ความทุกข์ของเราอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องคอขาดบาดตายสำหรับใคร แต่เราทนไม่ไหวแล้วค่ะ
เราเป็นลูกชาวสวนที่พ่อแม่มีฐานะนิดหน่อย เราโตมาไม่ขาดเหลืออะไรค่ะ การเรียนดี นิสัยเป็นที่ยอมรับ เป็นเด็กที่ทำกิจกรรมวิชาการได้รางวัลมากมาย พ่อแม่บอกเราเสมอว่าเค้าไม่หวังพึ่งพาอะไรเรา พ่อแม่เราเป็นคนที่รักพ่อแม่ของเค้ามากค่ะ รักแบบที่ยอมทำทุกอย่าง เผื่อให้พ่อแม่หันมารักพวกเค้าบ้าง แม่แอบให้เงินยายเป็นฟ่อน ๆ แบบไม่ให้พ่อรู้ เลี้ยงดูบ้านยายที่มีน้อง ๆ และหลาน ๆ ที่ฟุ้งเฟ้อ พ่อคือคนที่ปู่ย่าและพี่น้องหลอกใช้เงินทำงานให้ช่วยเหลือฟรี ๆ เสมอ เมื่อ40 ปีก่อน ลุงเรียนที่แม่โจ้ ย่าหลอกให้พ่อแบกของขึ้นไปให้ลุงจากทางใต้ ทั้งที่ในบ้านมีพี่น้อง 14 คน และลุงคือคนที่แย่งสิทธิ์การเรียนไปจากพ่อ อายุห่างกันปีเดียว ย่าส่งได้คนเดียว ลุงเลยเอาบุหรี่ยัดกระเป๋าพ่อแล้วฟ้องครู ทุกคนเชื่อลุงหมดเพราะลุงพูดเก่ง ย่าก็รักลุงเป็นพิเศษ ตอนเด็ก ๆ เข้าใจว่า ย่าคือคนที่สุภาพอ่อนโยนอ่อนหวานที่สุด ยากจะเห็นคนแบบนี้ในหมู่ชาวบ้านคนใต้ โตมาถึงรู้ ย่าแสดงออกว่าออ่อนโยนเพราะจะหลอกใช้พ่อเท่านั้นทั้งที่พ่อคือลูกที่บ้านออยู่ไกลที่สุด พี่น้องคนอื่นอยู่ใกล้บ้านย่าทั้งนั้น ฝั่งแม่ก็ไม่น้อยหน้า มีพี่น้อง 5 คน เป้นลูกคนที่ 2 แต่เป็นลูกสาวคนโต มีพี่ชาย 1 คน น้องสาว 3 คน ลุงคือคนที่ตากับยายรักที่สุด มีอาชีพเป็นคนขายไม้ยางพารา ปกติต้องเอาเงินก้อนโตไปซื้อไม้ยางจากเจ้าของสวนก่อน ไปตัดไม้มาแล้วไปขายถึงได้เงินคืน มาให้แม่เป็นคนออกเงินให้เจ้าของสวนก่อน ให้ค้ำประกันผ่อนซื้อเครื่องเลื่อยเครื่องมือ จากนั้นได้เงินแล้วหนีไปอยู่กับเมียน้อย รวมหนี้ที่แม่ต้องจัดการคือ 10 ล้าน แล้วเหตุการณ์ก็วน ๆ ประมาณนี้มาตลอด เดี๋ยวพ่อแม่ เดี๋ยวพี่น้องคนนั้นคนนี้ พ่อแม่นี่หนักสุด คำแรกที่เราเกลียดและสิ้นศรัทธาคือคำว่า ญาติพี่น้องและครอบครัว
เราโตมาปกติ ผลการเรียนเราดี เราแข่งปกิณกะสารคดีบทความได้ที่ 1 บ่อย ๆ เวลามีใครชมให้ฟัง พ่อกับแม่ไม่เคยชมเราต่อและพูดออกมาบ่อย ๆ ว่า มันคือผลที่เค้าควรได้เพราะเค้าลงทุน เค้าไม่เคยชมเราซักเรื่อง เค้าให้ในสิ่งที่เราขอ แต่เราต้องทำแบบเดียวกับที่ส่งรายงาน ต้องมีเพราะว่า ประโยชน์คือ ได้มาแล้วเราจะทำอะไรตอบแทน จริงๆ เค้าก็ดี เค้าก็ให้ได้ในสิ่งที่ให้ได้ และเราก็ไม่เคยขออะไรที่มันเกินไปหรือราคาแพง แพงสุดของเราคงเป็นขอซื้อหนังสือเนื้อเพลงลูกกรุงราคา 400 บาท เรารู้สึกว่าเราแปลกจากคนอื่น ยิ่งเราเขียนอะไรได้ดีเรายิ่งพบว่าเราคิดมาก เราละเอียดอ่อนอ่อนไหวเกินไป เราพบว่ามันหาที่รู้สึกปลอดภัยอยู่ได้ยาก แต่เราก็อยุ่กับมันมาเรื่อย ๆ เราพยายามรับผิดชอบในสิ่งที่ควรเป็น แต่เราก็พบว่าเราไม่มีความสุขกับอะไรเลยในชีวิตตั้งแต่เราปีหนึ่ง
ตอน 9 ขวบ แม่กำลังมีน้อง ก่อนหน้าจะมีเราแม่เคยท้องและแท้งเพราะตอนนั้นไปบ้านย่าลำบาก เด็กที่เสียไปเป็นผู้ชาย ตอนแม่ท้องแม่ไม่บอกเรา ให้เราไปนอนกับน้า ๆ บ้านยาย แล้วเราโดนส่งเข้านอนด้วยคำพูดสนุกปากของผู้ใหญ่ว่า เรากำลังจะเป็นหมาหัวเน่า มีน้องแล้วใครก็จะไม่ต้องการเราแล้ว มีน้องแล้วก็มีหลายอย่างเกิดขึ้น น้องเป็นเด็กผู้ชายที่มาพร้อมฝันที่ดูมีนิมิตหมายอันดีในใจพ่อแม่ เราดูโตเป็นเด็กเรียกร้องความรักในสมัยนั้นและเราก็ทำมันครั้งแรก เราเอาตัวเองไปยืนรอพ่อแม่กลับบ้านอยุ่ตรงขื่อที่เราผูกเชือกไว้ รอจนพ่อแม่เปิดประตูมาเจอ จำไม่ได้ว่าทำไมทำแบบนั้น แต่จำได้ว่าพ่อท้า แล้วเราก็คล้องคอตัวเองแล้วกระโดดลงมา พ่อเข้ามารับได้ทัน ต่อมาก็ทะเลาะกันเรื่องน้องอีก เราก็กินยานอนหลับ สมัยนั้นยังขายอยู่ตามร้านขายยา พ่อซื้อมาไว้ เราก็กินต่อหน้าเค้า แล้วมาตื่นอีกทีที่โรงพยาบาล เราก็ไม่รู้ทำไม ทำไมมันเป็นแบบนั้น ทำไมเราเลือกทางนั้น เราเพิ่งมาเล่าให้เพื่อนฟัง หลังจากนั้นก็ตอนที่เราพบแล้วว่าเราไม่มีความสุขกับชีวิตเลยตอนปี 1 ปิดเทอมปี 1 เราไปเที่ยวเกาะกับเพื่อน ๆ กลุ่มมัธยมที่เพิ่งได้กลับมาเจอกัน ไปลอดถ้ำที่ถ้ำมรกต ขากลับไกด์เราทำเท่ด้วยการให้คณะทัวร์ไปก่อนเอาคอนเนคชั่นแล้วให้พวกเราลอดถ้ำกลับไปตอนน้ำท่วมมิดแล้ว เราจำความกว้างถ้ำตอนลอดกลับมาไม่ได้ตรงทางเข้าจากอ่าวเเล็ก ๆด้านในถ้ำ เราใส่เสื้อชูชีพ ต้องปิดจมูกข้างนึงแล้วนอนหงายแล้วพยายามไต่ออกไปถ้ำอีกฝาก เราก็พยายามทำ แต่เราตัวใหญ่ เราไปได้ช้า เราต้านแรงน้ำไม่ไหว แล้วเราไม่รุ้คิดอะไร เราก็ทิ้งตัว ปล่อยไป ไม่ไหวแล้วนี่ แล้วเพื่อนที่รออีกฝากก็กระชากเราขึ้นมา จากนั้นทุกคนก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เที่ยวกันตามปกติ แล้วล่าสุดคือเราไม่สบาย เราพยายามไปออกกำลังกายให้มากขึ้น วันนึงที่หน้ามืดมองอะไรไม่เห็น อยู่คนเดียว เลยค่อย ๆ เดินไปนอนแผ่หราบนเก้าอี้หัก ๆ แถวนั้น มีคนกวาดลานอยุ่ไกล ๆ ไม่สนใจเรา ที่สวนไม่มีใครแล้ว เรามองไม่เห็น ในตาเหมือนเห้นหมอกสีดำ ๆ เต็มตา เราก็ไม่รุ้ทำไมว่าเราไม่โทรหากู้ภัย ไม่โทรหาใคร ที่เราไปทิ้งตัวตรงม้านั่งเพราะมองไม่เห็น อยากหาที่นั่ง เราก็ไม่เข้าใจตัวเอง เล่าให้พเอนฟัง เพื่อนบอกว่า
จัง ไม่พยายามแม้แต่จะมีชีวิต
หลังจากที่เรากลับมาจากเกาะ เราก็ใช้ชีวิตปกติ เรายังรับผิดชอบในสิ่งที่ควรทำ แต่เราก็พบแล้วว่าตัวเองไม่มีความสุขในชีวิตเลย ไม่มีฝัน ไม่มีหวังอะไร ไม่อยากได้ อยากเป็น หรือยากมีอะไร เราไม่วาดฝันอะไรเลย ผู้ใหญ่ที่รู้จักเราบอกว่าเพราะเราโตมาอย่างไม่ลำบาก เราเลยไม่เคยมีภาพชัดว่าไม่มีเงินแล้วมันจะยังไง และเราก็ไม่ใช่คนละโมบ จึงไม่มีแรงผลักให้อยากทำอะไร ต่อมาในกิจกรรมรับน้อง เราขาหัก ต้องพัก 1 เทอม จบช้ากว่าคนอื่น แต่เราก็ยังได้ทุนไปเรียนจีนอีกหลายคลาส แต่หลังจากขาหัก ที่บ้านซื้อมอไซต์ให้เราขับไปเรียน เราไม่ได้ขอ แต่ที่บ้านก็เมมไว้ว่าเราขอ เค้าเป็นแบบนี้ มาหาเราจ่ายค่าน้ำมันเท่าไหร่ก็ลงในรายจ่ายไว้ว่า คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากเรา แล้วแต่ละปีก็จะสรุปให้เราฟังว่ามีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเราเท่าไหร่ ตอนไปจีนจ่ายค่าโทรทางไกลเท่าไหร่ก็ลงรายละเอียดว่าคือค่าใช้จ่ายของเรา
มาอยุ่ไกลกันแล้วเราไม่ได้เกลียดน้องเหมือนเดิม คงเพราะไม่ค่อยมีอะไรเกิดขึ้น ที่บ้านเลี้ยงให้เรายอมน้องทุกอย่าง น้องอยากดูอะไรต้องให้สิทธิ์น้องก่อน เรารับผิดชอบงานบ้านเยอะมากโดยไม่ได้อิดออดอะไรเลย น้องแม่ต้องจ้างล้างจานครั้งละสองพัน น้องมีเงินเก็บมากมาย ขออะไรพ่อแม่เลยไม่เคยซื้อให้ น้องเลยเมมในหัวว่ามีแต่เราที่ได้ทุกอย่าง เค้าต้องซื้อเอง แต่เราไม่เคยได้รับค่าจ้างอะไรเลยนะ มีสอบมีธุระอะไร เราก็ยังต้องไปช่วยเก็บน้ำยางก่อนกลับมาทำงานบ้านแล้วถึงไปธุระได้ ปกติเค้าก็ไม่ชอบให้เราไปไหนมาไหน ทั้งไปกิจกรรมกับโรงเรียนหรือไปเที่ยวเล่นธรรมดากับเพื่อนในห้างใกล้บ้าน สำหรับเค้านอกจากพ่อแม่พี่น้องของเค้า ไม่มีใครดีเลย แต่เราก็ยังได้เดินทางเยอะทั้งที่เราไม่ได้ชอบเที่ยวแต่ทั้งหมดเพราะเป็นตัวแทนกิจกรรมหรือได้รับทุน แต่น้องเราเป็นคนชอบเที่ยว แต่พ่อแม่ก็ไม่ให้เค้าไปไหนเลยเหมือนกัน น้องก็โกรธว่าเราได้ไป แต่ตัวเค้าสมองดีแต่ไม่เคยพยายามเลย ไม่ตั้งใจเรียน ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น เราคุยกันปกติดีกับน้อง สุภาพต่อกันดี แต่เวลาเค้าโกรธ เค้าก็ทะลุมาแบบนั้น ว่าพี่ได้ทุกอย่าง เป็นเค้าที่ไม่เคยได้อะไรเลย มันก็เลยเป็นปมในใจเราเล็ก ๆ ว่า จริงๆ แล้วกเค้ารู้สึกดีกับเราแบบวันปกติ หรือจริง ๆใจเกลียดเราแบบเวลาเค้าโกรธ
เราจบแล้วได้ไปทำงานที่จีน ต่อมากลับไทยช่วงนึง เรารู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ ที่ข้างสะดือขวา คิดว่าน่าจะเป็นไส้ติ่งเลยกะจะกลับมาผ่าที่นี่ให้เรียบร้อย แต่ตรวจแล้วโรงพยาบาลแจ้งว่าติดเชื้อในกระแสเลือด ไม่รุ้ตอนนั้นโรงพยาบาลจะเลี้ยงไข้หรืออะไรไม่บอกให้ละเอียดว่าคือติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะเพราะเราอยุ่เมืองหนาวนาน ร่างกายมันชินจนไม่ลุกไปฉี่ กลั้นฉี่ไปเอง ในฉี่เวลาฉี่เลยมีเส้นสีเลือดปนมา ไม่บอกให้ละเอียดเรามารุ้จากรพ.อื่น ที่บ้านรู้แค่นั้นก็โวยวายใหญ่ ไม่ให้เรากลับไปจีนอีก เพราะคิดว่าสาเหตุมาจากอาหารการกินที่จีน เราเสียใจมากเพราะเรามีสิ่งมากมายที่นั่น สังคมที่เราสร้างไว้ ผลงาน ทุนเรียนต่อ แล้วเราก็ออกมาอยุ่คนเดียว พยายามเริ่มใหม่จากทุกอย่าง ก็ค่อนข้างแย่เพราะพอเริ่มตรวจก็เจอว่าเป็นความดัน เบาหวาน ปลายประสาทอักเสล กระเพาะ แต่ไขมันไม่เกิน เราเกิดมาอ้วน พ่อแม่ก็อ้วน เราอ้วนมาทั้งชีวิต ผอมสุดตอนมัธยมก็จำได้ว่าหนัก 69 กก. เราปล่อยตัวแบบไม่รุ้สึกผิดจนน้ำหนัก 111 กก. เราไม่ได้ติดหวานแต่เราติดแป้ง เราชอบทานข้าวขาว สปาเกตตี้ ขนมจีน เรารู้ตัวเราก็พยายามลดเรื่อยมาจนตอนนี้เหลือ 90 ลองผิดลองถูกหาความรุ้ไปเรื่อย ๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจนเปลี่ยนจากนิสัยจริง ๆ
ชีวิตที่มันพังไปแล้ว มันซ่อมได้จริง ๆ เหรอคะ
เราเป็นลูกชาวสวนที่พ่อแม่มีฐานะนิดหน่อย เราโตมาไม่ขาดเหลืออะไรค่ะ การเรียนดี นิสัยเป็นที่ยอมรับ เป็นเด็กที่ทำกิจกรรมวิชาการได้รางวัลมากมาย พ่อแม่บอกเราเสมอว่าเค้าไม่หวังพึ่งพาอะไรเรา พ่อแม่เราเป็นคนที่รักพ่อแม่ของเค้ามากค่ะ รักแบบที่ยอมทำทุกอย่าง เผื่อให้พ่อแม่หันมารักพวกเค้าบ้าง แม่แอบให้เงินยายเป็นฟ่อน ๆ แบบไม่ให้พ่อรู้ เลี้ยงดูบ้านยายที่มีน้อง ๆ และหลาน ๆ ที่ฟุ้งเฟ้อ พ่อคือคนที่ปู่ย่าและพี่น้องหลอกใช้เงินทำงานให้ช่วยเหลือฟรี ๆ เสมอ เมื่อ40 ปีก่อน ลุงเรียนที่แม่โจ้ ย่าหลอกให้พ่อแบกของขึ้นไปให้ลุงจากทางใต้ ทั้งที่ในบ้านมีพี่น้อง 14 คน และลุงคือคนที่แย่งสิทธิ์การเรียนไปจากพ่อ อายุห่างกันปีเดียว ย่าส่งได้คนเดียว ลุงเลยเอาบุหรี่ยัดกระเป๋าพ่อแล้วฟ้องครู ทุกคนเชื่อลุงหมดเพราะลุงพูดเก่ง ย่าก็รักลุงเป็นพิเศษ ตอนเด็ก ๆ เข้าใจว่า ย่าคือคนที่สุภาพอ่อนโยนอ่อนหวานที่สุด ยากจะเห็นคนแบบนี้ในหมู่ชาวบ้านคนใต้ โตมาถึงรู้ ย่าแสดงออกว่าออ่อนโยนเพราะจะหลอกใช้พ่อเท่านั้นทั้งที่พ่อคือลูกที่บ้านออยู่ไกลที่สุด พี่น้องคนอื่นอยู่ใกล้บ้านย่าทั้งนั้น ฝั่งแม่ก็ไม่น้อยหน้า มีพี่น้อง 5 คน เป้นลูกคนที่ 2 แต่เป็นลูกสาวคนโต มีพี่ชาย 1 คน น้องสาว 3 คน ลุงคือคนที่ตากับยายรักที่สุด มีอาชีพเป็นคนขายไม้ยางพารา ปกติต้องเอาเงินก้อนโตไปซื้อไม้ยางจากเจ้าของสวนก่อน ไปตัดไม้มาแล้วไปขายถึงได้เงินคืน มาให้แม่เป็นคนออกเงินให้เจ้าของสวนก่อน ให้ค้ำประกันผ่อนซื้อเครื่องเลื่อยเครื่องมือ จากนั้นได้เงินแล้วหนีไปอยู่กับเมียน้อย รวมหนี้ที่แม่ต้องจัดการคือ 10 ล้าน แล้วเหตุการณ์ก็วน ๆ ประมาณนี้มาตลอด เดี๋ยวพ่อแม่ เดี๋ยวพี่น้องคนนั้นคนนี้ พ่อแม่นี่หนักสุด คำแรกที่เราเกลียดและสิ้นศรัทธาคือคำว่า ญาติพี่น้องและครอบครัว
เราโตมาปกติ ผลการเรียนเราดี เราแข่งปกิณกะสารคดีบทความได้ที่ 1 บ่อย ๆ เวลามีใครชมให้ฟัง พ่อกับแม่ไม่เคยชมเราต่อและพูดออกมาบ่อย ๆ ว่า มันคือผลที่เค้าควรได้เพราะเค้าลงทุน เค้าไม่เคยชมเราซักเรื่อง เค้าให้ในสิ่งที่เราขอ แต่เราต้องทำแบบเดียวกับที่ส่งรายงาน ต้องมีเพราะว่า ประโยชน์คือ ได้มาแล้วเราจะทำอะไรตอบแทน จริงๆ เค้าก็ดี เค้าก็ให้ได้ในสิ่งที่ให้ได้ และเราก็ไม่เคยขออะไรที่มันเกินไปหรือราคาแพง แพงสุดของเราคงเป็นขอซื้อหนังสือเนื้อเพลงลูกกรุงราคา 400 บาท เรารู้สึกว่าเราแปลกจากคนอื่น ยิ่งเราเขียนอะไรได้ดีเรายิ่งพบว่าเราคิดมาก เราละเอียดอ่อนอ่อนไหวเกินไป เราพบว่ามันหาที่รู้สึกปลอดภัยอยู่ได้ยาก แต่เราก็อยุ่กับมันมาเรื่อย ๆ เราพยายามรับผิดชอบในสิ่งที่ควรเป็น แต่เราก็พบว่าเราไม่มีความสุขกับอะไรเลยในชีวิตตั้งแต่เราปีหนึ่ง
ตอน 9 ขวบ แม่กำลังมีน้อง ก่อนหน้าจะมีเราแม่เคยท้องและแท้งเพราะตอนนั้นไปบ้านย่าลำบาก เด็กที่เสียไปเป็นผู้ชาย ตอนแม่ท้องแม่ไม่บอกเรา ให้เราไปนอนกับน้า ๆ บ้านยาย แล้วเราโดนส่งเข้านอนด้วยคำพูดสนุกปากของผู้ใหญ่ว่า เรากำลังจะเป็นหมาหัวเน่า มีน้องแล้วใครก็จะไม่ต้องการเราแล้ว มีน้องแล้วก็มีหลายอย่างเกิดขึ้น น้องเป็นเด็กผู้ชายที่มาพร้อมฝันที่ดูมีนิมิตหมายอันดีในใจพ่อแม่ เราดูโตเป็นเด็กเรียกร้องความรักในสมัยนั้นและเราก็ทำมันครั้งแรก เราเอาตัวเองไปยืนรอพ่อแม่กลับบ้านอยุ่ตรงขื่อที่เราผูกเชือกไว้ รอจนพ่อแม่เปิดประตูมาเจอ จำไม่ได้ว่าทำไมทำแบบนั้น แต่จำได้ว่าพ่อท้า แล้วเราก็คล้องคอตัวเองแล้วกระโดดลงมา พ่อเข้ามารับได้ทัน ต่อมาก็ทะเลาะกันเรื่องน้องอีก เราก็กินยานอนหลับ สมัยนั้นยังขายอยู่ตามร้านขายยา พ่อซื้อมาไว้ เราก็กินต่อหน้าเค้า แล้วมาตื่นอีกทีที่โรงพยาบาล เราก็ไม่รู้ทำไม ทำไมมันเป็นแบบนั้น ทำไมเราเลือกทางนั้น เราเพิ่งมาเล่าให้เพื่อนฟัง หลังจากนั้นก็ตอนที่เราพบแล้วว่าเราไม่มีความสุขกับชีวิตเลยตอนปี 1 ปิดเทอมปี 1 เราไปเที่ยวเกาะกับเพื่อน ๆ กลุ่มมัธยมที่เพิ่งได้กลับมาเจอกัน ไปลอดถ้ำที่ถ้ำมรกต ขากลับไกด์เราทำเท่ด้วยการให้คณะทัวร์ไปก่อนเอาคอนเนคชั่นแล้วให้พวกเราลอดถ้ำกลับไปตอนน้ำท่วมมิดแล้ว เราจำความกว้างถ้ำตอนลอดกลับมาไม่ได้ตรงทางเข้าจากอ่าวเเล็ก ๆด้านในถ้ำ เราใส่เสื้อชูชีพ ต้องปิดจมูกข้างนึงแล้วนอนหงายแล้วพยายามไต่ออกไปถ้ำอีกฝาก เราก็พยายามทำ แต่เราตัวใหญ่ เราไปได้ช้า เราต้านแรงน้ำไม่ไหว แล้วเราไม่รุ้คิดอะไร เราก็ทิ้งตัว ปล่อยไป ไม่ไหวแล้วนี่ แล้วเพื่อนที่รออีกฝากก็กระชากเราขึ้นมา จากนั้นทุกคนก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เที่ยวกันตามปกติ แล้วล่าสุดคือเราไม่สบาย เราพยายามไปออกกำลังกายให้มากขึ้น วันนึงที่หน้ามืดมองอะไรไม่เห็น อยู่คนเดียว เลยค่อย ๆ เดินไปนอนแผ่หราบนเก้าอี้หัก ๆ แถวนั้น มีคนกวาดลานอยุ่ไกล ๆ ไม่สนใจเรา ที่สวนไม่มีใครแล้ว เรามองไม่เห็น ในตาเหมือนเห้นหมอกสีดำ ๆ เต็มตา เราก็ไม่รุ้ทำไมว่าเราไม่โทรหากู้ภัย ไม่โทรหาใคร ที่เราไปทิ้งตัวตรงม้านั่งเพราะมองไม่เห็น อยากหาที่นั่ง เราก็ไม่เข้าใจตัวเอง เล่าให้พเอนฟัง เพื่อนบอกว่า จัง ไม่พยายามแม้แต่จะมีชีวิต
หลังจากที่เรากลับมาจากเกาะ เราก็ใช้ชีวิตปกติ เรายังรับผิดชอบในสิ่งที่ควรทำ แต่เราก็พบแล้วว่าตัวเองไม่มีความสุขในชีวิตเลย ไม่มีฝัน ไม่มีหวังอะไร ไม่อยากได้ อยากเป็น หรือยากมีอะไร เราไม่วาดฝันอะไรเลย ผู้ใหญ่ที่รู้จักเราบอกว่าเพราะเราโตมาอย่างไม่ลำบาก เราเลยไม่เคยมีภาพชัดว่าไม่มีเงินแล้วมันจะยังไง และเราก็ไม่ใช่คนละโมบ จึงไม่มีแรงผลักให้อยากทำอะไร ต่อมาในกิจกรรมรับน้อง เราขาหัก ต้องพัก 1 เทอม จบช้ากว่าคนอื่น แต่เราก็ยังได้ทุนไปเรียนจีนอีกหลายคลาส แต่หลังจากขาหัก ที่บ้านซื้อมอไซต์ให้เราขับไปเรียน เราไม่ได้ขอ แต่ที่บ้านก็เมมไว้ว่าเราขอ เค้าเป็นแบบนี้ มาหาเราจ่ายค่าน้ำมันเท่าไหร่ก็ลงในรายจ่ายไว้ว่า คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากเรา แล้วแต่ละปีก็จะสรุปให้เราฟังว่ามีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเราเท่าไหร่ ตอนไปจีนจ่ายค่าโทรทางไกลเท่าไหร่ก็ลงรายละเอียดว่าคือค่าใช้จ่ายของเรา
มาอยุ่ไกลกันแล้วเราไม่ได้เกลียดน้องเหมือนเดิม คงเพราะไม่ค่อยมีอะไรเกิดขึ้น ที่บ้านเลี้ยงให้เรายอมน้องทุกอย่าง น้องอยากดูอะไรต้องให้สิทธิ์น้องก่อน เรารับผิดชอบงานบ้านเยอะมากโดยไม่ได้อิดออดอะไรเลย น้องแม่ต้องจ้างล้างจานครั้งละสองพัน น้องมีเงินเก็บมากมาย ขออะไรพ่อแม่เลยไม่เคยซื้อให้ น้องเลยเมมในหัวว่ามีแต่เราที่ได้ทุกอย่าง เค้าต้องซื้อเอง แต่เราไม่เคยได้รับค่าจ้างอะไรเลยนะ มีสอบมีธุระอะไร เราก็ยังต้องไปช่วยเก็บน้ำยางก่อนกลับมาทำงานบ้านแล้วถึงไปธุระได้ ปกติเค้าก็ไม่ชอบให้เราไปไหนมาไหน ทั้งไปกิจกรรมกับโรงเรียนหรือไปเที่ยวเล่นธรรมดากับเพื่อนในห้างใกล้บ้าน สำหรับเค้านอกจากพ่อแม่พี่น้องของเค้า ไม่มีใครดีเลย แต่เราก็ยังได้เดินทางเยอะทั้งที่เราไม่ได้ชอบเที่ยวแต่ทั้งหมดเพราะเป็นตัวแทนกิจกรรมหรือได้รับทุน แต่น้องเราเป็นคนชอบเที่ยว แต่พ่อแม่ก็ไม่ให้เค้าไปไหนเลยเหมือนกัน น้องก็โกรธว่าเราได้ไป แต่ตัวเค้าสมองดีแต่ไม่เคยพยายามเลย ไม่ตั้งใจเรียน ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น เราคุยกันปกติดีกับน้อง สุภาพต่อกันดี แต่เวลาเค้าโกรธ เค้าก็ทะลุมาแบบนั้น ว่าพี่ได้ทุกอย่าง เป็นเค้าที่ไม่เคยได้อะไรเลย มันก็เลยเป็นปมในใจเราเล็ก ๆ ว่า จริงๆ แล้วกเค้ารู้สึกดีกับเราแบบวันปกติ หรือจริง ๆใจเกลียดเราแบบเวลาเค้าโกรธ
เราจบแล้วได้ไปทำงานที่จีน ต่อมากลับไทยช่วงนึง เรารู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ ที่ข้างสะดือขวา คิดว่าน่าจะเป็นไส้ติ่งเลยกะจะกลับมาผ่าที่นี่ให้เรียบร้อย แต่ตรวจแล้วโรงพยาบาลแจ้งว่าติดเชื้อในกระแสเลือด ไม่รุ้ตอนนั้นโรงพยาบาลจะเลี้ยงไข้หรืออะไรไม่บอกให้ละเอียดว่าคือติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะเพราะเราอยุ่เมืองหนาวนาน ร่างกายมันชินจนไม่ลุกไปฉี่ กลั้นฉี่ไปเอง ในฉี่เวลาฉี่เลยมีเส้นสีเลือดปนมา ไม่บอกให้ละเอียดเรามารุ้จากรพ.อื่น ที่บ้านรู้แค่นั้นก็โวยวายใหญ่ ไม่ให้เรากลับไปจีนอีก เพราะคิดว่าสาเหตุมาจากอาหารการกินที่จีน เราเสียใจมากเพราะเรามีสิ่งมากมายที่นั่น สังคมที่เราสร้างไว้ ผลงาน ทุนเรียนต่อ แล้วเราก็ออกมาอยุ่คนเดียว พยายามเริ่มใหม่จากทุกอย่าง ก็ค่อนข้างแย่เพราะพอเริ่มตรวจก็เจอว่าเป็นความดัน เบาหวาน ปลายประสาทอักเสล กระเพาะ แต่ไขมันไม่เกิน เราเกิดมาอ้วน พ่อแม่ก็อ้วน เราอ้วนมาทั้งชีวิต ผอมสุดตอนมัธยมก็จำได้ว่าหนัก 69 กก. เราปล่อยตัวแบบไม่รุ้สึกผิดจนน้ำหนัก 111 กก. เราไม่ได้ติดหวานแต่เราติดแป้ง เราชอบทานข้าวขาว สปาเกตตี้ ขนมจีน เรารู้ตัวเราก็พยายามลดเรื่อยมาจนตอนนี้เหลือ 90 ลองผิดลองถูกหาความรุ้ไปเรื่อย ๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจนเปลี่ยนจากนิสัยจริง ๆ