เปิดสถิติ ธปท. ปรับดอกเบี้ย 8 ครั้ง ใน 2 ปี จากระดับ 0.50% ดีดขึ้น 2.50%
https://www.matichon.co.th/economy/news_4364511
เปิดสถิติ ธปท. ปรับดอกเบี้ย 8 ครั้ง ใน 2 ปี จากระดับ 0.50% ดีดขึ้น 2.50%
วันที่ 8 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเรียกว่าอยู่วงจรขาขึ้น หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 จากระดับ 0.50 % สู่ระดับปัจจุบันที่ 2.50 % ซึ่ง กนง.ปรับขึ้นติดต่อกัน 8 ครั้ง โดยให้เหตุผลว่าต้องการควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่เคยแตะระดับสูงสุดที่ 8% ในปี 2565 และการขยายตัวของเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น จึงทยอบปรับอัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าวงจรดอดเบี้ยขาขึ้นจะยุติลง เนื่องจากการประชุม กนง.วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.50% ระบุว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่เหมาะสมสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่โตใกล้เคียงระดับศักยภาพ สามารถรองรับความเสี่ยงด้านบวกและด้านลบได้ ซึ่งจะเอื้อให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ อย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว
นอกจากนี้ หลายศูนย์วิจัยเศรษฐกิจต่างคาดการณ์ทิศทางการปรับอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 อาทิ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) Krungthai COMPASS โดยธนาคารกรุงไทย คาดว่า กนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดลงอย่างมาก
รวมถึงเศรษฐกิจไทยยังทยอยฟื้นตัวแม้เป็นไปในลักษณะเปราะบางสะท้อนผ่านตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 3/2566 ที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด กนง. จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ไปทั้งปี 2567 และเงินเฟ้อทรงตัวในกรอบ 1-3%
ทั้งนี้ โดยปกติ กนง. จะมีการประชุมเพื่อวิเคราะห์เศรษฐกิจและมีการพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยใน 1 ปี จะมีการประชุม 6 ครั้ง สำหรับตารางการประชุม กนง. ปี 2567 ดังนี้ 1.วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2.วันที่ 10 เมษายน 3.วันที่ 12 มิถุนายน 4.วันที่ 21 สิงหาคม 5.วันที่ 16 ตุลาคม และ 6.วันที่ 18 ธันวาคม
สำหรับสถิติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ปี 2565 – 2566 ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2566
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2565
ม.ค. = 0.50%
ก.พ. = 0.50%
มี.ค. = 0.50%
เม.ย. = 0.50%
พ.ค. = 0.50%
มิ.ย. = 0.50%
ก.ค. = 0.50%
ส.ค. = 0.75%
ก.ย. = 1.00%
ต.ค. = 1.00%
พ.ย. = 1.25%
ธ.ค. = 1.25%
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2566
ม.ค. = 1.50%
ก.พ. = 1.50%
มี.ค. = 1.75%
เม.ย. = 1.75%
พ.ค. = 2.00%
มิ.ย. = 2.00%
ก.ค. = 2.00%
ส.ค. = 2.25%
ก.ย. = 2.50%
ต.ค. = 2.50%
พ.ย. = 2.50%
ธ.ค. = 2.50%
โดนทำร้ายแถมถูกสั่งขัง! พลทหารเจอรุมกระทืบคาค่าย ไม่ให้ดูกล้องวงจรปิดด้วย.
https://www.dailynews.co.th/news/3064143/
ญาติร้องเพจดัง! พลทหารโดนรุมกระทืบคาค่าย ทั้งที่ไม่มีความผิด แถมปัดไม่ให้ดูกล้องวงจรปิด ล่าสุดจะโดนสั่งขังคุก หวั่นอันตรายวอนขอความยุติธรรมช่วยน้องที.
กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากบนโลกออนไลน์ เมื่อเพจเฟซบุ๊ก
อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part 6 ได้โพสต์เรื่องราวร้องเรียนจากญาติของพลทหารรายหนึ่ง โดยเป็นเหตุการณ์ที่พลทหารถูกทำร้าย 10 รุม 2 ในค่ายทหารแห่งหนึ่ง โดยไม่มีความผิดอะไรเลย จนกระทั่งล่าสุดได้รับแจ้งว่าพลทหารที่ถูกทำร้ายร่างกายจะโดนสั่งขังคุก ทำให้ญาติหวั่นว่าจะเป็นอันตรายและไม่ได้รับความยุติธรรม จึงร้องเรียนเรื่องดังกล่าว
โดยระบุว่า
“
ทางผู้บัญชาการหน่วยต้องรีบชี้แจงและสร้างความมั่นใจให้กับน้องทหารว่า จะได้รับความยุติธรรม..รุมทำร้ายในค่ายทหาร
ขอความยุติธรรมด้วยค่ะ ค่ายxxx ช่วยเเชร์หน่อยค่ะ
วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566 น้องถูกกระทืบ 10 รุม 2 เจ็บที่สะโพก น้องไม่ได้รับความยุติธรรมค่ะ โดนรุมกระทืบในค่ายทหาร 10 รุม 2 ไม่มีความผิดอะไรเลยสักอย่าง ผอ.ให้รอผลตรวจแอลกอฮอล์ว่าเมาไหม ผลออกมาแล้วไม่เมาน้องไม่ได้ดื่ม เหตุเกิดตั้งแต่ปลายเดือนที่เเล้วได้ย้ายน้องไปอีกที่ในค่าย จนตอนนี้ได้รับโทรศัพท์จากน้องว่าจะเอาไปขังคุก กลัวน้องเป็นอันตรายมาก กลัวจะโดนรุมกระทืบอีกครั้ง ไม่ให้ดูกล้องวงจรด้วยค่ะน้องยืนยังกล้องชัดเจน”
อย่างไรก็ตาม หลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ได้มีชาวเน็ตต่างเข้ามาวิจารณ์ล้นหลาม ทั้งเรียกร้องให้กฎหมายยกเลิกทหารเกณฑ์บังคับใช้โดยเร็ว พร้อมกับตำหนิกลุ่มทหารที่รุมทำร้ายพลทหารและตำหนิการทำงานของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบความยุติธรรม ทั้งนี้บางส่วนต่างรอให้ทางเจ้าหน้าที่ผู้บังคับบัญชาของหน่วยดังกล่าวออกมาชี้แจงประเด็นที่เกิดขึ้นด้วย..
ขอบคุณข้อมูล-ภาพ
อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part 6
ค่าฝุ่น PM 2.5 พุ่งปรี๊ด สมุทรสงคราม สูงสุดในไทย 38จว.อ่วมเกินมาตรฐาน
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_8041766
ค่าฝุ่น PM 2.5 เช้านี้ สมุทรสงคราม อ่วม พุ่งสูงสุดในไทย กทม. เกินทุกพื้นที่ เผย 38 จังหวัดมีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ
เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 8 ม.ค.2567 สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ จิสด้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ, กรมควบคุมมลพิษ, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 แบบรายชั่วโมง ด้วยข้อมูลจากดาวเทียมผ่านแอปพลิเคชั่น “เช็คฝุ่น” โดยค่าฝุ่นตามมาตรฐานไม่เกิน 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.)
ค่าฝุ่น PM 2.5 เช้านี้ สมุทรสงคราม อ่วม พุ่งสูงสุดในไทย กทม. เกินทุกพื้นที่ เผย 38 จังหวัดมีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐาน
พบว่า 3 จังหวัดที่มีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ หรือพื้นที่สีแดง คือ จ.สมุทรสงคราม 112.3 มคก./ลบ.ม., จ.สมุทรสาคร 92.7 มคก./ลบ.ม., จ.นครปฐม 76.7 มคก./ลบ.ม.
และพบอีก 38 จังหวัด ที่มีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ หรือพื้นที่สีส้ม โดย 5 อันดับแรกสีส้ม ได้แก่ จ.ราชบุรี 71.4 มคก./ลบ.ม., จ.อ่างทอง 70.7 มคก./ลบ.ม., จ.ชัยนาท 70.4 มคก./ลบ.ม., จ.สิงห์บุรี 67.1 มคก./ลบ.ม. และ นนทบุรี 64.0 มคก./ลบ.ม.
ในขณะที่กรุงเทพฯ พบค่าฝุ่น PM2.5 ที่อยู่ในพื้นที่สีส้ม ทั่วทุกเขต โดย 3 อันดับแรก คือ เขตดอนเมือง 70 มคก./ลบ.ม., เขตหลักสี่ 69.6 มคก./ลบ.ม. และ หนองแขม 62.3 มคก./ลบ.ม.
ทั้งนี้ แอปพลิเคชั่น “เช็คฝุ่น” ยังคาดการณ์ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในอีก 3 ชั่วโมงข้างหน้า พบว่าหลายพื้นที่จะมีค่าคุณภาพอากาศที่ยังคงอยู่ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพสีส้ม
ทั้งนี้ จากข้อมูลจุดความร้อนที่รายงานโดย จิสด้า เมื่อวันที่ 7 ม.ค.67 พบจุดความร้อนทั้งประเทศ 217 จุด ส่วนใหญ่พบในพื้นที่การเกษตร 97 จุด ตามด้วยพื้นที่เขต สปก. 40 จุด พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 39 จุด ชุมชนและอื่น ๆ 28 จุด พื้นที่ริมทางหลวง 8 จุด และพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 5 จุด
โดยจังหวัดที่พบจำนวนจุดความร้อนสูงสุด 3 อันดับแรก คือ จ.ลพบุรี 30 จุด ตามด้วย ขอนแก่น 17 จุด และ ชลบุรี 12 จุด นอกจากนี้ ประเทศเพื่อนบ้านที่พบจุดความร้อน มากสุดอยู่ที่กัมพูชา 812 จุด ตามด้วย เมียนมา 391 จุด ลาว 99 จุด และ เวียนดนาม 81 จุด
ประชาชนควรสวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่โล่งแจ้ง เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจตามมาโดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ทั้งนี้ ท่านสามารถติดตามข้อมูล PM2.5 แบบรายชั่วโมงเพิ่มเติมผ่านแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น”
JJNY : เปิดสถิติ ธปท. ปรับดอกเบี้ย│พลทหารเจอรุมกระทืบคาค่าย│ค่าฝุ่น PM 2.5 พุ่งปรี๊ด│ยอดตายแผ่นดินไหวเพิ่มเป็น 161 คน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4364511
เปิดสถิติ ธปท. ปรับดอกเบี้ย 8 ครั้ง ใน 2 ปี จากระดับ 0.50% ดีดขึ้น 2.50%
วันที่ 8 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเรียกว่าอยู่วงจรขาขึ้น หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 จากระดับ 0.50 % สู่ระดับปัจจุบันที่ 2.50 % ซึ่ง กนง.ปรับขึ้นติดต่อกัน 8 ครั้ง โดยให้เหตุผลว่าต้องการควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่เคยแตะระดับสูงสุดที่ 8% ในปี 2565 และการขยายตัวของเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น จึงทยอบปรับอัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าวงจรดอดเบี้ยขาขึ้นจะยุติลง เนื่องจากการประชุม กนง.วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.50% ระบุว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่เหมาะสมสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่โตใกล้เคียงระดับศักยภาพ สามารถรองรับความเสี่ยงด้านบวกและด้านลบได้ ซึ่งจะเอื้อให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ อย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว
นอกจากนี้ หลายศูนย์วิจัยเศรษฐกิจต่างคาดการณ์ทิศทางการปรับอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 อาทิ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) Krungthai COMPASS โดยธนาคารกรุงไทย คาดว่า กนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดลงอย่างมาก
รวมถึงเศรษฐกิจไทยยังทยอยฟื้นตัวแม้เป็นไปในลักษณะเปราะบางสะท้อนผ่านตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 3/2566 ที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด กนง. จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ไปทั้งปี 2567 และเงินเฟ้อทรงตัวในกรอบ 1-3%
ทั้งนี้ โดยปกติ กนง. จะมีการประชุมเพื่อวิเคราะห์เศรษฐกิจและมีการพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยใน 1 ปี จะมีการประชุม 6 ครั้ง สำหรับตารางการประชุม กนง. ปี 2567 ดังนี้ 1.วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2.วันที่ 10 เมษายน 3.วันที่ 12 มิถุนายน 4.วันที่ 21 สิงหาคม 5.วันที่ 16 ตุลาคม และ 6.วันที่ 18 ธันวาคม
สำหรับสถิติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ปี 2565 – 2566 ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2566
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2565
ม.ค. = 0.50%
ก.พ. = 0.50%
มี.ค. = 0.50%
เม.ย. = 0.50%
พ.ค. = 0.50%
มิ.ย. = 0.50%
ก.ค. = 0.50%
ส.ค. = 0.75%
ก.ย. = 1.00%
ต.ค. = 1.00%
พ.ย. = 1.25%
ธ.ค. = 1.25%
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2566
ม.ค. = 1.50%
ก.พ. = 1.50%
มี.ค. = 1.75%
เม.ย. = 1.75%
พ.ค. = 2.00%
มิ.ย. = 2.00%
ก.ค. = 2.00%
ส.ค. = 2.25%
ก.ย. = 2.50%
ต.ค. = 2.50%
พ.ย. = 2.50%
ธ.ค. = 2.50%
โดนทำร้ายแถมถูกสั่งขัง! พลทหารเจอรุมกระทืบคาค่าย ไม่ให้ดูกล้องวงจรปิดด้วย.
https://www.dailynews.co.th/news/3064143/
ญาติร้องเพจดัง! พลทหารโดนรุมกระทืบคาค่าย ทั้งที่ไม่มีความผิด แถมปัดไม่ให้ดูกล้องวงจรปิด ล่าสุดจะโดนสั่งขังคุก หวั่นอันตรายวอนขอความยุติธรรมช่วยน้องที.
กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากบนโลกออนไลน์ เมื่อเพจเฟซบุ๊ก อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part 6 ได้โพสต์เรื่องราวร้องเรียนจากญาติของพลทหารรายหนึ่ง โดยเป็นเหตุการณ์ที่พลทหารถูกทำร้าย 10 รุม 2 ในค่ายทหารแห่งหนึ่ง โดยไม่มีความผิดอะไรเลย จนกระทั่งล่าสุดได้รับแจ้งว่าพลทหารที่ถูกทำร้ายร่างกายจะโดนสั่งขังคุก ทำให้ญาติหวั่นว่าจะเป็นอันตรายและไม่ได้รับความยุติธรรม จึงร้องเรียนเรื่องดังกล่าว
โดยระบุว่า
“ทางผู้บัญชาการหน่วยต้องรีบชี้แจงและสร้างความมั่นใจให้กับน้องทหารว่า จะได้รับความยุติธรรม..รุมทำร้ายในค่ายทหาร
ขอความยุติธรรมด้วยค่ะ ค่ายxxx ช่วยเเชร์หน่อยค่ะ
วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566 น้องถูกกระทืบ 10 รุม 2 เจ็บที่สะโพก น้องไม่ได้รับความยุติธรรมค่ะ โดนรุมกระทืบในค่ายทหาร 10 รุม 2 ไม่มีความผิดอะไรเลยสักอย่าง ผอ.ให้รอผลตรวจแอลกอฮอล์ว่าเมาไหม ผลออกมาแล้วไม่เมาน้องไม่ได้ดื่ม เหตุเกิดตั้งแต่ปลายเดือนที่เเล้วได้ย้ายน้องไปอีกที่ในค่าย จนตอนนี้ได้รับโทรศัพท์จากน้องว่าจะเอาไปขังคุก กลัวน้องเป็นอันตรายมาก กลัวจะโดนรุมกระทืบอีกครั้ง ไม่ให้ดูกล้องวงจรด้วยค่ะน้องยืนยังกล้องชัดเจน”
อย่างไรก็ตาม หลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ได้มีชาวเน็ตต่างเข้ามาวิจารณ์ล้นหลาม ทั้งเรียกร้องให้กฎหมายยกเลิกทหารเกณฑ์บังคับใช้โดยเร็ว พร้อมกับตำหนิกลุ่มทหารที่รุมทำร้ายพลทหารและตำหนิการทำงานของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบความยุติธรรม ทั้งนี้บางส่วนต่างรอให้ทางเจ้าหน้าที่ผู้บังคับบัญชาของหน่วยดังกล่าวออกมาชี้แจงประเด็นที่เกิดขึ้นด้วย..
ขอบคุณข้อมูล-ภาพ อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part 6
ค่าฝุ่น PM 2.5 พุ่งปรี๊ด สมุทรสงคราม สูงสุดในไทย 38จว.อ่วมเกินมาตรฐาน
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_8041766
ค่าฝุ่น PM 2.5 เช้านี้ สมุทรสงคราม อ่วม พุ่งสูงสุดในไทย กทม. เกินทุกพื้นที่ เผย 38 จังหวัดมีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ
เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 8 ม.ค.2567 สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ จิสด้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ, กรมควบคุมมลพิษ, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 แบบรายชั่วโมง ด้วยข้อมูลจากดาวเทียมผ่านแอปพลิเคชั่น “เช็คฝุ่น” โดยค่าฝุ่นตามมาตรฐานไม่เกิน 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.)
ค่าฝุ่น PM 2.5 เช้านี้ สมุทรสงคราม อ่วม พุ่งสูงสุดในไทย กทม. เกินทุกพื้นที่ เผย 38 จังหวัดมีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐาน
พบว่า 3 จังหวัดที่มีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ หรือพื้นที่สีแดง คือ จ.สมุทรสงคราม 112.3 มคก./ลบ.ม., จ.สมุทรสาคร 92.7 มคก./ลบ.ม., จ.นครปฐม 76.7 มคก./ลบ.ม.
และพบอีก 38 จังหวัด ที่มีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ หรือพื้นที่สีส้ม โดย 5 อันดับแรกสีส้ม ได้แก่ จ.ราชบุรี 71.4 มคก./ลบ.ม., จ.อ่างทอง 70.7 มคก./ลบ.ม., จ.ชัยนาท 70.4 มคก./ลบ.ม., จ.สิงห์บุรี 67.1 มคก./ลบ.ม. และ นนทบุรี 64.0 มคก./ลบ.ม.
ในขณะที่กรุงเทพฯ พบค่าฝุ่น PM2.5 ที่อยู่ในพื้นที่สีส้ม ทั่วทุกเขต โดย 3 อันดับแรก คือ เขตดอนเมือง 70 มคก./ลบ.ม., เขตหลักสี่ 69.6 มคก./ลบ.ม. และ หนองแขม 62.3 มคก./ลบ.ม.
ทั้งนี้ แอปพลิเคชั่น “เช็คฝุ่น” ยังคาดการณ์ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในอีก 3 ชั่วโมงข้างหน้า พบว่าหลายพื้นที่จะมีค่าคุณภาพอากาศที่ยังคงอยู่ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพสีส้ม
ทั้งนี้ จากข้อมูลจุดความร้อนที่รายงานโดย จิสด้า เมื่อวันที่ 7 ม.ค.67 พบจุดความร้อนทั้งประเทศ 217 จุด ส่วนใหญ่พบในพื้นที่การเกษตร 97 จุด ตามด้วยพื้นที่เขต สปก. 40 จุด พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 39 จุด ชุมชนและอื่น ๆ 28 จุด พื้นที่ริมทางหลวง 8 จุด และพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 5 จุด
โดยจังหวัดที่พบจำนวนจุดความร้อนสูงสุด 3 อันดับแรก คือ จ.ลพบุรี 30 จุด ตามด้วย ขอนแก่น 17 จุด และ ชลบุรี 12 จุด นอกจากนี้ ประเทศเพื่อนบ้านที่พบจุดความร้อน มากสุดอยู่ที่กัมพูชา 812 จุด ตามด้วย เมียนมา 391 จุด ลาว 99 จุด และ เวียนดนาม 81 จุด
ประชาชนควรสวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่โล่งแจ้ง เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจตามมาโดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ทั้งนี้ ท่านสามารถติดตามข้อมูล PM2.5 แบบรายชั่วโมงเพิ่มเติมผ่านแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น”