วันก่อนเราได้ดูคลิปของโค้ชคนหนึ่งเกี่ยวกับปัญหาการทำงานระหว่างหัวหน้างานกับลูกน้อง มุ่งให้ลูกน้องพัฒนาตัวและเข้าใจหัวหน้า เพราะหากเก่งขึ้น หัวหน้าก็ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญ ไม่มีปัญหา เขามองว่าปัญหากระทบกระทั่งเกิดเพราะหัวหน้าหวังดี ซึ่งความคิดเห็นของเขาก็ไม่ผิดนะ เขาอยู่ในจุดเจ้าของกิจการ
แต่ มันไม่ใช่เสมอไป
จากประสบการณ์ของเรา ที่เคยเป็นตั้งแต่ลูกน้องตัวจิ๊ดริ๊ดจนมาเป็นหัวหน้าตัวน้อยๆ เรามองทั้ง 2 ฝั่ง เห็นหัวหน้าหลายประเภท มีทั้ง
1. หัวหน้าที่หวังดี หัวหน้าประเภทนี้ถ้าลูกน้องเก่ง หัวหน้ายิ่งสนับสนุน แต่ถ้าลูกน้องยังไม่เก่ง หัวหน้าจะสอนงาน เห็นความก้าวหน้าของลูกน้องแล้วยินดี อาจเถียงเรื่องงานกับลูกน้องจนหัวหูแดง แต่ไม่โกรธกัน ผลงานออกมาก็เฮฮาปาร์ตี้กันต่อได้ นอกเวลางานเป็นเพื่อนกัน
2. หัวหน้าที่กลัวลูกน้องเก่งกว่า หัวหน้าประเภทนี้ไม่ชอบสอนงานลูกน้องที่มีแววว่าเก่ง หากจำเป็นต้องสอนก็บอกไม่หมด คอยซ้ำเติมถ้าลูกน้องทำงานไม่สำเร็จ แต่หากลูกน้องทำงานสำเร็จก็ไม่รู้สึกร่วมยินดีสักเท่าไร ดีกรีความหมั่นไส้ลูกน้องแตกต่างกันไปตามบริบทแต่ละคน หัวหน้าประเภทนี้มีทั้งหัวหน้าที่ทำงานเก่ง(จริง) หัวหน้าที่ทำงานเป็น และหัวหน้าที่ทำงานไม่ได้เรื่อง
บางคนอาจสงสัยว่ามีด้วยหรือ หัวหน้าที่ไม่สอนงานลูกน้อง?
สำหรับเรา เจอหลายรายเลยล่ะ ใครเจอหัวหน้าแบบนี้แวะมาแสดงความคิดเห็นกันได้นะคะ
เป็นเรื่องปกติที่ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรเขาไม่มองปัญหา "หยุมหยิม" แบบนี้หรอก เขามองผลกำไร เป้าหมายธุรกิจ การลงทุน การขยายฐานลูกค้า อื่นๆ อีกมากมาย
ถ้าในองค์กรมีหัวหน้าที่กลัวลูกน้องเก่งกว่า แต่ตัวหัวหน้าก็เก่ง หรือหัวหน้าที่ไม่เก่งแต่ทำงานเป็นเข้าใจงานดี จะไม่กระทบองค์กร ลูกน้องท่องคำว่า "ทำอะไร อย่าข้ามหน้าข้ามตา ทน ๆ ไปเถอะดีกว่าไม่มีงานทำ" ยังไงผลงานของลูกน้องก็คือผลงานของหัวหน้า ผลงานของหัวหน้าก็คือของทีม องค์กรไปต่อได้
แต่ถ้าในองค์กรมีหัวหน้าที่กลัวลูกน้องเก่งกว่า แล้วหัวหน้าดันทำงานไม่ได้เรื่องล่ะ
บางคนอาจสงสัยว่ามีด้วยหรือ หัวหน้าที่ทำงานไม่ได้เรื่อง? แล้วเขาขึ้นเป็นหัวหน้าได้ยังไง?
คนอื่นเจอหรือไม่ เราไม่รู้ แต่เราเจอกับตัวเอง ตำแหน่งนำหน้าไม่ใช่หัวหน้าด้วยนะ สูงกว่านั้น ส่วนการรับตำแหน่งของเขา "ไม่ได้มาจาก" ความสามารถในการทำงานแต่อย่างใด เขามีปัญหากับองค์กรเดิมที่เขาทำงาน เลยมีเส้นสายพาเข้าทำงานอีกที่
พฤติกรรมบางส่วนที่เรามาแชร์ เพียงเพื่อสะท้อนว่าคนแบบนี้สามารถทำให้ทีมพังได้
แต่ด้วยองค์กรแห่งใหม่นี้มีคนทำงานเป็นอยู่แล้วเยอะ ไม่มีเขา พนักงานก็ทำงานกันได้ปกติ หัวหน้าแต่ละสายงานดูแลงานได้ดี หัวหน้ารายงานการปฎิบัติงานต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูง ไม่ใช่เขา ไม่มีใครอันเดอร์เขา (เพราะตำแหน่งของเขาอุปโหลกให้เนื่องจากเส้นสาย)
งานหลักของเขาคือ คนอื่นเข้าทำงาน 8 โมง เขาเข้าทำงาน 9 โมงครึ่ง (เพราะไม่มีงานทำ) แล้วก็โทรศัพท์หาเส้นสายเขานั่นล่ะ คุยโม้ไปถึงเที่ยงออกไปทานข้าวแล้วก็เดินห้าง กลับเข้าออฟฟิศบ่ายสองครึ่ง ซื้อของกินมาวางที่โต๊ะกลางห้องทำงาน แม้แต่ส้มตำปูปลาร้าก็มี กินทีกระเด็นเลอะพื้นบางทีเลอะเอกสาร เรียกพนักงานฝ่ายอื่นมากิน คนไม่กินก็ทนกลิ่นไป จนระเบียบงานเสีย พอบ่ายสี่โมงกว่าก็กลับอ้างเหตุผลว่าไปรับลูก เป็นกิจวัตรประจำ(ทุก)วัน
ต่อมาเขาจึงให้เส้นสายของเขาใช้กำลังภายในให้เขารับคนมาเป็นทีมงาน คงฝึกกำลังภายในมาดี ผู้ใหญ่อนุมัติให้จ้างพนักงานเพิ่ม 3 คน แต่ต้องมีผลงานให้เวลาภายใน 3 เดือน เขาไม่ได้เปิดรับสมัครแบบทั่วไป แต่ไปดึงคนรู้จัก ดึงลูกสะใภ้ของเพื่อนมาเป็นทีมงาน
ได้มาแล้วก็พยายามคิดโปรเจค แต่แล้วเมื่อประชุมแสดงผลงานกับเหลวไม่เป็นเรื่อง จึงใช้กำลังภายในอีกครั้ง ผลคือคนที่ทำงานเป็นอยู่แล้วต้องเข้าไปอันเดอร์เขาด้วยทั้งองค์กร ทีนี้อ้าปากแย้งกันไม่เต็มที่ ไปกินของเขากันมากี่วันแล้วล่ะ
ได้คนทำงานเป็นมาแล้ว ทีมเขาก็ไม่ต้องทำ เพราะทำไม่เป็น ออกไปช้อปปิ้งเดินห้าง เดินตลาดซื้อของสดมาทำอาหาร แล้วเรียกคนทำงานไปกินเหมือนเดิม (ทำไมไม่ไปเป็นหัวหน้าแม่ครัวซะเลย) ใครไม่ไปกินเขาก็ไปฟ้องเส้นสายผู้เปี่ยมวิทยายุทธภูเขา 7 ลูก ว่าคนนั้นคนนี้ (ที่นั่งทำงานอยู่) ไม่ให้ความร่วมมือ
และใช่ เราเป็นคนหนึ่งในกลุ่มที่นั่งทำงาน ไม่ไปร่วมวง เพราะมันเป็นเวลาทำงาน
จึงไม่แปลกที่เราและคนที่ไม่ไปร่วมวงกับเขาจะโดนกากบาทที่หน้าผากไว้ ฮาๆๆ
เราตั้งใจทำงาน ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และเวลา เพราะผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่รับรู้เหตุการณ์บอกว่า ความตั้งใจทำงานและความซื่อสัตย์จะเป็นเกราะป้องกันให้เรา เราได้รับคำชมเรื่องการทำงานจากผู้บริหารระดับสูงหลายครั้ง และนั่นยิ่งเป็นดาบสองคมสำหรับเรา
ทีมทำงานเริ่มลาออกกันไปแบบยกทีม เพราะได้ที่ใหม่ เหลือเรากับอีกบางคน ด้วยความที่เราห่วงว่าคนออกไปกันเยอะ งานจะมีปัญหา แต่ต่อมาเราถึงเข้าใจแล้วว่า ตอนนั้นเราคิดผิด
เมื่อมีโปรเจคลูกค้าต่างประเทศ ด้วยความที่เราต้องแบกรับงานคนอื่นที่ออกไปด้วย เราจึงไปร่วมกิจกรรมตามโปรเจคนั้นบางเวลาเท่าที่ปลีกตัวไปได้ ซึ่งเราก็ไปหลายครั้ง ช่วยสื่อสารภาษาอังกฤษด้วย แต่เมื่อจบงานกลายเป็นว่า ทีมเขาไปฟ้องเส้นสายและเจ้านายใหญ่ว่าเราไม่เคยไปช่วยเลย
เฮ้ย! ตอนไปช่วยเราอยู่กับพนักงานใหม่ตลอด แต่พนักงานใหม่ไม่กล้าเป็นพยานให้ เขาบอกว่ากลัวโดนแบบที่เราโดน และเขาจำเป็นต้องเอาตัวรอด
ตอนนั้นจะมีงานใหญ่เข้ามาอีกหลายงาน เราจึงตัดสินใจ ลาออก ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีงานรองรับ
หลังจากนั้น ก็มีคนลาออกอีก และที่นั่นกำลังจะปิดดำเนินกิจการ
พัง เพราะหัวหน้าไม่ได้เรื่อง จริงมั้ยคะ
ทีมพังเพราะหัวหน้าไม่ได้เรื่อง ได้หรือไม่
แต่ มันไม่ใช่เสมอไป
จากประสบการณ์ของเรา ที่เคยเป็นตั้งแต่ลูกน้องตัวจิ๊ดริ๊ดจนมาเป็นหัวหน้าตัวน้อยๆ เรามองทั้ง 2 ฝั่ง เห็นหัวหน้าหลายประเภท มีทั้ง
1. หัวหน้าที่หวังดี หัวหน้าประเภทนี้ถ้าลูกน้องเก่ง หัวหน้ายิ่งสนับสนุน แต่ถ้าลูกน้องยังไม่เก่ง หัวหน้าจะสอนงาน เห็นความก้าวหน้าของลูกน้องแล้วยินดี อาจเถียงเรื่องงานกับลูกน้องจนหัวหูแดง แต่ไม่โกรธกัน ผลงานออกมาก็เฮฮาปาร์ตี้กันต่อได้ นอกเวลางานเป็นเพื่อนกัน
2. หัวหน้าที่กลัวลูกน้องเก่งกว่า หัวหน้าประเภทนี้ไม่ชอบสอนงานลูกน้องที่มีแววว่าเก่ง หากจำเป็นต้องสอนก็บอกไม่หมด คอยซ้ำเติมถ้าลูกน้องทำงานไม่สำเร็จ แต่หากลูกน้องทำงานสำเร็จก็ไม่รู้สึกร่วมยินดีสักเท่าไร ดีกรีความหมั่นไส้ลูกน้องแตกต่างกันไปตามบริบทแต่ละคน หัวหน้าประเภทนี้มีทั้งหัวหน้าที่ทำงานเก่ง(จริง) หัวหน้าที่ทำงานเป็น และหัวหน้าที่ทำงานไม่ได้เรื่อง
บางคนอาจสงสัยว่ามีด้วยหรือ หัวหน้าที่ไม่สอนงานลูกน้อง?
สำหรับเรา เจอหลายรายเลยล่ะ ใครเจอหัวหน้าแบบนี้แวะมาแสดงความคิดเห็นกันได้นะคะ
เป็นเรื่องปกติที่ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรเขาไม่มองปัญหา "หยุมหยิม" แบบนี้หรอก เขามองผลกำไร เป้าหมายธุรกิจ การลงทุน การขยายฐานลูกค้า อื่นๆ อีกมากมาย
ถ้าในองค์กรมีหัวหน้าที่กลัวลูกน้องเก่งกว่า แต่ตัวหัวหน้าก็เก่ง หรือหัวหน้าที่ไม่เก่งแต่ทำงานเป็นเข้าใจงานดี จะไม่กระทบองค์กร ลูกน้องท่องคำว่า "ทำอะไร อย่าข้ามหน้าข้ามตา ทน ๆ ไปเถอะดีกว่าไม่มีงานทำ" ยังไงผลงานของลูกน้องก็คือผลงานของหัวหน้า ผลงานของหัวหน้าก็คือของทีม องค์กรไปต่อได้
แต่ถ้าในองค์กรมีหัวหน้าที่กลัวลูกน้องเก่งกว่า แล้วหัวหน้าดันทำงานไม่ได้เรื่องล่ะ
บางคนอาจสงสัยว่ามีด้วยหรือ หัวหน้าที่ทำงานไม่ได้เรื่อง? แล้วเขาขึ้นเป็นหัวหน้าได้ยังไง?
คนอื่นเจอหรือไม่ เราไม่รู้ แต่เราเจอกับตัวเอง ตำแหน่งนำหน้าไม่ใช่หัวหน้าด้วยนะ สูงกว่านั้น ส่วนการรับตำแหน่งของเขา "ไม่ได้มาจาก" ความสามารถในการทำงานแต่อย่างใด เขามีปัญหากับองค์กรเดิมที่เขาทำงาน เลยมีเส้นสายพาเข้าทำงานอีกที่
พฤติกรรมบางส่วนที่เรามาแชร์ เพียงเพื่อสะท้อนว่าคนแบบนี้สามารถทำให้ทีมพังได้
แต่ด้วยองค์กรแห่งใหม่นี้มีคนทำงานเป็นอยู่แล้วเยอะ ไม่มีเขา พนักงานก็ทำงานกันได้ปกติ หัวหน้าแต่ละสายงานดูแลงานได้ดี หัวหน้ารายงานการปฎิบัติงานต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูง ไม่ใช่เขา ไม่มีใครอันเดอร์เขา (เพราะตำแหน่งของเขาอุปโหลกให้เนื่องจากเส้นสาย)
งานหลักของเขาคือ คนอื่นเข้าทำงาน 8 โมง เขาเข้าทำงาน 9 โมงครึ่ง (เพราะไม่มีงานทำ) แล้วก็โทรศัพท์หาเส้นสายเขานั่นล่ะ คุยโม้ไปถึงเที่ยงออกไปทานข้าวแล้วก็เดินห้าง กลับเข้าออฟฟิศบ่ายสองครึ่ง ซื้อของกินมาวางที่โต๊ะกลางห้องทำงาน แม้แต่ส้มตำปูปลาร้าก็มี กินทีกระเด็นเลอะพื้นบางทีเลอะเอกสาร เรียกพนักงานฝ่ายอื่นมากิน คนไม่กินก็ทนกลิ่นไป จนระเบียบงานเสีย พอบ่ายสี่โมงกว่าก็กลับอ้างเหตุผลว่าไปรับลูก เป็นกิจวัตรประจำ(ทุก)วัน
ต่อมาเขาจึงให้เส้นสายของเขาใช้กำลังภายในให้เขารับคนมาเป็นทีมงาน คงฝึกกำลังภายในมาดี ผู้ใหญ่อนุมัติให้จ้างพนักงานเพิ่ม 3 คน แต่ต้องมีผลงานให้เวลาภายใน 3 เดือน เขาไม่ได้เปิดรับสมัครแบบทั่วไป แต่ไปดึงคนรู้จัก ดึงลูกสะใภ้ของเพื่อนมาเป็นทีมงาน
ได้มาแล้วก็พยายามคิดโปรเจค แต่แล้วเมื่อประชุมแสดงผลงานกับเหลวไม่เป็นเรื่อง จึงใช้กำลังภายในอีกครั้ง ผลคือคนที่ทำงานเป็นอยู่แล้วต้องเข้าไปอันเดอร์เขาด้วยทั้งองค์กร ทีนี้อ้าปากแย้งกันไม่เต็มที่ ไปกินของเขากันมากี่วันแล้วล่ะ
ได้คนทำงานเป็นมาแล้ว ทีมเขาก็ไม่ต้องทำ เพราะทำไม่เป็น ออกไปช้อปปิ้งเดินห้าง เดินตลาดซื้อของสดมาทำอาหาร แล้วเรียกคนทำงานไปกินเหมือนเดิม (ทำไมไม่ไปเป็นหัวหน้าแม่ครัวซะเลย) ใครไม่ไปกินเขาก็ไปฟ้องเส้นสายผู้เปี่ยมวิทยายุทธภูเขา 7 ลูก ว่าคนนั้นคนนี้ (ที่นั่งทำงานอยู่) ไม่ให้ความร่วมมือ
และใช่ เราเป็นคนหนึ่งในกลุ่มที่นั่งทำงาน ไม่ไปร่วมวง เพราะมันเป็นเวลาทำงาน
จึงไม่แปลกที่เราและคนที่ไม่ไปร่วมวงกับเขาจะโดนกากบาทที่หน้าผากไว้ ฮาๆๆ
เราตั้งใจทำงาน ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และเวลา เพราะผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่รับรู้เหตุการณ์บอกว่า ความตั้งใจทำงานและความซื่อสัตย์จะเป็นเกราะป้องกันให้เรา เราได้รับคำชมเรื่องการทำงานจากผู้บริหารระดับสูงหลายครั้ง และนั่นยิ่งเป็นดาบสองคมสำหรับเรา
ทีมทำงานเริ่มลาออกกันไปแบบยกทีม เพราะได้ที่ใหม่ เหลือเรากับอีกบางคน ด้วยความที่เราห่วงว่าคนออกไปกันเยอะ งานจะมีปัญหา แต่ต่อมาเราถึงเข้าใจแล้วว่า ตอนนั้นเราคิดผิด
เมื่อมีโปรเจคลูกค้าต่างประเทศ ด้วยความที่เราต้องแบกรับงานคนอื่นที่ออกไปด้วย เราจึงไปร่วมกิจกรรมตามโปรเจคนั้นบางเวลาเท่าที่ปลีกตัวไปได้ ซึ่งเราก็ไปหลายครั้ง ช่วยสื่อสารภาษาอังกฤษด้วย แต่เมื่อจบงานกลายเป็นว่า ทีมเขาไปฟ้องเส้นสายและเจ้านายใหญ่ว่าเราไม่เคยไปช่วยเลย
เฮ้ย! ตอนไปช่วยเราอยู่กับพนักงานใหม่ตลอด แต่พนักงานใหม่ไม่กล้าเป็นพยานให้ เขาบอกว่ากลัวโดนแบบที่เราโดน และเขาจำเป็นต้องเอาตัวรอด
ตอนนั้นจะมีงานใหญ่เข้ามาอีกหลายงาน เราจึงตัดสินใจ ลาออก ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีงานรองรับ
หลังจากนั้น ก็มีคนลาออกอีก และที่นั่นกำลังจะปิดดำเนินกิจการ
พัง เพราะหัวหน้าไม่ได้เรื่อง จริงมั้ยคะ