พวกคุณคิดว่าอย่างไรกับศาสตร์เกี่ยวกับปีชง คุณคิดเห็นอย่างไรกรุณาคอมเม้นต์โดยอิสระได้เลยครับ
ความเห็นส่วนตัว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ส่วนตัวของเรา ปีชงพึ่งจะเป็นที่รู้จักในสังคมไทยได้ประมาณ 10กว่าปีนี่เอง
สมัยก่อนไม่เคยมีคำว่าปีชงมาก่อน จนกระทั่งวัดพาณิชย์บางแห่งเริ่มเรื่องนี้ขึ้นมาและรับแก้ชง เป็นแผนการตลาดที่เล็งเห็นว่าจะทำเงินได้ดี
ช่วงแรกๆคนก็ยังไม่ค่อยสนใจมากมายอะไร จนกระทั่งมีการออกทีวี หมอดูต่างๆก็ออกมากระพือเรื่องนี้ ด้วยหวังจะเกาะกระแสสร้างชื่อเสียง
จน "ปีชง" กลายเป็นที่รู้จักของผู้คนในวงกว้าง
แรกๆก็จะมีปีชงแค่ ปีละ 1 ปีนักษัตร แต่รายได้มันยังไม่มากพอ และเมื่อเห็นโอกาสทางธุรกิจ เอาเลยจ้า ชงเพิ่มขึ้นจนเรียกได้ว่า แทบจะไม่มีปีนักษัตรไหนเลยที่ไม่ชง (มีแหละแต่น้อย)
ปัจจุบัน รายได้ของวัดที่รับแก้ชง ต่อปีอยู่ที่หลักพันล้าน!!!
อ่านไม่ผิดครับ "พันล้าน"
และยังมีแผนเปิดรับแก้ปีชงออนไลน์ด้วยครับ
แก้ชงแล้วรวยขึ้น ชีวิตดีขึ้นไหมไม่รู้ แต่ที่แน่ๆวัดที่รับทำตอนนี้ร่ำรวยไม่รู้จะรวยยังไงแล้วจ้า
เอาบทความน่าสนใจมาให้อ่านกันครับจาก Post today
"แก้ชง" มีเฉพาะประเทศไทย?
เทศกาลขึ้นปีใหม่ของทุกปี สิ่งที่คนไทยนิยมทำกันอย่างมากควบคู่ไปกับการทำบุญไหว้พระตามวัดต่างๆ คือการขนขบวนกันไป “แก้ชง” ที่วัดจีนกันอย่างคึกคักและครึกโครม แถมด้วยการซื้อเครื่องรางราคาแพงมากแพงน้อย ห้อยพกติดตัวกันตลอดปีตลอดวันกันอย่างไม่เหนื่อยหน่าย
น่าสงสัยว่า ความเชื่อในเรื่องปีชง แก้ชงที่รับอิทธิพลมาจากประเทศจีนนั้นมีมายาวนานแค่ไหน ทำไมคนไทยถึงดิ้นรนขวนขวายกับการแก้ชงอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง หรือจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่ทุ่มทุนบุญกุศลกับการนี้ การแก้ชงในประเทศไทยเริ่มต้นมีมาอย่างไร ใครที่ได้และใครที่เสีย
วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศจีนกล่าวว่า ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ไม่เคยได้ยินเรื่องการต้องไปแก้ชง พวกที่วันนี้อายุ 60 ปีขึ้นไป ก็เชื่อว่าจะไม่เคยได้ยินเช่นกัน
ตอนเด็กๆ ถ้าปีไหนชง ก็ทำกันเองในบ้านเล็กๆ น้อยๆ คุณแม่คุณยายทำให้ พอเป็นขวัญกำลังใจเด็ก แต่ปัจจุบันการแก้ชงกลายเป็นสายการผลิต เป็นโปรดักชั่นไลน์ ตอนเด็กๆ ไม่เคยดิ้นรนว่าต้องแก้ชง แต่เดี๋ยวนี้เป็นคนละเรื่อง
“ก็น่าคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนไทย เป็นเรื่องที่คนไทยต้องถามตัวเอง เหมือนกับภูเก็ตที่ต้องกินเจ กลายเป็นกินเจแฟชั่น กินเจเพื่อโปรโมทการท่องเที่ยว การแก้ชงก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้แก้ชงกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน หลายเจ้าหลายสำนัก กลายเป็นพิธีพาณิชย์ เพื่อขายของแก้ชงกันแบบผลิตไม่ทัน”
วิโรจน์ กล่าวอีกว่า การแก้ชงในทุกวันนี้กลายเป็นพิธีเพื่อหวังผล ที่ดูน่ากลัวในมุมที่ว่า คนเราห่างจากศาสนาไปทุกที เข้าข่ายน่าเคลือบแคลง น่าสงสัย ต้องตั้งคำถามถามกันเองว่า แก้ชงแล้วได้ผลหรือไม่ ได้ผลจริงหรือ ทำไมช่างมหัศจรรย์จังเลย แย่งสามีชาวบ้านเสร็จแล้วทำพิธีแก้ชง พูดปดมาตลอดทั้งปีแล้วแก้ชง แก้แล้วก็หายกันอย่างนั้นหรือ ขัดกับหลักพระพุทธศาสนามาก
“ศาสนาพุทธสอนให้เราเชื่อในกฎแห่งกรรม คือการกระทำ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กงเกวียนกำเกวียน พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้หมดแล้ว แต่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ชีวิตคนมีดีแล้วก็มีชั่ว ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหนเป็นของจริง ดอกไม้ไม่แดงทั้งร้อยวัน ดอกไม้ที่แดงร้อยวันคือดอกไม้พลาสติก บางปีดีก็เสวยบุญ ปีไหนไม่ดีก็เสวยวิบากไปซิ กลัวอะไรกับชีวิต”
เรื่องแก้ชงต้องตั้งสติกันใหม่ เพราะ 1.การแก้ชงไม่ได้ให้ผลทันตา ไม่ใช่คทาวิเศษที่โบกให้ซวยไปเฮงมาได้ในบัดดล
2.ประเทศไทยเป็นประเทศที่ยึดในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็เมื่อหนึ่งในหลักยึดคือศาสนา พระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งสอนไว้แล้วในเรื่องกฎแห่งกรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี พูดดี ทำดี คิดดี เชื่อมั่น ก็ไม่ต้องไปแก้ชง
นั่นเป็นการตั้งข้อสังเกตของผู้เชี่ยวชาญวัฒนธรรมจีน แต่สำหรับผู้คลุกคลีกับศาสตร์แห่งฮวงจุ้ย คฑา ชินบัญชร กูรูคนดังด้านฮวงจุ้ยว่า เรื่องการแก้ชงเป็นคติความเชื่อเก่าแก่ของจีน สืบทอดมานานกว่าพันปี รากฐานที่ยาวนานสะท้อนให้เห็นว่า ถ้าไม่ดีจริงคงอยู่ไม่ได้นานขนาดนี้ โดยคนจีนถือที่สุดคือการกตัญญู การบูชาต่อผู้มีพระคุณ ได้แก่ พ่อแม่บรรพบุรุษ ท้องฟ้า แสงสว่าง พื้นดิน โลกและดวงอาทิตย์ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีพืชผล ไม่มีข้าวปลาธัญญาหารให้กิน วันแรกของฤดูใบไม้ผลิหรือวันขึ้นปีใหม่ จึงทำพิธีบูชาระลึกคุณ
เรื่องการไหว้เจ้าขอพรในวันขึ้นปีใหม่ของจีน เป็นไปตามหลักการธาตุทางธรรมชาติ 5 ธาตุ คือ ดิน น้ำ ไม้ ไฟ ทอง ซึ่งหมุนเวียนไปในแต่ละปี สืบเนื่องไปถึงเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยะประจำปีที่เป็นตัวแทนธาตุหลักของปีนั้นๆ 1 รอบมี 60 ปี หรือ 60 องค์ ทำให้ในแต่ละปีเกิดการพิฆาตกันระหว่างธาตุ หรือส่งเสริมกันระหว่าง 5 ธาตุดังกล่าว และเป็นต้นเหตุของปีปะทะชน หรือชง (ปีที่ไม่ดี) กับปีฮะ (ปีที่ดี) นั่นเอง
“เมื่อเกิดปีชงกับเจ้า หรือปะทะชนกับเจ้า จึงเป็นที่มาของการแก้ชง โดยไปขอพรจากไท้ส่วยเอี๊ยะ ในเมื่อท่านไม่ชอบเรา เราก็สู้อุตส่าห์มาไหว้ซูฮกท่านแล้ว ก็เรียกว่ามาขอเมตตาท่าน คนจีนเวลาไปไหว้แก้ชง เขาก็แห่กันไปไหว้นะ อย่างวัดหวังต้าเซียน และวัดแชกง ในฮ่องกง จริงๆ เขาก็ไหว้แก้ชงกันทั้งโลกที่มีคนจีนอาศัยอยู่”
การไหว้พระขอพรหรือการแก้ชง ไม่ใช่เรื่องงมงาย แต่เป็นเรื่องเตือนสติคนไหว้ เพราะต้องไปไหว้ที่วัด ก็ต้องไหว้ทั้งเจ้าทั้งพระ ทำให้ได้ระลึกคุณพระพุทธองค์ ได้ระลึกถึงพระธรรมคำสอนของท่าน ไปที่วัดต้องเจอพระเจอนักบวช ก็ได้ไหว้พระ ได้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ถือเป็นสิริมงคลตั้งแต่ต้นปี ทำให้มีจิตที่ตื่นรู้เบิกบาน แม้มีปีปะทะชง ก็มีสติตั้งรับ มีสติรู้ระวังตัว
“ปีไหนปีชง ก็เข้าวัดเพื่อเตือนสติตัวเอง เรื่องแก้ชงนี้คนจีนไม่ได้ทำด้วยความเป็นกระแส แต่ทำด้วยความเชื่อถือในหลักธรรมชาติ คนเรามีเกิดมีดับมีดีมีเลวเป็นไป แต่เรื่องของจิตต้องตื่นรู้ ใช้โอกาสในปีชง ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท”
คฑาบอกว่า เมื่อเรื่องแก้ชงนี้มาอยู่กับคนไทย ก็น่ากลัวเหมือนกัน อยากเตือนให้ทำด้วยสติ การสักการะโดยไม่งมงายเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ เพราะการแก้ชงนั้น แท้จริงแล้วก็คือการเรียกสติสัมปชัญญะ ตั้งตนอยู่ในความรู้ตัวทั่วพร้อม การแก้ชงก็ควรเป็นไปด้วยหลักการคิดเดียวกัน
“การที่ทางวัดจำหน่ายของแก้ชง หรือหมอดูขายของแก้ชง อันนี้ก็แล้วแต่ความสามารถของผู้ซื้อ ถ้าแพงเกินไป ก็อย่าซื้อ แค่นี้ก็จบ เรื่องแก้ชงในเมืองไทยกลายเป็นกระแสอย่างขาดสติ ก็เพราะคนขาดสติยั้งคิดในการไหว้ คือคนที่ตกเป็นเหยื่อ ไม่ได้แต่คือเสีย จริงๆ แล้วแค่ยกมือไหว้องค์ไท้ส่วยเอี๊ยะ เพียงเท่านี้ก็เป็นมงคลแก่ตัว คุ้มตัวได้ตลอดปีเช่นกัน”
คฑาสรุปในตอนท้ายให้ขบคิดว่า เรื่องไหว้เจ้าแก้ชงที่เป็นกระแสก็เป็นกระแสจริงๆ แต่ที่เขาไหว้กันอย่างมีความรู้มีสติมีหลักการก็มีจริงๆ ก็ต้องถามคนไทยว่าจะไหว้อย่างไหน เรื่องกระแสแก้ชงเกิดขึ้นในไทยเมื่อสัก 10 ปีที่ผ่านมานี้เอง เริ่มเมื่อในสังคมของเรามีหมอดูที่ค้าขายของ มีซินแสที่คิดเรื่องธุรกิจ คนบางคนหัวหมอ ก็นำเรื่องความเชื่อมาหาเงินทอง ประกอบกับโซเชียลมีเดีย ที่ทำให้เรื่องพวกนี้ไปเร็ว ขยายเร็ว
ปีชง เรื่องจริง หรือลวงโลก?
ความเห็นส่วนตัว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เอาบทความน่าสนใจมาให้อ่านกันครับจาก Post today
"แก้ชง" มีเฉพาะประเทศไทย?
เทศกาลขึ้นปีใหม่ของทุกปี สิ่งที่คนไทยนิยมทำกันอย่างมากควบคู่ไปกับการทำบุญไหว้พระตามวัดต่างๆ คือการขนขบวนกันไป “แก้ชง” ที่วัดจีนกันอย่างคึกคักและครึกโครม แถมด้วยการซื้อเครื่องรางราคาแพงมากแพงน้อย ห้อยพกติดตัวกันตลอดปีตลอดวันกันอย่างไม่เหนื่อยหน่าย
น่าสงสัยว่า ความเชื่อในเรื่องปีชง แก้ชงที่รับอิทธิพลมาจากประเทศจีนนั้นมีมายาวนานแค่ไหน ทำไมคนไทยถึงดิ้นรนขวนขวายกับการแก้ชงอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง หรือจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่ทุ่มทุนบุญกุศลกับการนี้ การแก้ชงในประเทศไทยเริ่มต้นมีมาอย่างไร ใครที่ได้และใครที่เสีย
วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศจีนกล่าวว่า ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ไม่เคยได้ยินเรื่องการต้องไปแก้ชง พวกที่วันนี้อายุ 60 ปีขึ้นไป ก็เชื่อว่าจะไม่เคยได้ยินเช่นกัน
ตอนเด็กๆ ถ้าปีไหนชง ก็ทำกันเองในบ้านเล็กๆ น้อยๆ คุณแม่คุณยายทำให้ พอเป็นขวัญกำลังใจเด็ก แต่ปัจจุบันการแก้ชงกลายเป็นสายการผลิต เป็นโปรดักชั่นไลน์ ตอนเด็กๆ ไม่เคยดิ้นรนว่าต้องแก้ชง แต่เดี๋ยวนี้เป็นคนละเรื่อง
“ก็น่าคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนไทย เป็นเรื่องที่คนไทยต้องถามตัวเอง เหมือนกับภูเก็ตที่ต้องกินเจ กลายเป็นกินเจแฟชั่น กินเจเพื่อโปรโมทการท่องเที่ยว การแก้ชงก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้แก้ชงกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน หลายเจ้าหลายสำนัก กลายเป็นพิธีพาณิชย์ เพื่อขายของแก้ชงกันแบบผลิตไม่ทัน”
วิโรจน์ กล่าวอีกว่า การแก้ชงในทุกวันนี้กลายเป็นพิธีเพื่อหวังผล ที่ดูน่ากลัวในมุมที่ว่า คนเราห่างจากศาสนาไปทุกที เข้าข่ายน่าเคลือบแคลง น่าสงสัย ต้องตั้งคำถามถามกันเองว่า แก้ชงแล้วได้ผลหรือไม่ ได้ผลจริงหรือ ทำไมช่างมหัศจรรย์จังเลย แย่งสามีชาวบ้านเสร็จแล้วทำพิธีแก้ชง พูดปดมาตลอดทั้งปีแล้วแก้ชง แก้แล้วก็หายกันอย่างนั้นหรือ ขัดกับหลักพระพุทธศาสนามาก
“ศาสนาพุทธสอนให้เราเชื่อในกฎแห่งกรรม คือการกระทำ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กงเกวียนกำเกวียน พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้หมดแล้ว แต่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ชีวิตคนมีดีแล้วก็มีชั่ว ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหนเป็นของจริง ดอกไม้ไม่แดงทั้งร้อยวัน ดอกไม้ที่แดงร้อยวันคือดอกไม้พลาสติก บางปีดีก็เสวยบุญ ปีไหนไม่ดีก็เสวยวิบากไปซิ กลัวอะไรกับชีวิต”
เรื่องแก้ชงต้องตั้งสติกันใหม่ เพราะ 1.การแก้ชงไม่ได้ให้ผลทันตา ไม่ใช่คทาวิเศษที่โบกให้ซวยไปเฮงมาได้ในบัดดล
2.ประเทศไทยเป็นประเทศที่ยึดในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็เมื่อหนึ่งในหลักยึดคือศาสนา พระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งสอนไว้แล้วในเรื่องกฎแห่งกรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี พูดดี ทำดี คิดดี เชื่อมั่น ก็ไม่ต้องไปแก้ชง
นั่นเป็นการตั้งข้อสังเกตของผู้เชี่ยวชาญวัฒนธรรมจีน แต่สำหรับผู้คลุกคลีกับศาสตร์แห่งฮวงจุ้ย คฑา ชินบัญชร กูรูคนดังด้านฮวงจุ้ยว่า เรื่องการแก้ชงเป็นคติความเชื่อเก่าแก่ของจีน สืบทอดมานานกว่าพันปี รากฐานที่ยาวนานสะท้อนให้เห็นว่า ถ้าไม่ดีจริงคงอยู่ไม่ได้นานขนาดนี้ โดยคนจีนถือที่สุดคือการกตัญญู การบูชาต่อผู้มีพระคุณ ได้แก่ พ่อแม่บรรพบุรุษ ท้องฟ้า แสงสว่าง พื้นดิน โลกและดวงอาทิตย์ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีพืชผล ไม่มีข้าวปลาธัญญาหารให้กิน วันแรกของฤดูใบไม้ผลิหรือวันขึ้นปีใหม่ จึงทำพิธีบูชาระลึกคุณ
เรื่องการไหว้เจ้าขอพรในวันขึ้นปีใหม่ของจีน เป็นไปตามหลักการธาตุทางธรรมชาติ 5 ธาตุ คือ ดิน น้ำ ไม้ ไฟ ทอง ซึ่งหมุนเวียนไปในแต่ละปี สืบเนื่องไปถึงเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยะประจำปีที่เป็นตัวแทนธาตุหลักของปีนั้นๆ 1 รอบมี 60 ปี หรือ 60 องค์ ทำให้ในแต่ละปีเกิดการพิฆาตกันระหว่างธาตุ หรือส่งเสริมกันระหว่าง 5 ธาตุดังกล่าว และเป็นต้นเหตุของปีปะทะชน หรือชง (ปีที่ไม่ดี) กับปีฮะ (ปีที่ดี) นั่นเอง
“เมื่อเกิดปีชงกับเจ้า หรือปะทะชนกับเจ้า จึงเป็นที่มาของการแก้ชง โดยไปขอพรจากไท้ส่วยเอี๊ยะ ในเมื่อท่านไม่ชอบเรา เราก็สู้อุตส่าห์มาไหว้ซูฮกท่านแล้ว ก็เรียกว่ามาขอเมตตาท่าน คนจีนเวลาไปไหว้แก้ชง เขาก็แห่กันไปไหว้นะ อย่างวัดหวังต้าเซียน และวัดแชกง ในฮ่องกง จริงๆ เขาก็ไหว้แก้ชงกันทั้งโลกที่มีคนจีนอาศัยอยู่”
การไหว้พระขอพรหรือการแก้ชง ไม่ใช่เรื่องงมงาย แต่เป็นเรื่องเตือนสติคนไหว้ เพราะต้องไปไหว้ที่วัด ก็ต้องไหว้ทั้งเจ้าทั้งพระ ทำให้ได้ระลึกคุณพระพุทธองค์ ได้ระลึกถึงพระธรรมคำสอนของท่าน ไปที่วัดต้องเจอพระเจอนักบวช ก็ได้ไหว้พระ ได้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ถือเป็นสิริมงคลตั้งแต่ต้นปี ทำให้มีจิตที่ตื่นรู้เบิกบาน แม้มีปีปะทะชง ก็มีสติตั้งรับ มีสติรู้ระวังตัว
“ปีไหนปีชง ก็เข้าวัดเพื่อเตือนสติตัวเอง เรื่องแก้ชงนี้คนจีนไม่ได้ทำด้วยความเป็นกระแส แต่ทำด้วยความเชื่อถือในหลักธรรมชาติ คนเรามีเกิดมีดับมีดีมีเลวเป็นไป แต่เรื่องของจิตต้องตื่นรู้ ใช้โอกาสในปีชง ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท”
คฑาบอกว่า เมื่อเรื่องแก้ชงนี้มาอยู่กับคนไทย ก็น่ากลัวเหมือนกัน อยากเตือนให้ทำด้วยสติ การสักการะโดยไม่งมงายเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ เพราะการแก้ชงนั้น แท้จริงแล้วก็คือการเรียกสติสัมปชัญญะ ตั้งตนอยู่ในความรู้ตัวทั่วพร้อม การแก้ชงก็ควรเป็นไปด้วยหลักการคิดเดียวกัน
“การที่ทางวัดจำหน่ายของแก้ชง หรือหมอดูขายของแก้ชง อันนี้ก็แล้วแต่ความสามารถของผู้ซื้อ ถ้าแพงเกินไป ก็อย่าซื้อ แค่นี้ก็จบ เรื่องแก้ชงในเมืองไทยกลายเป็นกระแสอย่างขาดสติ ก็เพราะคนขาดสติยั้งคิดในการไหว้ คือคนที่ตกเป็นเหยื่อ ไม่ได้แต่คือเสีย จริงๆ แล้วแค่ยกมือไหว้องค์ไท้ส่วยเอี๊ยะ เพียงเท่านี้ก็เป็นมงคลแก่ตัว คุ้มตัวได้ตลอดปีเช่นกัน”
คฑาสรุปในตอนท้ายให้ขบคิดว่า เรื่องไหว้เจ้าแก้ชงที่เป็นกระแสก็เป็นกระแสจริงๆ แต่ที่เขาไหว้กันอย่างมีความรู้มีสติมีหลักการก็มีจริงๆ ก็ต้องถามคนไทยว่าจะไหว้อย่างไหน เรื่องกระแสแก้ชงเกิดขึ้นในไทยเมื่อสัก 10 ปีที่ผ่านมานี้เอง เริ่มเมื่อในสังคมของเรามีหมอดูที่ค้าขายของ มีซินแสที่คิดเรื่องธุรกิจ คนบางคนหัวหมอ ก็นำเรื่องความเชื่อมาหาเงินทอง ประกอบกับโซเชียลมีเดีย ที่ทำให้เรื่องพวกนี้ไปเร็ว ขยายเร็ว