปที่ธนาคารอยู่เลย ซึ่งจะไปสู้อะไรกับ ธุรกรรมแบบดิจิทัลได้
มูลหนี้ที่ฟ้อง: เกือบ 3 แสนถ้วน จากกรณีที่ Call center ทำธุรกรรมครั้งนี้ในการเบิกเครดิตเงินสดและโยกไปยังบัญชีม้าทันที ทางธนาคารเองก็อนุเคราะห์จัดเต็มสุดๆ โดยคิดดอกเบี้ย 15% และค่าธรรมเนียมอีก 1%
คำถามคือควรไกล่เกลี่ยอย่างไรดีครับ?
1. ยอมความครึ่งๆก็เหลือแสนห้า เพราะระบบ ธนาคารเองก็มีช่องโหว่เหมือนกัน กฏหมายเองก็มี จะโทษคนใช้งานอย่างเดียวก็ไม่ถูก
2. ยอมความเต็มจำนวนแต่ขอไกล่เกลี่ยเฉพาะเงินต้นและขอจ่ายขั้นต่ำรายเดือนแทน เช่น 3 พันบาท ต่อเดือน ตอนนี้แต่ละรอบบิลนี่เรียกที หลายหมื่น
3. ผสมกันระหว่างข้อ 1 และ 2
4. ปฏิเสธการจ่ายทุกกรณี ปล่อยให้โดนฟ้องไปเลยแล้วแต่ว่าจะไปจบที่ตรงไหนเพราะผู้เสียหายอายุมากแล้ว ไม่มีการทำธุรกรรมทางการเงินใดๆอีก
หรือมีแนวทางอื่นๆก็ขอคำแนะนำด้วยครับ ผู้เสียหายรู้สึกไม่อยากรับหนี้ก้อนหนี้เลยเพราะเป็นหนี้ที่ไม่มีความตั้งใจจะก่อ และไม่อยากจ้างทนายความเพื่อไปต่อสู้ในศาลทั้งสิ้นเพราะก็จะต้องเสียเงินอีกหลายหมื่น