บทสรุปปี 2023 เราเรียนรู้อะไร
และมองไปข้างหน้าปี 2024 โดยเด็กการเงิน
ปีนี้เชื่อว่านักลงทุนทุกคนน่าจะได้เห็นกองทุนกลับมาบวกได้บ้าง หลังจากที่ปี 2022 เป็นปีที่ทำให้ทุกตลาดติดลบหนักทีเดียว เราขอรวบรวมผลตอบแทนกองทุนรวมต่างประเทศกลุ่มต่างๆให้เห็นภาพรวม มีบทสรุปปี 2023 เราเรียนรู้อะไร และมองไปข้างหน้า ปี 2024 คาดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไปดูกันเลย
กลุ่มที่ได้ผลตอบแทนดีที่สุด (YTD 28 ธ.ค.)
1. กลุ่ม Blockchain และ Digital Currency Exchange +60 ถึง 190%
2. กลุ่ม Next Generation Internet +55 ถึง 78%
3. กลุ่ม Semiconductor +50 ถึง 60%
4. กลุ่ม Fintech +50 ถึง 55%
5. กลุ่ม Big Tech USA & NASDAQ100 +45 ถึง 55%
6. กลุ่ม Large-Mid Cap Growth (Global & USA) +36 ถึง 45%
7. กลุ่ม Cybersecurity +32 ถึง 35%
8. กลุ่ม Digital Economy / E-Commerce +27 ถึง 28%
9. กลุ่มหุ้นญี่ปุ่นดัชนี Nikkei และกองเน้นหุ้นใหญ่ญี่ปุ่น +26 ถึง 27%
10. กลุ่มหุ้นอินเดียแบบ Active +22 ถึง 25%
แถม.... กลุ่มหุ้นดัชนี S&P500 +20 ถึง 22% 😄
กลุ่มที่ได้ผลตอบแทนแย่ที่สุด (YTD 28 ธ.ค.)
1. กลุ่มหุ้นจีนแบบ All-China และ A-Share แบบ active -41 ถึง -30%
2. กลุ่มหุ้นพลังงานสะอาด -31 ถึง -28%
3. กลุ่ม Next Gen Health Care / China Heath -21 ถึง -20%
4. กลุ่มหุ้นไทยขนาดเล็ก -19 ถึง -17%
5. กลุ่มหุ้นไทยแบบแอคทีฟ -17 ถึง -13%
6. กลุ่มหุ้นจีนดัชนี A-Share -14 ถึง -13%
7. กลุ่มหุ้นไทยดัชนี SET50 หรือ Jumbo25 -13 ถึง -8%
8. กลุ่มหุ้น ASEAN -9 ถึง -5%
9. กลุ่มหุ้น Asia Pacific Ex Japan -8 ถึง -5%
10. กลุ่ม Oil (Commodity) -6 ถึง -4%
👉ย้อนดูปี 2023
+ การกลับมาของ Cryptocurrency โดยเฉพาะ Bitcoin ที่มีความหวังว่าจะเกิดเป็น ETF และจะเริ่ม Halving ในปีหน้า มีผลมากต่อกลุ่ม Blockchain และ Digital Currency Exchange ให้เป็นกลุ่มที่เติบโตดีที่สุดในปีนี้
+ หุ้นที่มี Global Revenue หรือมี Edge ในเรื่อง Technology สามารถเติบโตได้ดี โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Generative AI ตามด้วยชิปและเซมิคอนดัคเตอร์ ที่ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในยุคนี้
+ ดอกเบี้ย ธ.กลาง USA, EU, UK คาดว่าถึงจุดสูงสุดแล้ว หลังจากที่ทั้งสามธนาคารคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ อัตราเงินเฟ้อเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะมีการลดดอกเบี้ยในปีหน้า เป็นผลดีต่อหุ้น Growth หรือหุ้นที่อยู่ในช่วงเติบโต มี valuation ที่ดีขึ้น และเป็นผลดีต่อหุ้นที่ต้องการ financing จะดูดีขึ้นเมื่อเป็นดอกเบี้ยขาลง
+ หุ้นญี่ปุ่นได้ผลดีจาก ultraloose monetary policy ดอกเบี้ยนโยบายติดลบ ธนาคารกลางญี่ปุ่นต้องการให้เงินเยนอ่อนเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพิ่มเงินเฟ้อภายในประเทศหลังจากที่อยู่ในสภาวะเงินฝืดมาอย่างยาวนาน และยังเป็นผลดีต่อหุ้นส่งออกอีกด้วย
+ หุ้นอินเดีย เติบโตจากบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนจากต่างประเทศ จากนโยบายประเทศที่ต้องการเป็นฐานการผลิตของโลก การเมืองค่อนข้างมั่นคง
+ แถม!! NASDAQ100 และ S&P500 ที่ดีดขึ้นจากปี 2022 อย่างเห็นได้ชัด กลุ่มหุ้นเจ็ดนางฟ้า คือ Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Meta, Tesla และ Nvidia ที่เติบโตได้ดีในช่วงต้นปี ครึ่งปีหลังทดแทนด้วยหุ้น laggard ที่ค่อยๆขึ้นตามมา เช่น Bank, Health Care, Utilities เป็นต้น จากการที่ตลาดคาดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟดถึงจุดสูงสุดแล้ว ทำให้ NASDAQ100 ทำ All time high (ATH) ได้ ส่วน S&P500 ขาดอีกไม่ถึง 100 จุด ก็จะ ATH เช่นกัน
-หุ้นจีน ประเทศจีนมีการเปิดประเทศ ให้ชาวต่างชาติเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่ ม.ค. 2023 และตั้งเป้าเศรษฐกิจเติบโตที่ 5% ต่อปี (ซึ่งเราคิดว่าได้ตามเป้า) ทำให้ช่วงแรกของปี หุ้นจีนดีดขึ้นอย่างมีความหวัง
แต่ปัญหาหลายๆอย่าง เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ทยอยผิดนัดชำระหนี้มาตั้งแต่ปี2022 ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ปัญหาการว่างงาน เป็นต้น และตลาดค่อนข้างผิดหวังกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ กลุ่มทุนต่างชาติไหลออก ทำให้ตลาดหุ้นจีน worst performance ที่สุดของปี ..ปีหน้ามาลุ้นจุดกลับตัวกันนะ
-หุ้น Next Gen Health Care ไม่มีพัฒนาการใหม่ๆในปีนี้ ทำให้ underperform กลุ่มเทคอื่นๆ
-หุ้นไทย แม้มี election rallyในช่วงครึ่งปีแรก แต่ความล่าช้าในการผ่านงบประมาณของรัฐ แนวโน้มนโยบายรัฐที่เป็นแบบประชานิยมมากขึ้น ภาคครัวเรือนมีหนี้สูง เป็นภาระของรัฐบาลที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศมีการเติบโตไปเป็นประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางให้ได้ กับดักหนี้ เงินดิจิตอล และเงินทุนไหลออก เป็น 3 สาเหตุสำคัญที่ทำให้แนวโน้มการเติบโตของตลาดหุ้นไทยไม่สดใสนัก แม้มีเม็ดเงิน TESG มาช่วยในช่วงท้ายของปี เราต้องเอาใจช่วยหุ้นไทยในปีหน้าแล้วล่ะ
-กลุ่ม Oil Commodity เมื่อเทียบ Year-on-Year พบว่าราคาน้ำมันมีความอ่อนตัวกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย ราคาน้ำมันในปีนี้ผันผวนมาก ระหว่าง 72-96$ ต่อ บาร์เรล กลุ่มโอเปคมีเอกภาพน้อยลงจากการประชุมล่าสุดที่ลดกำลังการผลิตได้น้อยกว่าความคาดหวังของตลาด ทำให้ราคาน้ำมันในช่วงท้ายของปีอ่อนตัวลง และอาจจะลงต่อเนื่องไปจนถึงช่วงต้นปี 2024 ได้
👉2022-2023 เป็นปีที่ต้องจดจำ
ในปี 2022 โลกกำลังฟื้นตัวจากCovid-19 เศรษฐกิจฟื้นตัวจากชาติที่พัฒนาแล้วไปยังชาติที่กำลังพัฒนา (ที่ได้วัคซีนช้ากว่า) การขึ้นดอกเบี้ยน่าจะค่อยๆเป็นค่อยๆไปและคาดการณ์ได้
แต่มีสงครามรัสเซีย-ยูเครนเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ทำให้ราคาพลังงานสูงขึ้น ค่าขนส่งสูงขึ้น ส่งผลเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงในหลายๆชาติ ทำให้ต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ (ไม่เช่นนั้นมูลค่าของเงินจะสูญเสียไปมากยิ่งขึ้น)
โดยเฉพาะในชาติตะวันตกที่มีการขึ้นดอกเบี้ย เร็วและแรง ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกติดลบในปี 2022 โดยเฉพาะหุ้นเล็กหรือหุ้นเติบโต หลายคนท้อใจ หมดหวัง ตลาดหุ้นจากที่ติดลบหนัก เจ็บตัวกันทุกคน
อย่างไรก็ตาม ในปี 2023 จากปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น การคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยใกล้จุดสูงสุด เศรษฐกิจUSAดีกว่าที่คาด และไม่เกิด Recesion หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีกำไรต่อเนื่อง จนถึงช่วงปลายปีที่ มีการคงดอกเบี้ยเฟดตั้งที่อยู่ในระดับสูงสุดราว 5.5% ดอลล่าร์ที่แข็งค่ามาตลอดทาง อ่อนตัวลงในช่วงปลายปี
ระหว่างทางเราได้เรียนรู้และเจอคำนิยามใหม่มากมาย เช่น Mild Recession, Soft Landing, Higher for Longer เป็นต้น เราเชื่อว่าทุกคนเก๋าเกมมากขึ้นในการลงทุนรอบ 2020-2023 นี้ ...
👉บทสรุปของปี 2023
การขึ้น-ลง ของดอกเบี้ยเป็น Super Cycle ที่นักลงทุนจะต้องเรียนรู้และเราฝืนตลาดไม่ได้ เมื่อตลาดเป็นขาลง เราก็มีโอกาสได้ต้นทุนที่ต่ำลงด้วยเช่นกัน เราควรเริ่มลงทุนด้วยการการจัดพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง และได้เฉลี่ยต้นทุนอย่างสม่ำเสมอ ดังนี้
1. มีสินทรัพย์มากกว่า 2 ชนิดขึ้นไป เช่น ตราสารหนี้และตราสารทุน(หุ้น) และจัด asset allocation ให้มีความเหมาะสม เช่น 60/40 70/30 80/20 เป็นต้น ยิ่งมีหุ้นมาก พอร์ตจะยิ่งผันผวนมาก ต้องลงทุนนานขึ้น เช่น 60/40 ลงทุนอย่างน้อย 5 ปี 70/30 ลงทุนอย่างน้อย 7 ปี และ 80/20 ที่ 10 ปี เป็นต้น
2. ในส่วนหุ้น ให้กระจายไป อย่างน้อย 2-3 ตลาด ที่มีโอกาสเติบโต เช่น มีสินค้าและบริการกระจายไปได้ทั่วโลก หรือ ตลาดหุ้นภายในประเทศมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสูง
3. ทำการเฉลี่ยต้นทุนอย่างสม่ำเสมอ แม้เราเริ่มลงทุนในช่วงปี 2021-2022 จะสังเกตได้ว่าต้นทุนติดลบน้อยลงมาก หากเรามีการ DCA อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นบวกได้
หรือหากเป็นการเทรด เราต้องมีการกำหนดจุด cut และทำตามวินัยอย่างเคร่งครัด
👉มองไปข้างหน้า 2024
สมมติฐาน:
- เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อค่อยๆเข้าสู่เป้าหมายของธนาคารกลาง USA, EU, UK
- เชื่อว่าสภาวะเศรษฐกิจจะอ่อนแอลงในช่วงต้นปีที่ยังคงเป็นหน้าหนาว ตลาดอาจจะมีความกังวลหรือปรับฐานได้บ้าง
- เชื่อว่ามีการลดดอกเบี้ยลง เริ่มช่วงกลางปี หรือเร็วกว่าหากเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะถดถอย คาดว่าอย่างแย่ที่สุดคือ mild recession ที่เศรษฐกิจติดลบเพียง 1-2% และค่อนข้างชั่วคราว
- ดอลล่าร์มีแนวโน้มอ่อนตัวลงตามความคาดหวังในการลดดอกเบี้ย เร็วและแรงแค่ไหน
คาดการณ์:
- กลุ่มตราสารหนี้ทั่วโลกน่าจะได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025 เมื่อดอกเบี้ยลด ราคาตราสารหนี้จะเพิ่ม
- กลุ่ม Global Growth เติบโตต่อเนื่อง อย่างน้อยถึงปี 2025
- ตลาดหุ้น USA ยังคงไปต่อได้ แต่ mid-small cap เช่น Russell2000 น่าจะมี upside มากกว่า
- ตลาดหุ้น EU ฟื้นตัวต่อ และมีความกังวลเรื่อง Russia-Ukraine น้อยลง
- ปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีนจะคลี่คลายลง รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นเพื่อให้ได้ตามเป้า แต่ตลาดยังไม่ทราบจุดกลับตัวแน่ชัด...
- ตลาดหุ้นเอเชียได้อาณิสงค์จากดอลล่าร์อ่อน ดีต่อ จีน อินเดีย เกาหลีใต้ ไทย เวียดนาม ฯลฯ
- เชื่อว่าไทยมีเศรษฐกิจเติบโตราวๆ 2-3%ต่อปี และน่าจะ bottom out ได้ช่วงกลางปี ที่มีความชัดเจนเรื่อง digital wallet และเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นจากค่าเงินดอลล่าร์อ่อนลง
- ราคาน้ำมันอยู่ราวๆ 70-80$ ต่อบาร์เรล คิดว่าไม่มีทางเห็นเลข100$ ต่อบาร์เรล หากไม่มีเหตุการณ์extreme เช่นสงครามใหม่ๆ ราคาน้ำมันในช่วงประมาณนี้ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทั่วโลก ทรงตัวหรือลดต่ำลง
-ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มที่ดีจากดอลล่าร์อ่อน และอาจจะมีปัจจัยบวกจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์หรือความขัดแย้งระหว่างชาติได้ แต่เราคิดว่าไม่เกิดสงครามใหม่ๆบนโลกนี้นะ
...ดูแล้วปีหน้า คาดว่าจะยังดีต่อได้ 😄 (สาธุๆๆๆ)
ขอให้ปี 2024 เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคนครับ
สวัสดีปีใหม่ 2024 ครับ
เด็กการเงิน
ที่สุดของกองทุนรวมต่างประเทศและไทย ปี 2023
และมองไปข้างหน้าปี 2024 โดยเด็กการเงิน
ปีนี้เชื่อว่านักลงทุนทุกคนน่าจะได้เห็นกองทุนกลับมาบวกได้บ้าง หลังจากที่ปี 2022 เป็นปีที่ทำให้ทุกตลาดติดลบหนักทีเดียว เราขอรวบรวมผลตอบแทนกองทุนรวมต่างประเทศกลุ่มต่างๆให้เห็นภาพรวม มีบทสรุปปี 2023 เราเรียนรู้อะไร และมองไปข้างหน้า ปี 2024 คาดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไปดูกันเลย
กลุ่มที่ได้ผลตอบแทนดีที่สุด (YTD 28 ธ.ค.)
1. กลุ่ม Blockchain และ Digital Currency Exchange +60 ถึง 190%
2. กลุ่ม Next Generation Internet +55 ถึง 78%
3. กลุ่ม Semiconductor +50 ถึง 60%
4. กลุ่ม Fintech +50 ถึง 55%
5. กลุ่ม Big Tech USA & NASDAQ100 +45 ถึง 55%
6. กลุ่ม Large-Mid Cap Growth (Global & USA) +36 ถึง 45%
7. กลุ่ม Cybersecurity +32 ถึง 35%
8. กลุ่ม Digital Economy / E-Commerce +27 ถึง 28%
9. กลุ่มหุ้นญี่ปุ่นดัชนี Nikkei และกองเน้นหุ้นใหญ่ญี่ปุ่น +26 ถึง 27%
10. กลุ่มหุ้นอินเดียแบบ Active +22 ถึง 25%
แถม.... กลุ่มหุ้นดัชนี S&P500 +20 ถึง 22% 😄
กลุ่มที่ได้ผลตอบแทนแย่ที่สุด (YTD 28 ธ.ค.)
1. กลุ่มหุ้นจีนแบบ All-China และ A-Share แบบ active -41 ถึง -30%
2. กลุ่มหุ้นพลังงานสะอาด -31 ถึง -28%
3. กลุ่ม Next Gen Health Care / China Heath -21 ถึง -20%
4. กลุ่มหุ้นไทยขนาดเล็ก -19 ถึง -17%
5. กลุ่มหุ้นไทยแบบแอคทีฟ -17 ถึง -13%
6. กลุ่มหุ้นจีนดัชนี A-Share -14 ถึง -13%
7. กลุ่มหุ้นไทยดัชนี SET50 หรือ Jumbo25 -13 ถึง -8%
8. กลุ่มหุ้น ASEAN -9 ถึง -5%
9. กลุ่มหุ้น Asia Pacific Ex Japan -8 ถึง -5%
10. กลุ่ม Oil (Commodity) -6 ถึง -4%
👉ย้อนดูปี 2023
+ การกลับมาของ Cryptocurrency โดยเฉพาะ Bitcoin ที่มีความหวังว่าจะเกิดเป็น ETF และจะเริ่ม Halving ในปีหน้า มีผลมากต่อกลุ่ม Blockchain และ Digital Currency Exchange ให้เป็นกลุ่มที่เติบโตดีที่สุดในปีนี้
+ หุ้นที่มี Global Revenue หรือมี Edge ในเรื่อง Technology สามารถเติบโตได้ดี โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Generative AI ตามด้วยชิปและเซมิคอนดัคเตอร์ ที่ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในยุคนี้
+ ดอกเบี้ย ธ.กลาง USA, EU, UK คาดว่าถึงจุดสูงสุดแล้ว หลังจากที่ทั้งสามธนาคารคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ อัตราเงินเฟ้อเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะมีการลดดอกเบี้ยในปีหน้า เป็นผลดีต่อหุ้น Growth หรือหุ้นที่อยู่ในช่วงเติบโต มี valuation ที่ดีขึ้น และเป็นผลดีต่อหุ้นที่ต้องการ financing จะดูดีขึ้นเมื่อเป็นดอกเบี้ยขาลง
+ หุ้นญี่ปุ่นได้ผลดีจาก ultraloose monetary policy ดอกเบี้ยนโยบายติดลบ ธนาคารกลางญี่ปุ่นต้องการให้เงินเยนอ่อนเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพิ่มเงินเฟ้อภายในประเทศหลังจากที่อยู่ในสภาวะเงินฝืดมาอย่างยาวนาน และยังเป็นผลดีต่อหุ้นส่งออกอีกด้วย
+ หุ้นอินเดีย เติบโตจากบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนจากต่างประเทศ จากนโยบายประเทศที่ต้องการเป็นฐานการผลิตของโลก การเมืองค่อนข้างมั่นคง
+ แถม!! NASDAQ100 และ S&P500 ที่ดีดขึ้นจากปี 2022 อย่างเห็นได้ชัด กลุ่มหุ้นเจ็ดนางฟ้า คือ Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Meta, Tesla และ Nvidia ที่เติบโตได้ดีในช่วงต้นปี ครึ่งปีหลังทดแทนด้วยหุ้น laggard ที่ค่อยๆขึ้นตามมา เช่น Bank, Health Care, Utilities เป็นต้น จากการที่ตลาดคาดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟดถึงจุดสูงสุดแล้ว ทำให้ NASDAQ100 ทำ All time high (ATH) ได้ ส่วน S&P500 ขาดอีกไม่ถึง 100 จุด ก็จะ ATH เช่นกัน
-หุ้นจีน ประเทศจีนมีการเปิดประเทศ ให้ชาวต่างชาติเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่ ม.ค. 2023 และตั้งเป้าเศรษฐกิจเติบโตที่ 5% ต่อปี (ซึ่งเราคิดว่าได้ตามเป้า) ทำให้ช่วงแรกของปี หุ้นจีนดีดขึ้นอย่างมีความหวัง
แต่ปัญหาหลายๆอย่าง เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ทยอยผิดนัดชำระหนี้มาตั้งแต่ปี2022 ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ปัญหาการว่างงาน เป็นต้น และตลาดค่อนข้างผิดหวังกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ กลุ่มทุนต่างชาติไหลออก ทำให้ตลาดหุ้นจีน worst performance ที่สุดของปี ..ปีหน้ามาลุ้นจุดกลับตัวกันนะ
-หุ้น Next Gen Health Care ไม่มีพัฒนาการใหม่ๆในปีนี้ ทำให้ underperform กลุ่มเทคอื่นๆ
-หุ้นไทย แม้มี election rallyในช่วงครึ่งปีแรก แต่ความล่าช้าในการผ่านงบประมาณของรัฐ แนวโน้มนโยบายรัฐที่เป็นแบบประชานิยมมากขึ้น ภาคครัวเรือนมีหนี้สูง เป็นภาระของรัฐบาลที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศมีการเติบโตไปเป็นประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางให้ได้ กับดักหนี้ เงินดิจิตอล และเงินทุนไหลออก เป็น 3 สาเหตุสำคัญที่ทำให้แนวโน้มการเติบโตของตลาดหุ้นไทยไม่สดใสนัก แม้มีเม็ดเงิน TESG มาช่วยในช่วงท้ายของปี เราต้องเอาใจช่วยหุ้นไทยในปีหน้าแล้วล่ะ
-กลุ่ม Oil Commodity เมื่อเทียบ Year-on-Year พบว่าราคาน้ำมันมีความอ่อนตัวกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย ราคาน้ำมันในปีนี้ผันผวนมาก ระหว่าง 72-96$ ต่อ บาร์เรล กลุ่มโอเปคมีเอกภาพน้อยลงจากการประชุมล่าสุดที่ลดกำลังการผลิตได้น้อยกว่าความคาดหวังของตลาด ทำให้ราคาน้ำมันในช่วงท้ายของปีอ่อนตัวลง และอาจจะลงต่อเนื่องไปจนถึงช่วงต้นปี 2024 ได้
👉2022-2023 เป็นปีที่ต้องจดจำ
ในปี 2022 โลกกำลังฟื้นตัวจากCovid-19 เศรษฐกิจฟื้นตัวจากชาติที่พัฒนาแล้วไปยังชาติที่กำลังพัฒนา (ที่ได้วัคซีนช้ากว่า) การขึ้นดอกเบี้ยน่าจะค่อยๆเป็นค่อยๆไปและคาดการณ์ได้
แต่มีสงครามรัสเซีย-ยูเครนเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ทำให้ราคาพลังงานสูงขึ้น ค่าขนส่งสูงขึ้น ส่งผลเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงในหลายๆชาติ ทำให้ต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ (ไม่เช่นนั้นมูลค่าของเงินจะสูญเสียไปมากยิ่งขึ้น)
โดยเฉพาะในชาติตะวันตกที่มีการขึ้นดอกเบี้ย เร็วและแรง ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกติดลบในปี 2022 โดยเฉพาะหุ้นเล็กหรือหุ้นเติบโต หลายคนท้อใจ หมดหวัง ตลาดหุ้นจากที่ติดลบหนัก เจ็บตัวกันทุกคน
อย่างไรก็ตาม ในปี 2023 จากปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น การคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยใกล้จุดสูงสุด เศรษฐกิจUSAดีกว่าที่คาด และไม่เกิด Recesion หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีกำไรต่อเนื่อง จนถึงช่วงปลายปีที่ มีการคงดอกเบี้ยเฟดตั้งที่อยู่ในระดับสูงสุดราว 5.5% ดอลล่าร์ที่แข็งค่ามาตลอดทาง อ่อนตัวลงในช่วงปลายปี
ระหว่างทางเราได้เรียนรู้และเจอคำนิยามใหม่มากมาย เช่น Mild Recession, Soft Landing, Higher for Longer เป็นต้น เราเชื่อว่าทุกคนเก๋าเกมมากขึ้นในการลงทุนรอบ 2020-2023 นี้ ...
👉บทสรุปของปี 2023
การขึ้น-ลง ของดอกเบี้ยเป็น Super Cycle ที่นักลงทุนจะต้องเรียนรู้และเราฝืนตลาดไม่ได้ เมื่อตลาดเป็นขาลง เราก็มีโอกาสได้ต้นทุนที่ต่ำลงด้วยเช่นกัน เราควรเริ่มลงทุนด้วยการการจัดพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง และได้เฉลี่ยต้นทุนอย่างสม่ำเสมอ ดังนี้
1. มีสินทรัพย์มากกว่า 2 ชนิดขึ้นไป เช่น ตราสารหนี้และตราสารทุน(หุ้น) และจัด asset allocation ให้มีความเหมาะสม เช่น 60/40 70/30 80/20 เป็นต้น ยิ่งมีหุ้นมาก พอร์ตจะยิ่งผันผวนมาก ต้องลงทุนนานขึ้น เช่น 60/40 ลงทุนอย่างน้อย 5 ปี 70/30 ลงทุนอย่างน้อย 7 ปี และ 80/20 ที่ 10 ปี เป็นต้น
2. ในส่วนหุ้น ให้กระจายไป อย่างน้อย 2-3 ตลาด ที่มีโอกาสเติบโต เช่น มีสินค้าและบริการกระจายไปได้ทั่วโลก หรือ ตลาดหุ้นภายในประเทศมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสูง
3. ทำการเฉลี่ยต้นทุนอย่างสม่ำเสมอ แม้เราเริ่มลงทุนในช่วงปี 2021-2022 จะสังเกตได้ว่าต้นทุนติดลบน้อยลงมาก หากเรามีการ DCA อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นบวกได้
หรือหากเป็นการเทรด เราต้องมีการกำหนดจุด cut และทำตามวินัยอย่างเคร่งครัด
👉มองไปข้างหน้า 2024
สมมติฐาน:
- เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อค่อยๆเข้าสู่เป้าหมายของธนาคารกลาง USA, EU, UK
- เชื่อว่าสภาวะเศรษฐกิจจะอ่อนแอลงในช่วงต้นปีที่ยังคงเป็นหน้าหนาว ตลาดอาจจะมีความกังวลหรือปรับฐานได้บ้าง
- เชื่อว่ามีการลดดอกเบี้ยลง เริ่มช่วงกลางปี หรือเร็วกว่าหากเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะถดถอย คาดว่าอย่างแย่ที่สุดคือ mild recession ที่เศรษฐกิจติดลบเพียง 1-2% และค่อนข้างชั่วคราว
- ดอลล่าร์มีแนวโน้มอ่อนตัวลงตามความคาดหวังในการลดดอกเบี้ย เร็วและแรงแค่ไหน
คาดการณ์:
- กลุ่มตราสารหนี้ทั่วโลกน่าจะได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025 เมื่อดอกเบี้ยลด ราคาตราสารหนี้จะเพิ่ม
- กลุ่ม Global Growth เติบโตต่อเนื่อง อย่างน้อยถึงปี 2025
- ตลาดหุ้น USA ยังคงไปต่อได้ แต่ mid-small cap เช่น Russell2000 น่าจะมี upside มากกว่า
- ตลาดหุ้น EU ฟื้นตัวต่อ และมีความกังวลเรื่อง Russia-Ukraine น้อยลง
- ปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีนจะคลี่คลายลง รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นเพื่อให้ได้ตามเป้า แต่ตลาดยังไม่ทราบจุดกลับตัวแน่ชัด...
- ตลาดหุ้นเอเชียได้อาณิสงค์จากดอลล่าร์อ่อน ดีต่อ จีน อินเดีย เกาหลีใต้ ไทย เวียดนาม ฯลฯ
- เชื่อว่าไทยมีเศรษฐกิจเติบโตราวๆ 2-3%ต่อปี และน่าจะ bottom out ได้ช่วงกลางปี ที่มีความชัดเจนเรื่อง digital wallet และเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นจากค่าเงินดอลล่าร์อ่อนลง
- ราคาน้ำมันอยู่ราวๆ 70-80$ ต่อบาร์เรล คิดว่าไม่มีทางเห็นเลข100$ ต่อบาร์เรล หากไม่มีเหตุการณ์extreme เช่นสงครามใหม่ๆ ราคาน้ำมันในช่วงประมาณนี้ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทั่วโลก ทรงตัวหรือลดต่ำลง
-ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มที่ดีจากดอลล่าร์อ่อน และอาจจะมีปัจจัยบวกจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์หรือความขัดแย้งระหว่างชาติได้ แต่เราคิดว่าไม่เกิดสงครามใหม่ๆบนโลกนี้นะ
...ดูแล้วปีหน้า คาดว่าจะยังดีต่อได้ 😄 (สาธุๆๆๆ)
ขอให้ปี 2024 เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคนครับ
สวัสดีปีใหม่ 2024 ครับ
เด็กการเงิน