ทิศทางเศรษฐกิจโลก 2567 ประเทศยักษ์ใหญ่ไหว-ไม่ไหว หลังชะลอตัวรุนแรง

ทิศทางเศรษฐกิจโลก 2567 ประเทศยักษ์ใหญ่ไหว-ไม่ไหว หลังชะลอตัวรุนแรง

https://www.thansettakij.com/business/economy/584705

เศรษฐกิจสหรัฐฯ 

คาดว่าจะขยายตัว 1.4% ในปี 2567 ชะลอลงจาก 1.7% ในปี 2566 ตามการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในหมวดที่อยู่อาศัย ยังเผชิญข้อจำกัดจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับสูงและราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นในช่วงก่อนหน้า 
ขณะเดียวกัน การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงตามแรงกดดันเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงการสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษา (Student Loan Repayment) ในเดือนตุลาคม 2566 
ทั้งนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจ คาดว่า จะส่งผลให้การจ้างงานปรับตัวลดลงในระยะต่อไป ซึ่งจะเป็นข้อจำกัดการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ อีกทั้งแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มที่จะลดลง สะท้อนจากการลดลงของการขาดดุลการคลัง โดยสำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ (Congress Budget Office) คาดว่าปี 2567 รัฐบาลสหรัฐฯ จะขาดดุลการคลังคิดเป็น 5.6% ของ GDP เป็นการขาดดุลลดลงจาก 6.3% ในปี 2566 
ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในช่วงปลายปี 2567 ที่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการหยุดทำการชั่วคราวของรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ (Government Shutdown) คาดว่า ในปี 2567 เป็นต้นไป ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงเข้าสู่กรอบเป้าหมาย

เศรษฐกิจยูโรโซน
 
คาดว่าจะขยายตัว 0.9% ในปี 2567 เร่งขึ้นจาก 0.6% ในปี 2566 ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของการค้าโลกซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิต ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัว ภายหลังจากที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อปรับตัวลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความสามารถในการลดปริมาณการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียและเพิ่มปริมาณพลังงานสำรองได้มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
อีกทั้งยังมีปัจจัยสนับสนุนจากตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง รวมถึงแรงสนับสนุนจากมาตรการทางการคลังขนาดใหญ่ของสหภาพยุโรป คาดว่า ธนาคารกลางยุโรปมีแนวโน้มที่จะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ภายหลังจากอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง 
อย่างไรก็ตามยังมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูงต่อไป จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดระดับสู่เป้าหมายในระยะปานกลาง

เศรษฐกิจญี่ปุ่น 

คาดว่ามีแนวโน้มขยายตัว 0.8% ชะลอลงจาก 1.5% ในปี 2566 โดยเป็นผลมาจากแนวโน้มการชะลอตัวลงของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ภายหลังจากขยายตัวเร่งขึ้นในช่วงก่อนหน้า สอดคล้องกับแนวโน้มค่าจ้างแรงงานที่แท้จริงที่ยัง ลดลง ประกอบกับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าของอัตราแลกเปลี่ยน 
 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายของภาครัฐ เนื่องจากรัฐบาลได้มีการประกาศมาตรการเศรษฐกิจรอบใหม่ ประกอบกับการกำหนดกรอบวงเงินงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากปี 2566 รวมทั้งแรงสนับสนุนจากการขยายตัวของภาคบริการ โดยเฉพาะการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว 
ขณะเดียวกัน การดำเนินมาตรการทางการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางญี่ปุ่น โดยในการประชุมเมื่อวันที่ 30 -31 ตุลาคม 2566 ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินมาตรการ Yield Curve Control เพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กับการด่าเนินนโยบายมากขึ้น
ทั้งนี้ ภายใต้แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะต่ำกว่าเป้าหมายในปี 2567 ทำให้คาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำต่อเนื่อง จนกว่าจะสามารถบรรลุอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2.0% ในระยะยาว

เศรษฐกิจจีน
 
คาดว่าจะขยายตัว 4.3% ในปี 2567 ชะลอลงจาก 4.9% ในปี 2566 ตามการชะลอตัวของการลงทุนภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่ยังเผชิญกับข้อจำกัดจากปัญหาขาดสภาพคล่องและภาระหนี้สินที่อยู่ในระดับสูง สะท้อนจากยอดการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ปรับลดลง 
ขณะที่ภาคการผลิตและการส่งออก ยังมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังคงมีเพิ่มเติม ส่งผลให้ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Caixin PMI) ภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2566 ลดลงไปอยู่ที่ 49.5 ต่ำสุดในรอบ 3 เดือน 
เช่นเดียวกับมูลค่าการส่งออกสินค้าในเดือนตุลาคม 2566 ลดลง 7.9% ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 6 และปริมาณสินค้าคงคลังภาคอุตสาหกรรมยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่การใช้จ่ายภายในประเทศยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงสอดคล้องกับแรงกดดันด้านเงินฝืดโดยอัตราเงินเฟ้อ ในเดือนตุลาคมอยู่ที่ -0.2% 
นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนยังเผชิญกับปัญหาภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ ซึ่งจะเป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวของการลงทุน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน 
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มได้รับแรงสนับสนุนจากการดำเนินนโยบายทางการคลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มเติมสำหรับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนและลดความเสี่ยงด้านหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการด่าเนินการดeเนินมาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NIEs) 

มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวในเกณฑ์ต่ำในปีก่อนหน้า ตามการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ท่ามกลางการลดลงของแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคบริการ โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว รวมถึง ภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้น ตามการฟื้นตัวของการค้าโลกและวัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ 
โดยคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2567 ของเกาหลีใต้ จะขยายตัว 2.0% เร่งขึ้นจาก 1.1% ไต้หวัน จะขยายตัว 2.9% เร่งขึ้นจาก 0.8% และสิงคโปร์ จะขยายตัว 2.0% เร่งขึ้นจาก 1.0% ในปี 2566 ขณะที่เศรษฐกิจฮ่องกง คาดว่า จะขยายตัว 2.5% ในปี 2567 เทียบกับ 3.2% ในปีก่อน 

เศรษฐกิจอาเซียน 

ในปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้น ตามการกลับมาขยายตัวของการส่งออกสินค้า ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของการค้าโลก ประกอบกับการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ยังอยู่ในระดับสูงส่งผลให้ธนาคารทั้งสองประเทศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในเดือนตุลาคม 2566
ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2567 เศรษฐกิจอินโดนีเซีย จะขยายตัว 4.8% เร่งตัวขึ้นจาก 4.7% มาเลเซีย จะขยายตัว 4.0% เร่งตัวขึ้นจาก 3.8% ฟิลิปปินส์ จะขยายตัว 5.5% เร่งตัวขึ้นจาก 5.0% และเวียดนาม จะขยายตัว 5.4% เร่งตัวขึ้นจาก 4.6% ในปี 2566 
ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2566 มีแนวโน้มที่จะขยายตัว 2.5% ต่อเนื่องจากการขยายตัว 2.6% ในปี 2565 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ 1.4% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.0% ของ GDP เทียบกับการขาดดุล 3.2% ในปี 2565

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่