รู้สึกหดหู่ จมอยู่กับความสุขในอดีต...

นี่เป็นกระทู้แรกของของผมนะครับ หากผิดพลาดประการใดขออภัยเอาไว้ก่อน ยาวนิดนึงนะครับ แต่ขอขอบคุณที่ให้เล่า ^_^

          ก่อนอื่นเลย ผมต้องขอสวัสดีปีใหม่ 2024 ทุกคนด้วยนะครับ ขอให้เป็นปีที่ดีของทุกคน อะไรที่แย่ ๆ ก็ขอให้ดีขึ้นในปีนี้นะครับ เริ่มกันเลยดีกว่า 5555

          ต้องเกริ่นก่อนนะครับว่าเมื่อปี 2018 เป็นปีที่ผมจบ ม.ปลาย และเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งชีวิต ม.ปลาย ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของผมแล้วก็ได้ มีสังคม มีเพื่อน มีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทำ มีเวลาให้ผ่อนคลาย และที่สำคัญ มีความสุข จนกระทั้งผมเข้ามหาลัย ก็ได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง และสุดท้ายก็ได้เป็นแฟนกัน ชีวิตก็ดำเนินต่อมาเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้มีความสุขเท่าตอน ม.ปลาย อาจเป็นเพราะว่าช่วงนั้นเริ่มหมดไฟในสิ่งที่เรียนอยู่ด้วยแหละ แถมยังได้เรียนออนไลน์เพราะเจ้าโควิดอีก 2 ปีหลัง ทำให้รู้สึกหมดไฟไปอี๊ก ซ้ำยังไม่ค่อยมีเวลาไปสังสรรค์เพราะทั้งงานจากมหาลัย ทั้งงานที่รับเขามา (รับจ้างเป็นฟรีแลนซ์) มันเยอะเหลือเกิน แต่รวม ๆ แล้วก็ไม่ได้แย่ถ้าเทียบกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น...

          จนกระทั่งเรียนจบเมื่อปี 2022 ก็ไม่รู้จะทำอะไรเพราะระหว่างเรียนก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียว จนคว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 ไว้ได้ ก็ดีใจแหละ จึงตัดสินใจเรียนต่อต่างประเทศ ทำเรื่องสอบวัดระดับภาษา ทำวีซ่าทุกอย่างเรียบร้อย บินไปกับแฟน หอบความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ไปว่าจะได้สร้างอนาคตที่นั่น แต่ แต่ แต่ แต่ก็ต้องมีเรื่องมาให้ปวดหัวอยู่ตลอด

          เริ่ม 2023... ผมกับแฟนหางานพิเศษทำที่นั่น งานนี่หายากเหลือเกินกว่าจะได้งานก็ปาไปเกือบเดือน แต่ก็เข้าใจว่าประเทศมันเริ่มเปิด นักเรียนต่างชาติจากประเทศอื่นที่ภาษาแข็งกว่าเราก็แห่กันไปเหมือนกัน พอได้ทำงานก็โดนโกงค่าแรง โดนพูดจาดูถูกโดยนายจ้างคนไทยนี่แหละ บางงานนี่ไม่จ่ายเลย บอกว่าจะพิจารณาบ้าง อะไรบ้างต่าง ๆ นา ๆ คนที่นั่นเห็นว่าเป็นเอเชียก็ไม่ค่อยอยากผูกมิตรด้วย ก็นะ ประชากรชั้นสอง ส่วนแฟนก็ดูไม่มีความสุขกับสภาพแวดล้อมและสิ่งที่เรียน ขอความช่วยเหลือจากเอเจนซี่เขาก็อ่านแล้วไม่ตอบ อาจจะไม่ว่างแหละ เข้าใจ สุดท้ายคือรู้สึกฝันสลายเพราะไม่เป็นตามที่คิดไว้ ก็เลยตัดสินใจกลับไทยเสียเลยหลังจากการพำนักที่นั่นได้เพียงแค่ 2 เดือน... 

          ความพยายามที่สั่งสมมาทั้งผลสอบวัดระดับภาษาและเกียรตินิยมกลายเป็นเรื่องตลก เนื่องจากเรียนจบสายภาษามาโดยตรง ก็พยายามไปสมัครงานแปลภาษา เพราะอยากเป็นฟรีแลนซ์ ทำงานจากที่บ้าน ไม่อยากมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางหรือค่าที่พัก แต่ไปสมัครที่ไหนเขาก็ไม่ตอบ แต่ก็นะ ตัดสินใจกลับมาแล้ว มันก็ต้องทำใจแหละมั้ง ก็พยายามสมัครงานเรื่อย ๆ ก็มีแบบทดสอบแปลภาษามาให้ทำเรื่อย ๆ เช่นกัน แต่พอส่งแบบทดสอบกลับไป เขาก็ไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย หรือทักษะการแปลของผมจะไม่เข้าขั้น... ทำให้ผมเริ่มมองตัวเองว่าที่ผมพยายามมาเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด ผมจึงปรึกษากับพ่อ แกเลยให้ไปฝึกเป็นช่างแอร์ พร้อมพรรณาสรรพคุณต่าง ๆ ของการเป็นช่างแอร์จนผมเคลิ้มตามไป และตอบตกลงว่าจะไปฝึกกับเพื่อนของเพื่อนแกอีกที

          ถ้าคิดว่ามันจะจบแค่นั้น เปล่าเลยครับ ตั้งแต่ไปฝึกงานกับลุงช่าง ผมก็เริ่มตั้งคำถามกับมนุษยชาติว่า เป็นเ-ี้ยอะไรกันหมดเอ่ย -ูไปทำอะไรให้พวก-ึง ผมโดนพูดต่อว่าเสียดสีต่าง ๆ นานา เพราะผมหาอุปกรณ์ไม่เจอ แล้วอุปกรณ์ที่เก็บก็เป็นระเบียบเหลือเกิ๊น วันนึงอยู่กล่องนั้น อีกวันอยู่กล่องนู้น บอกให้เอาไอนู่นมา แล้วไอนู่นมันคืออะไรครับท่าน ถ้าท่านไม่บอกชื่ออุปกรณ์เช่น ค้อน หรือ สว่านตัวเล็กมา ผมจะไปทราบกับท่านไหมว่าไอนู่นคืออะไร ทำให้ผมระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าจะโดนอะไรอีก แต่ที่ทำให้ผมท้อสุด ๆ คือท่านลูกค้าประจำที่น่ารักทุกคนของลุงช่าง "ไม่ต้องเรียนจบสูง ๆ ก็ได้เนอะลูก ทำงานแบบนี้ก็ดีนะ พอเลี้ยงชีพได้" หรือจะเป็น "ป้ามีลูกอายุเท่าหนูนี่แหละ ตอนนี้เป็นอัยการอยู่กรุงเทพ" หรือจะเป็น "มันซื่อบื้อ!!" จะพูดทำไมครับ... ให้เสียความรู้สึกเล่นๆ หรือยังไง คือ-ึงรู้จัก-ูดีพอแล้วหรือจึงจะมาตัดสิน ตามจริงแล้วผมก็ไม่ได้เป็นคนใส่ใจคำพูดคนเท่าไหร่หรอก แต่นี่ผมมีเรื่องที่เฟลอยู่ในใจอยู่แล้ว ยังมาทำให้รู้สึกดีขึ้นอีกเนาะ ไหนจะโดนลุงช่างเองเอาผมไปนินทากับเพื่อน ๆ แกอีก (แต่ผมดันได้ยินไง) แต่ทั้งหมดนี้ทำให้ผมย้อนกลับไปตอนที่ผมโดนด่า โดนดูถูกที่ต่างประเทศ ผมเริ่มคิดว่าผมตัดสินใจผิด ผมกลับมาทำไม คืนวันนั้นผมคิดแล้วคิดอีก เป็นคืนที่ผมคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่าคงไม่มีเหตุผลในการอยู่ต่อ รู้สึกหมดหวังและไร้ค่า

          ในนาทีที่ผมกำลังหาเชือกในโกดัง ทำสิ่งที่กล้าหาญที่สุด หรือจะมองว่าขี้ขลาดที่สุดในชีวิตก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน เสียงประตูเลื่อนก็ดังขึ้นแล้วพ่อก็เดินเข้ามา ตอนแรกแกก็งง ๆ แหละ พร้อมถามว่า "มาทำอะไรในโกดัง เที่ยงคืนแล้วทำไมไม่หลับไม่นอน พรุ่งนี้ต้องไปฝึกเป็นช่างต่อ" ผมก็ได้แต่เงียบแล้วบอกไปว่ามาหาของ แกก็เออ ๆ ออ ๆ แล้วตอบกลับมาว่าใจไม่ดี ขอมานอนด้วย ปฏิบัติการลาโลกครั้งนั้นจึงต้องยกเลิกไป แต่ก็ยังมีความคิดแบบนี้มาอยู่เรื่อย ๆ ทุก ๆ คืน แต่ก็ทำไม่ได้เพราะพ่อเล่นมานอนเฝ้าสะขนาดนี้ เฮ้อ ฝึกได้ประมาณ 2 เดือนกว่า ๆ ก็ทนความ Toxic ของลุงแกไม่ได้จริง ๆ อะไรหายก็โทษผม อุปกรณ์ตัวไหนผมไม่รู้จักก็จะโดนว่า คือผมไม่ได้มีพื้นฐานเรื่องช่างมาก่อนไง แล้วที่มาทำก็อาจเพราะเคลิ้มเฉย ๆ นั่นแหละ แล้วแฟนก็ดันมีปัญหากับที่บ้านเขา เพราะแฟนผมอยากทำธุรกิจและกำลังไปได้สวย แต่ที่บ้านไม่สนับสนุนก็เลยทะเลาะกัน ผมก็เลยให้มาอยู่ด้วยกันแล้วก็เปิดธุรกิจต่อ แต่ก็นะ อาจเป็นเพราะสินค้าที่ขายไม่ได้ตอบโจทย์คนในพื้นที่ที่นี่สักเท่าไหร่ ไม่เป็นที่นิยมเหมือนในที่ที่แฟนผมจากมา ก็เลยขาดทุนและต้องปิดตัวไป แต่ก็ดีที่ไม่ได้ลงทุนไปมาก ตั้งแต่นั้นมา ผมกับแฟนก็รับงานแปลแบบฟรีแลนซ์มาโดยตลอดเพราะคิดว่าถึงส่ง resume ไปก็คงไม่มีใครตอบกลับมา ผมคิดว่าไม่แม้แต่จะอ่านด้วยซ้ำ 
       
          ผมเลิกเล่น social media ไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนสนิท ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็มักจะเข้าไปใน Discord เพื่อคุยเล่นผ่อนคลายกันอยู่ประจำ แต่ทำไมไม่รู้ ช่วงหลัง ๆ มาผมไม่กล้าไปพบปะกับพวกเขา อาจเป็นเพราะผมไม่อยากทำให้เพื่อนหดหู่แหละมั้ง คนอื่นก็มีอนาคต แล้วสามารถอยู่กับปัจจุบันกันได้หมด น่าจะมีแต่ผมนี่แหละที่ยังอยู่แต่ในอดีต เกาะเศษเสี้ยวความทรงจำดี ๆ เอาไว้ก่อนนอนให้อิ่มใจ ไม่ว่าจะตอนอยู่ ม.ปลาย ตอนที่ได้ไปแข่งวิชาการ หรือตอนอยู่มหาลัย ตอนที่ได้เจอกับแฟน ไปเที่ยวด้วยกัน หรือแม้กระทั่งตอนผมรู้สึกหวาดกลัวที่สุดอย่างการไปฉีดวัคซีนกันโควิด (เป็นคนกลัวเข็ม 555) ทุกอย่างดูเป็นเรื่องสนุกไปหมดเมื่อเทียบกับปัจจุบันที่แสนจืดจางและว่างเปล่า ซึ่งในสมองน้อย ๆ นี้ยังคงคิดถึงวันวานอันหวานหอมเหล่านั้นอยู่ตลอด ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมก็อยากพาแฟนผมกลับไปมีความสุขด้วยกันอีกครั้ง...

          "ไป -ึงกับ-ู สมัครชมรมบาสกัน" หนึ่งในเพื่อนสนิทของผมเมื่อตอน ม.ปลาย ชวนผมไปสมัครชมรมบาสเมื่อปี 2015 ถึงพวกเราสองคนจะเล่นไม่เก่งเท่าคนอื่นในชมรม แต่ก็เล่นขำ ๆ สนุก ๆ กันไป มันเป็นคนตัวผอม ค่อนข้างสูง มีสิว บุคลิกร่าเริง ชอบพูดอะไรตลก ๆ อยู่ด้วยแล้วรู้สึกไม่เครียด วันไหนที่ไม่มีคาบเรียนช่วงบ่าย มันจะมานั่ง ๆ นอน ๆ เล่นเกมส์มือถืออยู่ใต้อาคาร ไม่ก็ศาลาข้างห้องน้ำ เป็นที่ที่ลมโกรกเย็นสบายในช่วงบ่าย มันจะชอบสั่งมะม่วงเปรี้ยวมากินเพลิน ๆ ปาก และทุกครั้งที่ผมเห็นว่ามันกำลังมันส์อยู่กับการเล่นเกมส์ ผมก็จะพูดว่า "โห สิวอย่างสุก มา -ูขอบีบหน่อย เชื่อ-ู ไม่เจ็บ ๆ" และลงท้ายด้วยการที่มันด่าผมว่าโรคจิต 55555 เราเล่นบาสด้วยกันอยู่เป็นประจำ พอกลับถึงบ้านก็เล่นเกมส์ออนไลน์กับมันจนค่ำมืด แต่หลัง ๆ มาช่วงบ้ากิจกรรมวิชาการจนถึงช่วงใกล้จบ ผมแยกจากมันเพราะไปติดอยู่กับอีกกลุ่มมากกว่า แต่ก็คุยกันเหมือนเดิม เพื่อนกัน ชิว ๆ ไป ซึ่งก่อนผมไปต่างประเทศก็บังเอิญเจอมันที่ห้าง ก็ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกัน ผมก็เลยบอกมันไปว่าผมกำลังจะไปเรียนต่อ มันก็ดูสนใจแหละ บอกว่ากำลังหาวิธีเหมือนกัน ผมเลยบอกมันไปว่าอยากถามอะไรเรื่องนี้ก็ทักมาคุยได้ แต่เมื่อประมาณ 4 เดือนที่ผ่านมา มันติดต่อกลับมาเรื่องเรียนต่อต่างประเทศ แต่ตอนนี้ ผมหอบความผิดหวังกลับมานอนซมอยู่ที่ไทยแล้ว เลยไม่ค่อยมีอารมณ์อยากจะตอบหรอกเพราะสำหรับผมแล้วยังถือว่าเป็นแผลสดอยู่ ไม่อยากพูดถึง รู้สึกเฟล แต่ก็ไม่ได้บอกมันว่ากลับมาไทยแล้ว มันก็พิมพ์รัวมาเลยว่าอยากไปมั่ง แต่ผมดันตอบไปแค่บรรทัดเดียวว่า "อยากได้คำแนะนำอะไรมั้ย" แล้วจากนั้นมันก็อ่านไม่ตอบอีกเลย แบบ อีกเลยจริง ๆ ...

          เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมได้รู้มาจากเพื่อนในกลุ่มว่า มันจากไปแล้ว มันจบชีวิตตัวเองลงจากอาการซึมเศร้า อะไรคืออาการซึมเศร้า ไม่รู้สิ แต่ผมไม่โทษเพื่อนของผมหรอก ผมคงต้องโทษสิ่งที่ทำให้เพื่อนเป็นซึมเศร้ามากกว่า อะไรทำให้คนที่คอยสร้างเสียงหัวเราะให้กับเพื่อนทั้งห้องคิดทำอะไรแบบนั้น ตั้งแต่รู้ข่าวมา ผมก็หยุดคิดไม่ได้ว่าผมเป็นหนึ่งในสาเหตุหรือเปล่าวะ เพื่อนมาขอคำปรึกษาแต่ไม่ได้ให้อะไรกลับไปเลยทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนสนิทกัน ผมรู้ว่ามีสาเหตุอื่นด้วย แต่ถ้าหากผมเป็นหนึ่งในสาเหตุขึ้นมาหล่ะ แม้จะเล็กน้อยเพียงใดก็คือสาเหตุหรือเปล่า แล้วความคิด "จบ..." ก็กลับมาหาผมอีกครั้ง...

          ทำไมชีวิตวัย 24 ต้องมาเจออะไรขนาดนี้ด้วย... ผมถามตัวเองพลางคิดว่าชาตินี้คงไม่มีทางมีความสุขแบบสมัยเรียนได้อีกแล้ว ความฝันการใช้ชีวิตต่างประเทศพังไม่เป็นท่า โดนดูถูกเหยียดหยามจากคำพูดของคนแปลกหน้า ธุรกิจก็ไปไม่รอด แถมปิดท้ายปีแบบสวย ๆ ด้วยการเสียเพื่อนไป... บางทีผมอาจไม่เหมาะกับการมีชีวิตอยู่ก็ได้ แฟนผมก็คิดเหมือนกันนะ อยู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า "แก สั่งเค้กแซลม่อนสัก 20 ก้อนกินแล้ว จบชีวิต กันเลยมั้ย" ผมได้แต่ยิ้มแล้วบอกกับเธอว่า "ไม่เอาอ่ะ ขอทำใจให้กล้ากว่านี้ก่อน 5555" ทุกครั้งที่เดินอยู่ข้างถนนก็ภาวนาให้รถบรรทุกเลี้ยวเข้ามาชน เพราะใจจริง ๆ แล้วผมไม่กล้าที่จะรู้ว่าผมกำลังจะตาย แต่ผมแค่ไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปแล้ว เพื่อนผมต้องเป็นคนที่ใจกล้าใจเด็ดมากขนาดไหนที่สามารถทำสิ่งที่ผมไม่กล้าได้...

          แต่ก็นะ ทุกครั้งที่สมองมันว่าง ก็ชอบคิดถึงเรื่องราวในอดีต ชอบพูดแต่เรื่องสมัยเรียนว่ามีความสุขแค่ไหนให้แฟนฟังแม้ว่าจะเป็นเรื่องเดิม ๆ ก็ตาม จบบางครั้งเธอก็บ่นว่า "พูดแต่เรื่องเก่า ๆ เหมือนคนแก่" ก็จริงครับ เพราะปัจจุบันไม่มีอะไรที่อยากให้พูดถึงเลย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกจิตตกทุกครั้งที่รู้ว่าตัวเองเคยมีความสุขขนาดไหน ตอนนี้เหมือนมีแต่ความทรงจำดี ๆ ในอดีตเท่านั้นที่หล่อเลี้ยงผมอยู่ แล้วผมก็กลัวว่า... ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน 2024 2025 2026 ผมอาจจะไม่สามารถสลัดความรู้สึกที่แสนหดหู่ของปี 2023 ออกไปได้ เฮ้อ ไม่ต้องห่วงนะเพื่อน ถ้าหากอะไรไม่ดีขึ้น -ูน่าจะได้ตาไปเร็ว ๆ นี้แหละ ให้เวลา-ูรวบรวมความกล้าแปป ยิ้ม)

          ปล. ใครจะด่าว่าโง่หรืออะไรก็ด่าเลยครับ ผมโดนมาหมดแล้ว ไม่เป็นไรหรอก ยิ้ม)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่