ผมและครอบครัว มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยว ช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ไทยในปีนี้ ซึ่งพิเศษกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะเป็นการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศเป็นครั้งแรกของครอบครัวเรา
พ่อ แม่ ลูกและลูก รวม 4 ชีวิต
ด้วยความที่เป็นทริปต่างประเทศครั้งแรกของครอบครัว จึงพยายามเลือกประเทศที่เดินทางง่ายๆ เที่ยวสบายๆ จนได้เป้าหมายคือ
ประเทศไอซ์แลนด์ (Iceland) ดินแดนแห่งน้ำแข็ง
ผมยังคงข้องใจจนถึงทุกวันนี้ว่า ทำไม 1st trip ของครอบครัวเรา ถึงไม่ไปสิงค์โป ฮ่องกง เกาหลี หรือญี่ปุ่น เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา
ตัวตั้งตัวตีสำหรับ trip นี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ศรีภรรยาตัวดี เอ๊ย! คนดีของผมนี่เอง
เข้าใจว่าเธอคงเที่ยวทิพย์มาเยอะ จนได้เวลาสุกงอม เลยตัดสินใจว่า ฉันขอเที่ยวจริงบ้างเถอะ เลยยื่น proposal มาให้ผมพิจารณา ในฐานะผู้ลงทุน
ผมทำท่าแกล้งพิจารณาอย่างรอบคอบอยู่หลายวัน จึงตีกลับไปว่า "ไม่ผ่าน" พร้อมระบุเหตุผลว่า "ค่าตั๋วเครื่องบินแพง"
เธอรีบสวนกลับทันทีว่า "ฉันรับผิดชอบค่าตั๋วเครื่องบินเอง ส่วนคุณรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เหลือ"
รู้อย่างนี้ ผมน่าจะบอกรวมค่าอยู่ค่ากินแพงเข้าไปด้วย
แต่ผมยังไม่ยอม พยายามดิ้นต่อว่า "เราไปญี่ปุ่นกันก่อนไหม ไม่ไกลมาก แล้วในอนาคตค่อยไป Iceland"
เธอสวนกลับทันควัน "ถ้าเราไม่ไปในตอนที่เรายังพอมีแรง อนาคตเราอาจไม่มีแรงไปแล้วก็ได้"
เจอคำพูดนี้เข้าไป ผมก็เหมือนนักมวยที่โดนหมัดน็อค กรรมการนับหนึ่งถึงสิบ ก็ยังไม่ตื่น
คือแพ้ตั้งแต่คิดที่จะก้าวขาขึ้นเวที เพื่อท้าชกกับภรรยาแล้วครับ
ในเมื่อได้รับคำสั่ง เอ๊ย! ภารกิจในการจัด trip ไปเที่ยวประเทศ Iceland ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ผมจึงมีหน้าที่จัดการวางแผนการเดินทางทั้งหมด
ขั้นตอนแรกสุดคือการจองตั๋วเครื่องบิน ผมดำเนินการจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าประมาณ 8 เดือน จึงได้ตั๋วราคาไม่แรงมาก
จากนั้น ก็จองรถเช่าสำหรับขับที่ Iceland ตอนแรกคุณภรรยาอยากนอนรถบ้าน ประมาณว่า ค่ำไหน นอนนั่น แต่หลังจากประเมินสถานการณ์แล้ว ค่าเช่ารถบ้านมันก็พอๆ กับค่าเช่าที่พักดีๆ เลยนี่หว่า และที่สำคัญรถบ้านส่วนใหญ่มันเป็นเกียร์ manual ซึ่งผมไม่เคยขับ เลยตัด choice รถบ้านทิ้งไป
ตามด้วยการจองที่พัก ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญมากสำหรับทริปนี้ โดยส่วนใหญ่ผมเลือกใช้บริการ Airbnb เพราะที่ไอซ์แลนด์ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านพักหรือไม่ก็ห้อง studio สวยๆ และมีตัวเลือกเยอะกว่าโรงแรมมาก แต่การจะเลือกที่พักได้นั้น ต้องตัดสินใจก่อนว่า จะขับรถเที่ยวรอบเกาะไอซ์แลนด์แบบวนซ้ายหรือวนขวา
หลังจาก search หาข้อมูลตาม panthip และ youtube มาอย่างเยอะแล้ว จึงตัดสินใจเลือกแบบวนซ้าย (ทวนเข็มนาฬิกา)
จากนั้น ต้องกำหนดอีกว่า แต่ละวันจะแวะเที่ยวที่ไหน เวลาเท่าไหร่ กินอะไร ระยะทางแค่ไหน จึงจะสามารถกำหนดเมืองที่จะเลือกที่พักได้
หลังจากนั่งทางในไปหลายรอบ จึงจิ้มเลือกที่พักสำหรับแต่ละวัน และขอบอกว่าแต่ละที่นั้น ไม่ธรรมดา
ตั๋วเครื่องบิน รถเช่า ที่พัก ได้ครบหมดแล้ว เหลืออะไรอีก
คำตอบคือ Visa
การไป Iceland ต้องขอ Schengen Visa ซึ่งเป็นของกลุ่มประเทศยุโรป โดยต้องไปขอที่ศูนย์รับยื่นคำร้องขอวีซ่าประเทศเดนมาร์ก (VFS Global) ตั้งอยู่แถวสุขุมวิท 13 ซึ่งผมจองคิวไว้ในวันที่ 30 ธันวา 65
เตรียมเอกสารเองทุกอย่าง ตั้งแต่ รูปถ่าย (ต้องเสียเงินถ่ายรูป 2 ร้าน เพราะร้านแรก ถ่ายรูปออกมาเหมือนจะเอาไปสมัครงานแถวมหาชัย) ใบรับรองการเป็นพนักงานบริษัท ใบรับรองการเป็นนักเรียน Bank statement ประกันสุขภาพ ฯลฯ
พอถึงวันนัด รีบตื่นแต่เช้า ตีรถเข้ากรุงเทพ ไปถึงก่อนเวลานัดหมายนิดหน่อย ปรากฎว่า คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่รอนานพอสมควร เพราะช่องบริการเปิดไม่ครบ แต่ละครอบครัวที่เข้าไป ใช้เวลาค่อนข้างนาน น่าจะตรวจเอกสารเยอะ
พอถึงคิวครอบครัวเรา เข้าไปทีละคน ของพ่อแม่ไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาของลูก คือใบสูติบัตรมีแต่ภาษาไทย ต้องมีภาษาอังกฤษด้วย
อ้าว! งานเข้าสิครับ ทำไง
เจ้าหน้าที่บอก "วันหลังค่อยเอาเอกสารมาส่งเพิ่มก็ได้ค่ะ"
เอ่อ! ไม่สนุกนะครับ ขับรถไปกลับกรุงเทพ-ระยอง เพื่อส่งเอกสารแค่นี้ ก็เลยใช้ iPhone นี่แหล่ะ นั่งจิ้มแปลสูติบัตรลูกสองคน แล้วถามว่าขอปรินซ์เอกสารที่สำนักงานนี้ได้ไหม
น้องตอบว่า "มีแต่ถ่ายเอกสารค่ะ"
ก็ต้องรีบลงไปข้างล่าง หาร้านปรินซ์เอกสาร ซึ่งตอนที่มาถึงเมื่อเช้า ร้านรวงส่วนใหญ่มันปิดหยุดปีใหม่แล้วนี่หว่า
เดชะบุญ มีร้านรับเดินเรื่องทำเอกสารวีซ่าเปิดอยู่ 1 ร้าน จึงรีบเข้าไปใช้บริการปรินซ์เอกสาร โดยไม่เกี่ยงราคา สรุปปรินซ์ 2 แผ่น จ่ายไปหลายสิบบาท
คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
จากนั้นรีบนำเอกสารขึ้นไปส่ง ซึ่งตอนแรกเขาไม่ให้เข้า บอกว่าเป็นเวลาพักเที่ยงของเจ้าหน้าที่แล้ว หลังบ่ายโมงค่อยมาใหม่ เลยแถว่า ตอนนี้เจ้าหน้าที่รอผมส่งเอกสาร 2 แผ่นอยู่ด้านใน เขาจึงปล่อยให้เข้าไป
สุดท้ายก็สามารถส่งเอกสารได้ครบถ้วน แล้วกลับไปตีขิมรอไปรษณีย์นำส่ง Passport พร้อม Visa อยู่ที่บ้าน
วันที่ 9 มกรา 66 มีไปรษณีย์นำซองเอกสารมาส่ง 4 ซอง สรุปได้ใบผ่านเข้าประเทศ Iceland เรียบร้อย รวดเร็วมาก
อีกภารกิจที่สำคัญก่อนเดินทาง คือการซื้อของเพื่อเตรียมจัดกระเป๋าเดินทาง ซึ่งต้องซื้อเกือบทั้งหมด เพราะของเดิมที่มีอยู่ มันมีแต่ของใช้สำหรับเมืองร้อน มันไม่มีของใช้สำหรับเมืองหนาวที่มีอุณหภูมิระดับต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
คุณศรีภรรยาดูจะมีความสุขมากในภารกิจนี้ เพราะเธอ CF ชุดกันหนาวเป็นว่าเล่น ประหนึ่งคนตายอดตายอยาก เลยทำให้ช่วงนั้น บริษัทรับส่งพัสดุ จะแวะมาส่งของที่บ้านเราบ่อยมาก จนแอบเกรงใจพนักงานส่งของ พลางเผลอคิดในใจแทนเค้าว่า
"ทำไมพวก
ไม่สั่งทีละหลายๆ ชุด จะสั่งทำไมทีละตัวสองตัว"
โชคยังดีที่คุณภรรยาเข้าใจระบบเศษฐศาสตร์ จึงสั่งแต่เสื้อผ้ากันหนาว second hands แต่สภาพบางตัวน่าจะ multiple hands ซึ่งถ้าเธอสั่งแต่ของใหม่ คงได้กินมาม่าเป็นอาหารหลักที่ไอซ์แลนด์
ถ้าคุณนึกไม่ออกว่าเธอซื้ออะไร เตรียมไปเยอะแค่ไหน ให้นึกภาพว่าตอนเย็นวันหนึ่ง หลังกลับจากทำงาน ผมเจอสายรัดรองเท้าอะไรสักอย่าง ที่มีโลหะหนามและข้างกล่องเขียนว่า "Anti-slip ice grips" โอ้โห มันต้องเตรียมขนาดนี้เลยรึ
จะบอกว่า เสื้อกันหนาวบางตัว ค่าซักแพงกว่าค่าเสื้ออีก น่ากลัวมาก
ก่อนเดินทางประมาณหนึ่งสัปดาห์ ก็เริ่ม pack กระเป๋าเดินทาง โดยใช้กระเป๋า 4 ใบใหญ่ สำหรับ load ใต้ท้องเครื่อง และ 2 ใบเล็ก ลากขึ้นเครื่อง และแต่ละคนยังแบกเป้หลังไปอีกคนละใบ เบ็ดเสร็จ ใช้เวลาเก็บของเข้ากระเป๋าเป็นเวลา 7 วันถ้วน
โดยหลังจาก pack ของเสร็จ ปรากฎว่ามีเสื้อกันหนาวเหลืออยู่บนราวอีกเกือบครึ่งหนึ่ง สรุปว่า CF เพลิน จนเกินความต้องการใช้
วันที่ 6 เมษา 66 เวลาสองทุ่ม คือฤกษ์เดินทางออกจากบ้าน ถึงสนามบินแถวหนองงูเห่าประมาณเกือบสี่ทุ่ม วนหาที่จอดรถ ขนกระเป๋าเดินทางเข้าไปต่อคิวเพื่อ check-in เกือบสี่ทุ่มครึ่ง
ปรากฎว่า คนเยอะมาก นี่ถ้ามีของมาวางขายด้วยคงนึกว่ามาเดินตลาดนัดจตุจักรในวันเสาร์อาทิตย์
เรารีบไปเข้าแถวเพื่อ check-in ที่ counter สายการบิน Emirates สายการบินที่ตอบโจทย์พ่อแม่ที่มีเด็กๆ เดินทางไปด้วยได้เป็นอย่างดี ในราคามิตรภาพ
แน่นอนว่า คนเข้าแถวรอเยอะมาก ทั้งๆ ที่เราก็รีบไปก่อนเวลาแล้วนะ
จนประมาณเกือบเที่ยงคืน ก็ถึงคิวของครอบครัวเรา (ยืนเข้าแถวรอ check-in หนึ่งชั่วโมงครึ่ง บ้าบอมาก) ซึ่งมีเรื่องที่ต้องลุ้น คือ
จะสามารถ check through กระเป๋าเดินทางจากกรุงเทพ ถึง ไอซ์แลนด์ ได้เลยหรือไม่
เพราะการบินครั้งนี้ ผมเลือก transit 2 สนามบิน คือที่ Dubai (BKK-Dubai) มีเวลาเปลี่ยนเครื่อง 2 ชั่วโมง 40 นาที และที่ Oslo (Dubai-Oslo) มีเวลาเปลี่ยนเครื่อง 1 ชั่วโมง 15 นาที แล้วจึงไปจบที่ Iceland (Oslo-Iceland)
Transit ที่ Dubai ผมไม่ห่วง เพราะเป็นสายการบินเดียวกัน สามารถ check through ได้แน่ๆ แต่ที่ Oslo จะเปลี่ยนจาก Emirates เป็น Icelandair คนละสายการบิน ซึ่งถ้า check through ไม่ได้ โอกาสตกเครื่อง มีสูงลิ่ว
ตอนพี่ๆน้องๆ ที่บริษัททราบข่าว ว่าผมเลือกเวลา transit 1 ชั่วโมง 15 นาที ก็มีแต่คนแสดงความเป็นห่วงเป็นใยว่า "พี่ตกเครื่องแน่นอน" หรือไม่ก็ "เตรียมนอนที่สนามบิน Norway ได้เลยนะ"
กำลังใจมาเต็มมากครับ...
ในที่สุด หลังจากปล่อยให้ผมยืนรอลุ้นอยู่เกือบ 2 นาที เจ้าหน้าสาวที่ counter ก็แจ้งว่า
"สามารถ check through ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา"
ผมโล่งใจและดีใจเป็นที่สุด แต่แอบเก็บอาการไม่ให้ภรรยารู้ เดี๋ยวจะเสียทรง
เที่ยงคืนนิดๆ จึงได้ boarding pass มาคนละสามใบ ซึ่งต้องรักษายิ่งชีพ แล้วผ่านเข้าไปรอขึ้นเครื่องเพื่อ Take off ตอน 01.15 น. เช้ามืดของวันที่ 7 เมษา 66 โดยที่เด็กสองคนยังไม่มีอาการง่วงนอนแต่อย่างใด ทั้งที่ปกติ หลับตอนสามทุ่มครึ่ง
พอเครื่องบินเหินขึ้นฟ้า แต่ละคนยังตื่นเต้นกับ entertainment ที่ด้านหลังเบาะคนข้างหน้า โดยไม่สนใจเวลา ทั้งหนัง ทั้งเกมส์ จัดเต็มเหมือนคนไม่เคยเจอ จนเครื่อง landing ที่ Dubai ตอน 04.45 (เวลาท้องถิ่น) ทั้งที่บินมากว่า 6 ชั่วโมง
สรุปว่า ยังไม่มีใครได้หลับ
ช่วงรอขึ้นเครื่องที่ Dubai จึงจัด Mcdonal เป็น breakfast ให้เด็กๆ ส่วนพ่อแม่ก็อดไป ไม่ใช่อะไร แค่พวกเราทำ IF
พอขึ้นเครื่องลำที่สอง จัดกันต่อครับ ทั้งหนัง ทั้งเกมส์ ฟ้าก็สว่างแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะง่วง ทั้งๆที่ไม่ได้นอนกันมาทั้งคืน
จำไม่ได้ว่าใครหลับก่อนกัน แต่ต้องมีการบังคับปิดจอ ไม่งั้นไม่มีใครนอน แต่เข้าใจว่าคงหลับไม่เกินหนึ่งถึงสองชั่วโมง ก็ landing ที่ Oslo
โชคดีได้ที่นั่งใกล้ประตูทางออก คือตอน check-in ที่สุวรรณภูมิ ได้ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยเลือกที่นั่งใกล้ทางออกให้ เพราะมีเวลา transit น้อย พอเครื่องจอดที่ Oslo จึงรีบดิ่งลงเครื่องไปผ่าน ตม. ที่สนามบิน
ขนาดว่ารีบมาแล้วนะ แถวก็ยังอุตสาห์ยาว แต่คิดว่าน่าจะใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง ยังไงก็น่าจะทัน
ขณะกำลังขยับเขยื้อนไปข้างหน้าเรื่อย ๆ อย่างช้าๆ สังเกตเห็นว่ามีคุณป้าชาวเอเชียคนหนึ่ง ขยับเข้ามาชิดด้านหลังพวกเรามากจนอึดอัด หน้าตาคล้ายคุณป้าแถวเมืองสยาม พอผ่านโค้งที่ 4 ของการต่อแถวเท่านั้นแหล่ะ ปรากฎว่าคุณป้าคนนั้น ได้แซงพวกเราที่ทางโค้ง ชนิดที่พวกเราเผลอแบบแป๊บเดียวจริงๆ คือไม่ใช่แค่กลุ่มเราสี่คนนะ แกเล่นแซงคนที่อยู่ข้างหน้าเราขึ้นไปอีกได้ตั้งสองคน เราก็รอดูว่าไอ้สองคนนั้นมันจะ response อะไรหรือเปล่า ปรากฎว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อ้าว! คุณมนุษย์ป้านี่ ริมาซ่าถึงนี่เลยรึ ขณะกำลังจะเรียกร้องสิทธิ์ พลันเหลือบไปเห็น passport เล่มสีเขียวๆ จึงระงับความพลุ่งพล่าน พลางท่องพุทโธในใจ คือกลัวคุยกับคุณป้าไม่รู้เรื่อง
ในที่สุด ก็ผ่าน ตม. มาได้แบบไม่มีปัญหา เจ้าหน้าที่รุ่นคุณลุง ถามเพียงแค่ว่า มาทำอะไรที่ Norway จึงตอบกลับไปด้วยความสุภาพว่า "มาเที่ยว Iceland แค่แวะมาฉี่ที่ Norway"
เหลือเวลาอีกประมาณ 40 นาที จึงรีบจ้ำไปที่ gate และหยิบมือถือขึ้นมา check ปรากฎว่า มีข้อความจากสายการบินแจ้งมาว่า เที่ยวบินไป Iceland ขอ Delay 2 ชั่วโมง เพราะสภาพอากาศที่ Iceland ไม่ดี มีลมแรง
สรุปว่า ไม่ตกเครื่องเพราะมาไม่ทัน แต่ดันจะมาตกเครื่ิองเพราะลมฟ้า
จนเวลา 15.00 จึงมีประกาศเรียกผู้โดยสารไป Iceland ขึ้นเครื่อง โอ้! ฟ้าเปิดแล้ว
นั่งเครื่องจาก Oslo ไป Iceland ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ พอกัปตันประกาศว่ากำลังจะ landing ท้องฟ้าที่ Iceland เต็มไปด้วยเมฆและฝน ที่สำคัญ ลมโคตรแรง
ช่วง 5 นาทีก่อนเครื่องบินแตะพื้น run way สารภาพเลยว่า กลัวตายมาก เครื่องสั่น โยนไปโยนมา เครื่องวูบลง เหินขึ้น วูบลง เหินขึ้น สลับไปมา
ช่วงนั้น มองหน้าลูกหน้าเมียอย่างเดียว ส่วนข้างในใจ มีคุณพระศรีรัตนตรัยและพ่อแก้วแม่แก้วมาเต็มมาก
ในที่สุด ล้อเครื่องบินก็สามารถแตะพื้น run way ได้อย่างปลอดภัย พร้อมเสียง hey ของคนในเครื่องบิน
นึกว่าจะได้นอนเฝ้าที่นี่ซะแล้ว
ผจญภัยดินแดนแห่งน้ำแข็ง (1)
พ่อ แม่ ลูกและลูก รวม 4 ชีวิต
ด้วยความที่เป็นทริปต่างประเทศครั้งแรกของครอบครัว จึงพยายามเลือกประเทศที่เดินทางง่ายๆ เที่ยวสบายๆ จนได้เป้าหมายคือ
ประเทศไอซ์แลนด์ (Iceland) ดินแดนแห่งน้ำแข็ง
ผมยังคงข้องใจจนถึงทุกวันนี้ว่า ทำไม 1st trip ของครอบครัวเรา ถึงไม่ไปสิงค์โป ฮ่องกง เกาหลี หรือญี่ปุ่น เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา
ตัวตั้งตัวตีสำหรับ trip นี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ศรีภรรยาตัวดี เอ๊ย! คนดีของผมนี่เอง
เข้าใจว่าเธอคงเที่ยวทิพย์มาเยอะ จนได้เวลาสุกงอม เลยตัดสินใจว่า ฉันขอเที่ยวจริงบ้างเถอะ เลยยื่น proposal มาให้ผมพิจารณา ในฐานะผู้ลงทุน
ผมทำท่าแกล้งพิจารณาอย่างรอบคอบอยู่หลายวัน จึงตีกลับไปว่า "ไม่ผ่าน" พร้อมระบุเหตุผลว่า "ค่าตั๋วเครื่องบินแพง"
เธอรีบสวนกลับทันทีว่า "ฉันรับผิดชอบค่าตั๋วเครื่องบินเอง ส่วนคุณรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เหลือ"
รู้อย่างนี้ ผมน่าจะบอกรวมค่าอยู่ค่ากินแพงเข้าไปด้วย
แต่ผมยังไม่ยอม พยายามดิ้นต่อว่า "เราไปญี่ปุ่นกันก่อนไหม ไม่ไกลมาก แล้วในอนาคตค่อยไป Iceland"
เธอสวนกลับทันควัน "ถ้าเราไม่ไปในตอนที่เรายังพอมีแรง อนาคตเราอาจไม่มีแรงไปแล้วก็ได้"
เจอคำพูดนี้เข้าไป ผมก็เหมือนนักมวยที่โดนหมัดน็อค กรรมการนับหนึ่งถึงสิบ ก็ยังไม่ตื่น
คือแพ้ตั้งแต่คิดที่จะก้าวขาขึ้นเวที เพื่อท้าชกกับภรรยาแล้วครับ
ในเมื่อได้รับคำสั่ง เอ๊ย! ภารกิจในการจัด trip ไปเที่ยวประเทศ Iceland ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ผมจึงมีหน้าที่จัดการวางแผนการเดินทางทั้งหมด
ขั้นตอนแรกสุดคือการจองตั๋วเครื่องบิน ผมดำเนินการจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าประมาณ 8 เดือน จึงได้ตั๋วราคาไม่แรงมาก
จากนั้น ก็จองรถเช่าสำหรับขับที่ Iceland ตอนแรกคุณภรรยาอยากนอนรถบ้าน ประมาณว่า ค่ำไหน นอนนั่น แต่หลังจากประเมินสถานการณ์แล้ว ค่าเช่ารถบ้านมันก็พอๆ กับค่าเช่าที่พักดีๆ เลยนี่หว่า และที่สำคัญรถบ้านส่วนใหญ่มันเป็นเกียร์ manual ซึ่งผมไม่เคยขับ เลยตัด choice รถบ้านทิ้งไป
ตามด้วยการจองที่พัก ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญมากสำหรับทริปนี้ โดยส่วนใหญ่ผมเลือกใช้บริการ Airbnb เพราะที่ไอซ์แลนด์ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านพักหรือไม่ก็ห้อง studio สวยๆ และมีตัวเลือกเยอะกว่าโรงแรมมาก แต่การจะเลือกที่พักได้นั้น ต้องตัดสินใจก่อนว่า จะขับรถเที่ยวรอบเกาะไอซ์แลนด์แบบวนซ้ายหรือวนขวา
หลังจาก search หาข้อมูลตาม panthip และ youtube มาอย่างเยอะแล้ว จึงตัดสินใจเลือกแบบวนซ้าย (ทวนเข็มนาฬิกา)
จากนั้น ต้องกำหนดอีกว่า แต่ละวันจะแวะเที่ยวที่ไหน เวลาเท่าไหร่ กินอะไร ระยะทางแค่ไหน จึงจะสามารถกำหนดเมืองที่จะเลือกที่พักได้
หลังจากนั่งทางในไปหลายรอบ จึงจิ้มเลือกที่พักสำหรับแต่ละวัน และขอบอกว่าแต่ละที่นั้น ไม่ธรรมดา
ตั๋วเครื่องบิน รถเช่า ที่พัก ได้ครบหมดแล้ว เหลืออะไรอีก
คำตอบคือ Visa
การไป Iceland ต้องขอ Schengen Visa ซึ่งเป็นของกลุ่มประเทศยุโรป โดยต้องไปขอที่ศูนย์รับยื่นคำร้องขอวีซ่าประเทศเดนมาร์ก (VFS Global) ตั้งอยู่แถวสุขุมวิท 13 ซึ่งผมจองคิวไว้ในวันที่ 30 ธันวา 65
เตรียมเอกสารเองทุกอย่าง ตั้งแต่ รูปถ่าย (ต้องเสียเงินถ่ายรูป 2 ร้าน เพราะร้านแรก ถ่ายรูปออกมาเหมือนจะเอาไปสมัครงานแถวมหาชัย) ใบรับรองการเป็นพนักงานบริษัท ใบรับรองการเป็นนักเรียน Bank statement ประกันสุขภาพ ฯลฯ
พอถึงวันนัด รีบตื่นแต่เช้า ตีรถเข้ากรุงเทพ ไปถึงก่อนเวลานัดหมายนิดหน่อย ปรากฎว่า คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่รอนานพอสมควร เพราะช่องบริการเปิดไม่ครบ แต่ละครอบครัวที่เข้าไป ใช้เวลาค่อนข้างนาน น่าจะตรวจเอกสารเยอะ
พอถึงคิวครอบครัวเรา เข้าไปทีละคน ของพ่อแม่ไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาของลูก คือใบสูติบัตรมีแต่ภาษาไทย ต้องมีภาษาอังกฤษด้วย
อ้าว! งานเข้าสิครับ ทำไง
เจ้าหน้าที่บอก "วันหลังค่อยเอาเอกสารมาส่งเพิ่มก็ได้ค่ะ"
เอ่อ! ไม่สนุกนะครับ ขับรถไปกลับกรุงเทพ-ระยอง เพื่อส่งเอกสารแค่นี้ ก็เลยใช้ iPhone นี่แหล่ะ นั่งจิ้มแปลสูติบัตรลูกสองคน แล้วถามว่าขอปรินซ์เอกสารที่สำนักงานนี้ได้ไหม
น้องตอบว่า "มีแต่ถ่ายเอกสารค่ะ"
ก็ต้องรีบลงไปข้างล่าง หาร้านปรินซ์เอกสาร ซึ่งตอนที่มาถึงเมื่อเช้า ร้านรวงส่วนใหญ่มันปิดหยุดปีใหม่แล้วนี่หว่า
เดชะบุญ มีร้านรับเดินเรื่องทำเอกสารวีซ่าเปิดอยู่ 1 ร้าน จึงรีบเข้าไปใช้บริการปรินซ์เอกสาร โดยไม่เกี่ยงราคา สรุปปรินซ์ 2 แผ่น จ่ายไปหลายสิบบาท
คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
จากนั้นรีบนำเอกสารขึ้นไปส่ง ซึ่งตอนแรกเขาไม่ให้เข้า บอกว่าเป็นเวลาพักเที่ยงของเจ้าหน้าที่แล้ว หลังบ่ายโมงค่อยมาใหม่ เลยแถว่า ตอนนี้เจ้าหน้าที่รอผมส่งเอกสาร 2 แผ่นอยู่ด้านใน เขาจึงปล่อยให้เข้าไป
สุดท้ายก็สามารถส่งเอกสารได้ครบถ้วน แล้วกลับไปตีขิมรอไปรษณีย์นำส่ง Passport พร้อม Visa อยู่ที่บ้าน
วันที่ 9 มกรา 66 มีไปรษณีย์นำซองเอกสารมาส่ง 4 ซอง สรุปได้ใบผ่านเข้าประเทศ Iceland เรียบร้อย รวดเร็วมาก
อีกภารกิจที่สำคัญก่อนเดินทาง คือการซื้อของเพื่อเตรียมจัดกระเป๋าเดินทาง ซึ่งต้องซื้อเกือบทั้งหมด เพราะของเดิมที่มีอยู่ มันมีแต่ของใช้สำหรับเมืองร้อน มันไม่มีของใช้สำหรับเมืองหนาวที่มีอุณหภูมิระดับต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
คุณศรีภรรยาดูจะมีความสุขมากในภารกิจนี้ เพราะเธอ CF ชุดกันหนาวเป็นว่าเล่น ประหนึ่งคนตายอดตายอยาก เลยทำให้ช่วงนั้น บริษัทรับส่งพัสดุ จะแวะมาส่งของที่บ้านเราบ่อยมาก จนแอบเกรงใจพนักงานส่งของ พลางเผลอคิดในใจแทนเค้าว่า
"ทำไมพวกไม่สั่งทีละหลายๆ ชุด จะสั่งทำไมทีละตัวสองตัว"
โชคยังดีที่คุณภรรยาเข้าใจระบบเศษฐศาสตร์ จึงสั่งแต่เสื้อผ้ากันหนาว second hands แต่สภาพบางตัวน่าจะ multiple hands ซึ่งถ้าเธอสั่งแต่ของใหม่ คงได้กินมาม่าเป็นอาหารหลักที่ไอซ์แลนด์
ถ้าคุณนึกไม่ออกว่าเธอซื้ออะไร เตรียมไปเยอะแค่ไหน ให้นึกภาพว่าตอนเย็นวันหนึ่ง หลังกลับจากทำงาน ผมเจอสายรัดรองเท้าอะไรสักอย่าง ที่มีโลหะหนามและข้างกล่องเขียนว่า "Anti-slip ice grips" โอ้โห มันต้องเตรียมขนาดนี้เลยรึ
จะบอกว่า เสื้อกันหนาวบางตัว ค่าซักแพงกว่าค่าเสื้ออีก น่ากลัวมาก
ก่อนเดินทางประมาณหนึ่งสัปดาห์ ก็เริ่ม pack กระเป๋าเดินทาง โดยใช้กระเป๋า 4 ใบใหญ่ สำหรับ load ใต้ท้องเครื่อง และ 2 ใบเล็ก ลากขึ้นเครื่อง และแต่ละคนยังแบกเป้หลังไปอีกคนละใบ เบ็ดเสร็จ ใช้เวลาเก็บของเข้ากระเป๋าเป็นเวลา 7 วันถ้วน
โดยหลังจาก pack ของเสร็จ ปรากฎว่ามีเสื้อกันหนาวเหลืออยู่บนราวอีกเกือบครึ่งหนึ่ง สรุปว่า CF เพลิน จนเกินความต้องการใช้
วันที่ 6 เมษา 66 เวลาสองทุ่ม คือฤกษ์เดินทางออกจากบ้าน ถึงสนามบินแถวหนองงูเห่าประมาณเกือบสี่ทุ่ม วนหาที่จอดรถ ขนกระเป๋าเดินทางเข้าไปต่อคิวเพื่อ check-in เกือบสี่ทุ่มครึ่ง
ปรากฎว่า คนเยอะมาก นี่ถ้ามีของมาวางขายด้วยคงนึกว่ามาเดินตลาดนัดจตุจักรในวันเสาร์อาทิตย์
เรารีบไปเข้าแถวเพื่อ check-in ที่ counter สายการบิน Emirates สายการบินที่ตอบโจทย์พ่อแม่ที่มีเด็กๆ เดินทางไปด้วยได้เป็นอย่างดี ในราคามิตรภาพ
แน่นอนว่า คนเข้าแถวรอเยอะมาก ทั้งๆ ที่เราก็รีบไปก่อนเวลาแล้วนะ
จนประมาณเกือบเที่ยงคืน ก็ถึงคิวของครอบครัวเรา (ยืนเข้าแถวรอ check-in หนึ่งชั่วโมงครึ่ง บ้าบอมาก) ซึ่งมีเรื่องที่ต้องลุ้น คือ
จะสามารถ check through กระเป๋าเดินทางจากกรุงเทพ ถึง ไอซ์แลนด์ ได้เลยหรือไม่
เพราะการบินครั้งนี้ ผมเลือก transit 2 สนามบิน คือที่ Dubai (BKK-Dubai) มีเวลาเปลี่ยนเครื่อง 2 ชั่วโมง 40 นาที และที่ Oslo (Dubai-Oslo) มีเวลาเปลี่ยนเครื่อง 1 ชั่วโมง 15 นาที แล้วจึงไปจบที่ Iceland (Oslo-Iceland)
Transit ที่ Dubai ผมไม่ห่วง เพราะเป็นสายการบินเดียวกัน สามารถ check through ได้แน่ๆ แต่ที่ Oslo จะเปลี่ยนจาก Emirates เป็น Icelandair คนละสายการบิน ซึ่งถ้า check through ไม่ได้ โอกาสตกเครื่อง มีสูงลิ่ว
ตอนพี่ๆน้องๆ ที่บริษัททราบข่าว ว่าผมเลือกเวลา transit 1 ชั่วโมง 15 นาที ก็มีแต่คนแสดงความเป็นห่วงเป็นใยว่า "พี่ตกเครื่องแน่นอน" หรือไม่ก็ "เตรียมนอนที่สนามบิน Norway ได้เลยนะ"
กำลังใจมาเต็มมากครับ...
ในที่สุด หลังจากปล่อยให้ผมยืนรอลุ้นอยู่เกือบ 2 นาที เจ้าหน้าสาวที่ counter ก็แจ้งว่า
"สามารถ check through ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา"
ผมโล่งใจและดีใจเป็นที่สุด แต่แอบเก็บอาการไม่ให้ภรรยารู้ เดี๋ยวจะเสียทรง
เที่ยงคืนนิดๆ จึงได้ boarding pass มาคนละสามใบ ซึ่งต้องรักษายิ่งชีพ แล้วผ่านเข้าไปรอขึ้นเครื่องเพื่อ Take off ตอน 01.15 น. เช้ามืดของวันที่ 7 เมษา 66 โดยที่เด็กสองคนยังไม่มีอาการง่วงนอนแต่อย่างใด ทั้งที่ปกติ หลับตอนสามทุ่มครึ่ง
พอเครื่องบินเหินขึ้นฟ้า แต่ละคนยังตื่นเต้นกับ entertainment ที่ด้านหลังเบาะคนข้างหน้า โดยไม่สนใจเวลา ทั้งหนัง ทั้งเกมส์ จัดเต็มเหมือนคนไม่เคยเจอ จนเครื่อง landing ที่ Dubai ตอน 04.45 (เวลาท้องถิ่น) ทั้งที่บินมากว่า 6 ชั่วโมง
สรุปว่า ยังไม่มีใครได้หลับ
ช่วงรอขึ้นเครื่องที่ Dubai จึงจัด Mcdonal เป็น breakfast ให้เด็กๆ ส่วนพ่อแม่ก็อดไป ไม่ใช่อะไร แค่พวกเราทำ IF
พอขึ้นเครื่องลำที่สอง จัดกันต่อครับ ทั้งหนัง ทั้งเกมส์ ฟ้าก็สว่างแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะง่วง ทั้งๆที่ไม่ได้นอนกันมาทั้งคืน
จำไม่ได้ว่าใครหลับก่อนกัน แต่ต้องมีการบังคับปิดจอ ไม่งั้นไม่มีใครนอน แต่เข้าใจว่าคงหลับไม่เกินหนึ่งถึงสองชั่วโมง ก็ landing ที่ Oslo
โชคดีได้ที่นั่งใกล้ประตูทางออก คือตอน check-in ที่สุวรรณภูมิ ได้ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยเลือกที่นั่งใกล้ทางออกให้ เพราะมีเวลา transit น้อย พอเครื่องจอดที่ Oslo จึงรีบดิ่งลงเครื่องไปผ่าน ตม. ที่สนามบิน
ขนาดว่ารีบมาแล้วนะ แถวก็ยังอุตสาห์ยาว แต่คิดว่าน่าจะใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง ยังไงก็น่าจะทัน
ขณะกำลังขยับเขยื้อนไปข้างหน้าเรื่อย ๆ อย่างช้าๆ สังเกตเห็นว่ามีคุณป้าชาวเอเชียคนหนึ่ง ขยับเข้ามาชิดด้านหลังพวกเรามากจนอึดอัด หน้าตาคล้ายคุณป้าแถวเมืองสยาม พอผ่านโค้งที่ 4 ของการต่อแถวเท่านั้นแหล่ะ ปรากฎว่าคุณป้าคนนั้น ได้แซงพวกเราที่ทางโค้ง ชนิดที่พวกเราเผลอแบบแป๊บเดียวจริงๆ คือไม่ใช่แค่กลุ่มเราสี่คนนะ แกเล่นแซงคนที่อยู่ข้างหน้าเราขึ้นไปอีกได้ตั้งสองคน เราก็รอดูว่าไอ้สองคนนั้นมันจะ response อะไรหรือเปล่า ปรากฎว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อ้าว! คุณมนุษย์ป้านี่ ริมาซ่าถึงนี่เลยรึ ขณะกำลังจะเรียกร้องสิทธิ์ พลันเหลือบไปเห็น passport เล่มสีเขียวๆ จึงระงับความพลุ่งพล่าน พลางท่องพุทโธในใจ คือกลัวคุยกับคุณป้าไม่รู้เรื่อง
ในที่สุด ก็ผ่าน ตม. มาได้แบบไม่มีปัญหา เจ้าหน้าที่รุ่นคุณลุง ถามเพียงแค่ว่า มาทำอะไรที่ Norway จึงตอบกลับไปด้วยความสุภาพว่า "มาเที่ยว Iceland แค่แวะมาฉี่ที่ Norway"
เหลือเวลาอีกประมาณ 40 นาที จึงรีบจ้ำไปที่ gate และหยิบมือถือขึ้นมา check ปรากฎว่า มีข้อความจากสายการบินแจ้งมาว่า เที่ยวบินไป Iceland ขอ Delay 2 ชั่วโมง เพราะสภาพอากาศที่ Iceland ไม่ดี มีลมแรง
สรุปว่า ไม่ตกเครื่องเพราะมาไม่ทัน แต่ดันจะมาตกเครื่ิองเพราะลมฟ้า
จนเวลา 15.00 จึงมีประกาศเรียกผู้โดยสารไป Iceland ขึ้นเครื่อง โอ้! ฟ้าเปิดแล้ว
นั่งเครื่องจาก Oslo ไป Iceland ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ พอกัปตันประกาศว่ากำลังจะ landing ท้องฟ้าที่ Iceland เต็มไปด้วยเมฆและฝน ที่สำคัญ ลมโคตรแรง
ช่วง 5 นาทีก่อนเครื่องบินแตะพื้น run way สารภาพเลยว่า กลัวตายมาก เครื่องสั่น โยนไปโยนมา เครื่องวูบลง เหินขึ้น วูบลง เหินขึ้น สลับไปมา
ช่วงนั้น มองหน้าลูกหน้าเมียอย่างเดียว ส่วนข้างในใจ มีคุณพระศรีรัตนตรัยและพ่อแก้วแม่แก้วมาเต็มมาก
ในที่สุด ล้อเครื่องบินก็สามารถแตะพื้น run way ได้อย่างปลอดภัย พร้อมเสียง hey ของคนในเครื่องบิน
นึกว่าจะได้นอนเฝ้าที่นี่ซะแล้ว