- เริ่มต้นจากที่ผมเคยใช้ Email เก่าตอนเรียนอยู่มัธยม สมัครแล้วตั้งกระทู้เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับที่ครอบครัวได้พบเจอมา เรื่อง "บ้านมือสอง" แล้วหากระทู้ที่เคยตั้งไว้ไม่เจอ จนเวลาผ่านมาครบ 14 ปี เลยจะมาเล่าใหม่ครับ จะขอเล่าแบบรวบรัดเลยนะครับ
- เริ่มเรื่องเลยแล้วกัน ...
ครอบครัวผมพักอาศัยอยู่ย่านลาดกระบัง กรุงเทพฯ และผมมีลูกพี่ลูกน้องที่โตมาด้วยกันชื่อพี่เพชร เรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้นกับพี่เพชรโดยตรงนั้นแหละครับ เมื่อพี่เพชรมีครอบครัว พอเริ่มตั้งท้องลูกคนที่ 2 ตัวพี่เพชรกับแฟนเลยตัดสินใจจะหาบ้านสักหลังนึงที่เป็นบ้านมือสองเพื่ออยู่สำหรับครอบครัวของเขาเอง บทสรุปก็ได้บ้านอยู่ที่ย่านร่มเกล้า ด้วยความที่เป็นคนที่หัวสมัยใหม่การย้ายเข้าด้วยการไม่ได้ทำตามคำแนะนำของญาติผู้ใหญ่ อย่างเช่น เรื่องการทำบุญบ้าน หรือการนำพระพุทธรูปเข้าไปไว้ในบ้านเพื่อบูชา เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดก้ได้เริ่มเกิดขึ้นกับพี่เพชร
หลังจากย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่ได้สักระยะนึงพี่เพชรก็ได้คลอดอลูกคนที่ 2 หลังจากพักฟื้นเรียบร้อยก็ได้กลับมาอยู่บ้าน แต่อาการของพี่เพชรนั้นไม่ได้ดูดีชึ้นสักเท่าไหร่ (ด้วยความที่บ้านไม่ไกลกันมาก ผมกับแม่ก็ไปเยี่ยมไปช่วยดูลูกอยู่บ่อย) ทางญาติก็พูดกันว่า หรืออาจจะเพราะหลังคลอดไม่ได้อยู่ไฟ เลยได้ทำการพาพี่เพชรไปหาหมออีกรอบแต่ก็ไม่ได้มีอาการที่ดีขึ้นแต่อย่างใด อาการที่แปลกไปก็คือพี่เพชรบ่นปวดหลังอยู่บ่อยๆ และบางครั้งก็มีการพูดคนเดียวบ้าง ญาติๆเลยไม่สบายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้ปรึกษากับป้าของผม (ป้ามีกุมารทอง) หลังจากที่ปรึกษากับป้าก็ได้ความว่าบ้านที่พี่เพชรอยู่มีสิ่งลี้ลับบางอย่างให้ทำบุญบ้านสะ อาจจะดีขึ้น
หลังจากได้คำแนะนำจากป้า ทางพี่เพชรกับแฟนก็ตกลง จัดงานขึ้นบ้านใหม่นิมนต์พระมาสวดที่บ้าน พระที่มาในงานวันนั้น มี 1 องค์ที่ครอบครัวผมนับถือ ซึ่งจะเรียกว่าพระเกจิก็ได้ครับ ระหว่างทำพิธีผมเองก็ได้อยู่ในงานวันนั้นด้วย สิ่งที่ผมคิดว่าแปลกเลยคือ ขณะที่พระท่านสวดอยู่นั้น อยู่ๆตาลปัตรของพระเกจิองค์นั้นที่ถืออยู่ก็เหมือนมีใครมาผลักเข้าให้ไปโดนหน้าพระเกจิเข้า แล้วพระเกจิท่านก็เอ่ยขึ้นมาว่า
"นั่งฟังพระสวดรับพรเถอะโยม อย่าทำแบบนี้ให้เป็นบาปกรรมเพิ่มขึ้นเลย" ซึ่งทุกคนในงานก็เกิดอาการงงว่า ท่านพูดกับใคร หลังจากจบพิธีก่อนพระท่านจะกลับ พระเกจิท่านก็พูดกับครอบครัวผมว่า
"ที่นี่ค่อนข้างแรงนะโยม อาตมาทำได้แค่สอนเขา จะให้ปราบเขาอาตมาคงทำไม่ได้ไม่ใช่กิจของสงฆ์นะโยม" แล้วท่านก็เดินทางกลับ
ผ่านไประยะหลังจากที่ได้จัดงานทำบุญบ้านในครั้งนั้น อาการของพี่เพชรก็ดีขึ้น สามารถกลับไปทำงานได้ แต่กลับไปทำงานได้ไม่นาน อาการของพี่เพชรก็หวนกลับมาอีกรอบ ซึ่งรอบนี้อาการหนักกว่าเดิม พี่เพชรได้เล่าว่าก่อนที่อาการจะกลับมา คืนนึงพี่เพชรเดินทางกลับจากที่ทำงานจะกลับบ้าน อาจจะด้วยความอ่อนล้าหรือเพลีย แกเล่าว่าได้ขึ้นรถตู้จากที่ทำงาน แต่พอขึ้นมาได้สักพักแกรู้สึกว่ารถตู้คันนี้ทำไมแปลกจัง ทุกคนนั่งนิ่งมองไปข้างหน้ากันหมด ซึ่งในรถคันดังกล่าวมีพระสงฆ์อยู่ด้วย บรรยากาศในรถเงียบสงัด อากาศอึดอัดชวนให้หายใจลำบาก พี่เพชรเลยมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น สิ่งที่แปลกอีกอย่างนึงก็คือตลอดระยะทาง รถตู้คันนั้นไม่ได้จอดแวะรับ หรือส่ง ผู้โดยสารท่านอื่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว พอนั่งมาได้สักพัก อยู่ๆพระสงฆ์ท่านก็พูดขึ้นมาว่า
"โยม โยมที่ขึ้นมาคนสุดท้ายน่ะ จะถึงบ้านโยมแล้วนะ ลงรถแล้วกลับบ้านไปนะโยม" พี่เพชรจึงรู้สึกตัว แล้วรถก็จอดให้ลงหน้าปากซอยบ้านพอดี ในระหว่างเดินเข้าซอยด้วยอาการเหมือนอยู่ในภวังค์ พี่เพชรเล่าว่าวันนั้นไฟถนนในซอยปิดมืดไม่เปิดเลยสักดวง แล้วก็ไม่มีคนเดิน ไม่มีรถสัญจรในซอยเลยสักคัน แกก็เดินมาถึงบ้านก็เกิดอาการตกใจ เพราะเห็นว่าบ้านตัวเองจัดงานศพ แต่ในภาพนั้นแกบอกว่าพยายามมองว่างานศพใครก็มองไม่เห็น แล้วคนที่อยู่ในงานก็เป็นใครก็ไม่รู้ จนอยู่ๆก็มีเสียงแม่ของพี่เพชรเรียกแกจึงรู้สึกตัว
พอกลับเข้าบ้านแม่ของพี่เพชรก็ถามว่า ยืนทำอะไรหน้าบ้านตั้งนานไม่เข้าบ้าน พี่เพชรก็บอกว่าเหมือนเห็นภาพหลอน แม่เลยบอกแกว่าให้ไปอาบน้ำ หลังจากอาบน้ำเสร็จพี่เพชรก็เปลี่ยนไป
- คำบอกเล่าจากแม่ของพี่เพชรหลังจากที่พี่เพชรมีอาการแปลกไปหลังจากกลับมาถึงบ้าน (ขอแทนแม่พี่เพชรว่า "น้า" แล้วกันนะครับ)
น้าเล่าว่าหลังจากกลับมาก็มีอาการแปลกๆ อาบน้ำเสร็จก็แต่งตัวแปลกๆ ใส่ผ้าถุง เสื้อคอกระเช้า (ซึ่งปกติพี่เพชรจะไม่ใส่ชุดแบบนี้) และหน้าตากับผิวดูดซีดปนมีรอยข้ำขึ้นตามตัว แล้วพี่เพชรก็พูดกับน้าว่า หิวหาข้าวให้กินหน่อย อยากกินแกงส้ม น้าเองก็แปลกใจว่าแกรู้ได้ยังไงว่าทำแกงส้ม ซึ่งวันนั้นน้าก็ทำแกงส้มจริงๆ พอได้ข้าวพี่เพชรก็กินเหมือนคนอดอยาก ผู้หญิงตัวเล็กๆกินอะไรนิดๆหน่อย แต่มื้อนั้นกินข้าวไป 4 จาน กินเสร็จก็ไปนอนเล่นที่โซฟาแล้วก็พูดคนเดียว บ่นปวดหลัง ปวดขา ตกดึกน้าบอกว่าพี่เพชรนอนที่เดิมแล้วร้องโอกครวญว่าเจ็บไปทั้งตัวลุกไม่ไหว น้าเห็นท่าไม่ดีจึงโทรมาบอกแม่ผม ญาติๆจึงไปที่บ้านกันเลยคืนนั้น
เมื่อไปถึงที่บ้านพี่เพชร (ผมเองก็ได้ไปด้วย) เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบเที่ยงคืน มีพี่บางคนที่ไปถึงก่อนพูดว่า พาไปโรงพยาบาลเลย ด้วยความที่พี่เพชรลุกเดินเองไม่ไหว พี่ชายอีกคนเลยอุ้มไปขึ้นรถเบาะหน้าข้างคนชับ ตัวพี่เพชรเองก็ยังคงร้องโอดครวญอยู่เป็นระยะๆ แต่พอขึ้นไปนั่งบนรถแล้วตัวพี่เพชรเองก็นิ่งไปและทำตาโตมองไปข้างหน้าราวกับว่าโกรธอะไรสักอย่าง ตัวพี่ชายก็ได้ถามว่า ดีขึ้นแล้วหรอ ทันใดนั้นพี่เพชรก็เอื้อมมือไปหยิบพระที่ตั้งอยู่หน้ารถของพี่ชายแล้วปาออกไปนอกรถ ญาติๆเองก็บอกว่าไม่เป็นไร พาไปหาหมอเลย พี่ชายเลยได้ออกรถไป ญาติๆต่างเฝ้ารอฟังอาการของพี่เพชรในคืนนั้นเป็นระยะๆ จนในที่สุดก็ได้กลับ แม่ผมจึงบอกว่าให้เอามานอนที่บ้านของแม่ผมก่อนดีกว่า เพราะญาติๆอยู่กัน มีอะไรฉุกเฉินจะได้ช่วยกันดู จนเวลาประมานตี 3 กว่าก็ได้พักผ่อนกัน ญาติๆต่างเฝ้าพี่เพชรกันที่บ้านผมในคืนนั้น
รุ่งเช้าพี่เพชรเหมือนจะรู้สึกตัวและพูดรู้เรื่องกว่าเดิม ได้บอกกับญาติๆว่า อยากทำบุญให้พาไปหน่อย ครอบครัวเลยตกลงพาไปใส่บาตรไหว้พระที่วัดโสธร ฉะเชิงเทรา พี่เพชรได้แค่นั่ง เดินไม่ได้ ผมจึงได้ไปนิมนต์พระมารับบาตรข้างรถ 3 รูป และเณรอีก 2 รูป ตอนมารับบาตร เณรองค์หนึ่งมีท่าทีตกใจจนทำฝาบาตรตกพื้นตอนที่รับบาตรพี่เพชร แล้วพระองค์หนึ่งได้พูดว่า
"สำรวมหน่อยเณร เห็นอะไรก็อย่าแสดงออกมากขนาดนั้น" แล้วท่านก็ให้พรแล้วเดินจากไป ทุกคนจึงเดินทางกลับบ้าน
เมื่อมาถึงบ้านก็เป็นเวลาช่วง 10-11 โมง พี่เพชรมีอาการแย่ลงทุกขณะ ถึงขั้นที่ว่าไม่สามารถอั้นถ่ายหนักถ่ายเบาได้ ทางครอบครัวเลยให้นำตัวส่งโรงพยาบาลอีกรอบ ญาติก็ไปรอดูอาการกันที่โรงพยาบาลพร้อมหน้า ทุกคนต่างลุ้นให้อาการดีขึ้น แต่สุดท้ายแล้วปฎิหารย์ก็ไม่เกิดขึ้น พี่เพชรเสียชีวิต
ณ วันที่ 9 ก.พ. 2009 ครับ
เรื่องก็มีประมาณนี้นะครับ ไม่รวมเรื่องหลังจากพี่เพชรเสียไปแล้ว ซึ่งมันมีอีกนิดหน่อย หากมีผู้อ่านอยากทราบผมจะเพิ่มเติมให้ภายหลังนะครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ขออภัยหากเขียนหรือเรียบเรียงไม่ดี
ขอยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับครอบครัวของผมเองในเวลานั้น บางสิ่งบางอย่างเป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพเพื่อให้เกียรติแก่ผู้เสียชีวิตด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
อาถรรพ์ บ้านมือสอง (กระทู้เก่าที่หายไป ตั้งแต่ปี 2009 ขอกลับมาเล่าใหม่)
- เริ่มเรื่องเลยแล้วกัน ...
ครอบครัวผมพักอาศัยอยู่ย่านลาดกระบัง กรุงเทพฯ และผมมีลูกพี่ลูกน้องที่โตมาด้วยกันชื่อพี่เพชร เรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้นกับพี่เพชรโดยตรงนั้นแหละครับ เมื่อพี่เพชรมีครอบครัว พอเริ่มตั้งท้องลูกคนที่ 2 ตัวพี่เพชรกับแฟนเลยตัดสินใจจะหาบ้านสักหลังนึงที่เป็นบ้านมือสองเพื่ออยู่สำหรับครอบครัวของเขาเอง บทสรุปก็ได้บ้านอยู่ที่ย่านร่มเกล้า ด้วยความที่เป็นคนที่หัวสมัยใหม่การย้ายเข้าด้วยการไม่ได้ทำตามคำแนะนำของญาติผู้ใหญ่ อย่างเช่น เรื่องการทำบุญบ้าน หรือการนำพระพุทธรูปเข้าไปไว้ในบ้านเพื่อบูชา เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดก้ได้เริ่มเกิดขึ้นกับพี่เพชร
หลังจากย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่ได้สักระยะนึงพี่เพชรก็ได้คลอดอลูกคนที่ 2 หลังจากพักฟื้นเรียบร้อยก็ได้กลับมาอยู่บ้าน แต่อาการของพี่เพชรนั้นไม่ได้ดูดีชึ้นสักเท่าไหร่ (ด้วยความที่บ้านไม่ไกลกันมาก ผมกับแม่ก็ไปเยี่ยมไปช่วยดูลูกอยู่บ่อย) ทางญาติก็พูดกันว่า หรืออาจจะเพราะหลังคลอดไม่ได้อยู่ไฟ เลยได้ทำการพาพี่เพชรไปหาหมออีกรอบแต่ก็ไม่ได้มีอาการที่ดีขึ้นแต่อย่างใด อาการที่แปลกไปก็คือพี่เพชรบ่นปวดหลังอยู่บ่อยๆ และบางครั้งก็มีการพูดคนเดียวบ้าง ญาติๆเลยไม่สบายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้ปรึกษากับป้าของผม (ป้ามีกุมารทอง) หลังจากที่ปรึกษากับป้าก็ได้ความว่าบ้านที่พี่เพชรอยู่มีสิ่งลี้ลับบางอย่างให้ทำบุญบ้านสะ อาจจะดีขึ้น
หลังจากได้คำแนะนำจากป้า ทางพี่เพชรกับแฟนก็ตกลง จัดงานขึ้นบ้านใหม่นิมนต์พระมาสวดที่บ้าน พระที่มาในงานวันนั้น มี 1 องค์ที่ครอบครัวผมนับถือ ซึ่งจะเรียกว่าพระเกจิก็ได้ครับ ระหว่างทำพิธีผมเองก็ได้อยู่ในงานวันนั้นด้วย สิ่งที่ผมคิดว่าแปลกเลยคือ ขณะที่พระท่านสวดอยู่นั้น อยู่ๆตาลปัตรของพระเกจิองค์นั้นที่ถืออยู่ก็เหมือนมีใครมาผลักเข้าให้ไปโดนหน้าพระเกจิเข้า แล้วพระเกจิท่านก็เอ่ยขึ้นมาว่า "นั่งฟังพระสวดรับพรเถอะโยม อย่าทำแบบนี้ให้เป็นบาปกรรมเพิ่มขึ้นเลย" ซึ่งทุกคนในงานก็เกิดอาการงงว่า ท่านพูดกับใคร หลังจากจบพิธีก่อนพระท่านจะกลับ พระเกจิท่านก็พูดกับครอบครัวผมว่า "ที่นี่ค่อนข้างแรงนะโยม อาตมาทำได้แค่สอนเขา จะให้ปราบเขาอาตมาคงทำไม่ได้ไม่ใช่กิจของสงฆ์นะโยม" แล้วท่านก็เดินทางกลับ
ผ่านไประยะหลังจากที่ได้จัดงานทำบุญบ้านในครั้งนั้น อาการของพี่เพชรก็ดีขึ้น สามารถกลับไปทำงานได้ แต่กลับไปทำงานได้ไม่นาน อาการของพี่เพชรก็หวนกลับมาอีกรอบ ซึ่งรอบนี้อาการหนักกว่าเดิม พี่เพชรได้เล่าว่าก่อนที่อาการจะกลับมา คืนนึงพี่เพชรเดินทางกลับจากที่ทำงานจะกลับบ้าน อาจจะด้วยความอ่อนล้าหรือเพลีย แกเล่าว่าได้ขึ้นรถตู้จากที่ทำงาน แต่พอขึ้นมาได้สักพักแกรู้สึกว่ารถตู้คันนี้ทำไมแปลกจัง ทุกคนนั่งนิ่งมองไปข้างหน้ากันหมด ซึ่งในรถคันดังกล่าวมีพระสงฆ์อยู่ด้วย บรรยากาศในรถเงียบสงัด อากาศอึดอัดชวนให้หายใจลำบาก พี่เพชรเลยมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น สิ่งที่แปลกอีกอย่างนึงก็คือตลอดระยะทาง รถตู้คันนั้นไม่ได้จอดแวะรับ หรือส่ง ผู้โดยสารท่านอื่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว พอนั่งมาได้สักพัก อยู่ๆพระสงฆ์ท่านก็พูดขึ้นมาว่า "โยม โยมที่ขึ้นมาคนสุดท้ายน่ะ จะถึงบ้านโยมแล้วนะ ลงรถแล้วกลับบ้านไปนะโยม" พี่เพชรจึงรู้สึกตัว แล้วรถก็จอดให้ลงหน้าปากซอยบ้านพอดี ในระหว่างเดินเข้าซอยด้วยอาการเหมือนอยู่ในภวังค์ พี่เพชรเล่าว่าวันนั้นไฟถนนในซอยปิดมืดไม่เปิดเลยสักดวง แล้วก็ไม่มีคนเดิน ไม่มีรถสัญจรในซอยเลยสักคัน แกก็เดินมาถึงบ้านก็เกิดอาการตกใจ เพราะเห็นว่าบ้านตัวเองจัดงานศพ แต่ในภาพนั้นแกบอกว่าพยายามมองว่างานศพใครก็มองไม่เห็น แล้วคนที่อยู่ในงานก็เป็นใครก็ไม่รู้ จนอยู่ๆก็มีเสียงแม่ของพี่เพชรเรียกแกจึงรู้สึกตัว
พอกลับเข้าบ้านแม่ของพี่เพชรก็ถามว่า ยืนทำอะไรหน้าบ้านตั้งนานไม่เข้าบ้าน พี่เพชรก็บอกว่าเหมือนเห็นภาพหลอน แม่เลยบอกแกว่าให้ไปอาบน้ำ หลังจากอาบน้ำเสร็จพี่เพชรก็เปลี่ยนไป
- คำบอกเล่าจากแม่ของพี่เพชรหลังจากที่พี่เพชรมีอาการแปลกไปหลังจากกลับมาถึงบ้าน (ขอแทนแม่พี่เพชรว่า "น้า" แล้วกันนะครับ)
น้าเล่าว่าหลังจากกลับมาก็มีอาการแปลกๆ อาบน้ำเสร็จก็แต่งตัวแปลกๆ ใส่ผ้าถุง เสื้อคอกระเช้า (ซึ่งปกติพี่เพชรจะไม่ใส่ชุดแบบนี้) และหน้าตากับผิวดูดซีดปนมีรอยข้ำขึ้นตามตัว แล้วพี่เพชรก็พูดกับน้าว่า หิวหาข้าวให้กินหน่อย อยากกินแกงส้ม น้าเองก็แปลกใจว่าแกรู้ได้ยังไงว่าทำแกงส้ม ซึ่งวันนั้นน้าก็ทำแกงส้มจริงๆ พอได้ข้าวพี่เพชรก็กินเหมือนคนอดอยาก ผู้หญิงตัวเล็กๆกินอะไรนิดๆหน่อย แต่มื้อนั้นกินข้าวไป 4 จาน กินเสร็จก็ไปนอนเล่นที่โซฟาแล้วก็พูดคนเดียว บ่นปวดหลัง ปวดขา ตกดึกน้าบอกว่าพี่เพชรนอนที่เดิมแล้วร้องโอกครวญว่าเจ็บไปทั้งตัวลุกไม่ไหว น้าเห็นท่าไม่ดีจึงโทรมาบอกแม่ผม ญาติๆจึงไปที่บ้านกันเลยคืนนั้น
เมื่อไปถึงที่บ้านพี่เพชร (ผมเองก็ได้ไปด้วย) เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบเที่ยงคืน มีพี่บางคนที่ไปถึงก่อนพูดว่า พาไปโรงพยาบาลเลย ด้วยความที่พี่เพชรลุกเดินเองไม่ไหว พี่ชายอีกคนเลยอุ้มไปขึ้นรถเบาะหน้าข้างคนชับ ตัวพี่เพชรเองก็ยังคงร้องโอดครวญอยู่เป็นระยะๆ แต่พอขึ้นไปนั่งบนรถแล้วตัวพี่เพชรเองก็นิ่งไปและทำตาโตมองไปข้างหน้าราวกับว่าโกรธอะไรสักอย่าง ตัวพี่ชายก็ได้ถามว่า ดีขึ้นแล้วหรอ ทันใดนั้นพี่เพชรก็เอื้อมมือไปหยิบพระที่ตั้งอยู่หน้ารถของพี่ชายแล้วปาออกไปนอกรถ ญาติๆเองก็บอกว่าไม่เป็นไร พาไปหาหมอเลย พี่ชายเลยได้ออกรถไป ญาติๆต่างเฝ้ารอฟังอาการของพี่เพชรในคืนนั้นเป็นระยะๆ จนในที่สุดก็ได้กลับ แม่ผมจึงบอกว่าให้เอามานอนที่บ้านของแม่ผมก่อนดีกว่า เพราะญาติๆอยู่กัน มีอะไรฉุกเฉินจะได้ช่วยกันดู จนเวลาประมานตี 3 กว่าก็ได้พักผ่อนกัน ญาติๆต่างเฝ้าพี่เพชรกันที่บ้านผมในคืนนั้น
รุ่งเช้าพี่เพชรเหมือนจะรู้สึกตัวและพูดรู้เรื่องกว่าเดิม ได้บอกกับญาติๆว่า อยากทำบุญให้พาไปหน่อย ครอบครัวเลยตกลงพาไปใส่บาตรไหว้พระที่วัดโสธร ฉะเชิงเทรา พี่เพชรได้แค่นั่ง เดินไม่ได้ ผมจึงได้ไปนิมนต์พระมารับบาตรข้างรถ 3 รูป และเณรอีก 2 รูป ตอนมารับบาตร เณรองค์หนึ่งมีท่าทีตกใจจนทำฝาบาตรตกพื้นตอนที่รับบาตรพี่เพชร แล้วพระองค์หนึ่งได้พูดว่า "สำรวมหน่อยเณร เห็นอะไรก็อย่าแสดงออกมากขนาดนั้น" แล้วท่านก็ให้พรแล้วเดินจากไป ทุกคนจึงเดินทางกลับบ้าน
เมื่อมาถึงบ้านก็เป็นเวลาช่วง 10-11 โมง พี่เพชรมีอาการแย่ลงทุกขณะ ถึงขั้นที่ว่าไม่สามารถอั้นถ่ายหนักถ่ายเบาได้ ทางครอบครัวเลยให้นำตัวส่งโรงพยาบาลอีกรอบ ญาติก็ไปรอดูอาการกันที่โรงพยาบาลพร้อมหน้า ทุกคนต่างลุ้นให้อาการดีขึ้น แต่สุดท้ายแล้วปฎิหารย์ก็ไม่เกิดขึ้น พี่เพชรเสียชีวิต ณ วันที่ 9 ก.พ. 2009 ครับ
เรื่องก็มีประมาณนี้นะครับ ไม่รวมเรื่องหลังจากพี่เพชรเสียไปแล้ว ซึ่งมันมีอีกนิดหน่อย หากมีผู้อ่านอยากทราบผมจะเพิ่มเติมให้ภายหลังนะครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ขออภัยหากเขียนหรือเรียบเรียงไม่ดี
ขอยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับครอบครัวของผมเองในเวลานั้น บางสิ่งบางอย่างเป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพเพื่อให้เกียรติแก่ผู้เสียชีวิตด้วยนะครับ ขอบคุณครับ