7.5 ตอนที่ 11 เรื่อง Meeting point นิยายดีที่อยากแนะนำ

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 11 ท่านเซอร์ พลตรี ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเดอร์ วีแวงค์

“สวัสดีทุกคน ผมท่านเซอร์ พลตรี ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเดอร์ วีแวงค์ ผมคาดหวังพวกคุณจะรู้จักผมเป็นอย่างดี”   
 
“จารย์ครับ” นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้น 
 
 “ให้เกียรติผม กรุณาเรียกท่านเซอร์ พลตรี ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเดอร์ วีแวงค์” 
  
“คือท่านเซอร์ พลตรี ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเดอร์ วีแวงค์ กระผมมิสเตอร์มุซาบ อยากทราบเกี่ยวกับสมองและการรับรู้ของการสื่อสารครับ” 
 
“ผมมาสอนเรื่องนี้พอดี” ท่านกล่าวจบหันหน้าไปรอบห้อง ตรวจสอบนักศึกษาของตนพร้อมที่จะเรียนไหม 
 
“อย่างที่เราเคยเรียน ร่างกายของพวกคุณสามารถแสดงอารมณ์ได้ห้าระดับ ตราบใดที่คุณกินผลไม้แสดงอารมณ์” 
 
ท่านเงียบได้สักพักจึงสอนต่อ 
 
“การแสดงอารมณ์เกิดจากสารเคมีในน้ำผลไม้ที่ถูกส่งไปในสมองและกระตุ้นสมองให้ผลิตกระแสไฟฟ้าจนเกิดแสง ตอนเด็ก ร่างกายของพวกคุณถูกปิดกันจึงยังไม่มีความต่างศักย์ด้านไฟฟ้า ดังนั้นในวัยเด็กพวกคุณจึงเป็นตัวนำไฟฟ้าที่จะรับภาพและอารมณ์จากพ่อแม่ สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี”  
 
ท่านมองไปรอบห้องเพื่อสังเกตมีใครต้องการถาม 
 
“ดังนั้นช่วงในวัยเด็ก เด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายจึงสามารถสัมผัสกับเพศตรงข้ามได้ แต่อย่างไรก็ตาม พื้นฐานสารเคมีในสมองและฮอร์โมนของเด็กผู้หญิงและเด็กชายมีไม่เท่ากัน การถูกเลี้ยงดูต่างกันเช่นเด็กผู้ชายมักถูกสอนให้เล่นฟุตบอล ปืน รถของเล่น” 
 
“ในขณะที่เด็กผู้หญิงถูกวางพื้นฐานให้ชอบเล่นตุ๊กตา กระโดนหนังยาง ด้วยเหตุนี้สมองจึงรับรู้ภาพความทรงจำเหล่านั้นและถูกเก็บไว้ที่สมอง การสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ทำให้เด็กรับกระแสไฟฟ้าเข้ามาโดยไม่รู้ตัวและถูกเก็บไว้เช่นเดียวกัน” 
ท่านหยุดพูดสักพัก 
 
       “จนกระทั่งเมื่อโตขึ้น สิ่งที่หุ้ม พูดให้เข้าใจฉนวนไฟฟ้าในร่างกายสลายไปตามธรรมชาติ เด็กที่เริ่มโตเมื่อสัมผัสกับเพศตรงข้ามที่ไม่คุ้นเคยจึงเริ่มมีอาการช็อต พวกเธออาจเกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรเมื่อสัมผัสกับคนที่มีความต่างศักย์ต่างกันมาก” 
 
 
“ดังนั้นคุณจึงพบว่าพวกคุณมักมีการสปาร์คให้กับเพศตรงข้ามที่ไม่คุ้นเคย” 
 
 อาจารย์หยุดนิ่งและเปลี่ยนท่าทางด้วยการเดินไปยังจุดอื่นบ้างโดยมีนักศึกษาถาม 
 
        “ท่านเซอร์ พลตรี ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเดอร์ วีแวงค์มีชื่อให้เรียกสั้น ๆ ไหมครับ เหมือนนักร้องจะมีชื่อให้แฟนคลับที่สนิทเรียก” 
 
“ผมไม่อยากสนิทกับพวกคุณ” ท่านเซอร์ พลตรี ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเดอร์ วีแวงค์พูดพร้อมเดินไปยังโต๊ะตัวหนึ่ง 
 
“ท่านเซอร์ พลตรี ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเดอร์ วีแวงค์ หนูให้เกียรติแล้วต้องให้เอหนูนะคะ” จีน่าพูดแทรกในระหว่างที่อาจารย์กำลังเดินผ่านโต๊ะเธอ 
 
“ไม่”  
 
ท่านเดินผ่านต่อโดยไม่มองหน้าเธอ 
 
“ท่านเซอร์ พลตรี ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเดอร์ วีแวงค์เรียกมิสเตอร์เพนฟิลด์ไม่ได้หรือค่ะ” มิสซูแทรกบ้าง
 
 “พวกคุณต้องรู้จักฝึกการให้เกียรติผู้อื่น รู้ไหมกว่าผมจะได้ยศเหล่านี้ ผมผ่านสนามรบมากี่ครั้ง ท่านเซอร์ พลตรี ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเดอร์ วีแวงค์ต้องใช้ให้คุ้ม” 
 
“เวลาหมดพอดีจารย์” อับดุลเฮดตอบบ้าง 
 
“ใครสน ครั้งหน้ากรุณาเรียกเต็มยศด้วย”  
 
ท่านเซอร์ พลตรี ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเดอร์ วีแวงค์ตอบโดยไม่มองหน้านักศึกษาเช่นเดียวกัน พร้อมหยุดเดินและยืนมองนักศึกษาคนหนึ่ง  
 
“มิสเตอร์อาเมดครับ ผมเห็นคุณเขียนหนังสือโดยไม่ยกปากกา นั้นทำให้ผมคิดว่าคุณกำลังเขียนชื่อโรค hippopotomonstrosesquipesaliophobia (ไฮโปโปโทเมนสโทรเอสเควเดเลียโฟเบีย) หรือโรคกลัวตัวอักษรยาว” 
 
“เออ...ท่านเซอร์ พลตรี ศาสตราจารย์วิลเดอร์ วีแวงค์” อาเมดกำลังมึนชื่อโรคที่อาจารย์พูดถึง เหมือนมีตัวอักษรกำลังพุ่งชนใส่หน้าตน 
 
“คุณตกดอกเตอร์ไปคำหนึ่ง ให้เกียรติผมด้วยการเรียกท่านเซอร์ พลตรี ศาสตราจารย์  และ ดอกเตอร์วิลเดอร์ วีแวงค์” 
 
“ครับท่านเซอร์ พลตรี ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเดอร์ วีแวงค์” 
 
อาจารย์หยิบกระดาษจากบนโต๊ะของอาเมดขึ้นมาดู “ที่แท้คุณกำลังวาดสนามฟุตบอล อืมมมมม” อาจารย์พิจารณากระดาษดังกล่าว  “คุณกำลังวางแผนการเล่นฟุตบอล” 
 
“คือผมอยากเป็นแบบเซอร์เฟอกูสัน” 
 
“คุณอยากเป็นเซอร์เฟอกูสัน (ผู้จัดการทีมฟุตบอล) แล้วคุณไม่อยากเป็นแบบผมเหรอ เซอร์เฟอกูสันมีแค่เซอร์ ผมมีท่าน มีเซอร์ มีพลตรี มีศาสตราจารย์และตบท้ายด้วยดอกเตอร์ เซอร์เฟอกูสันเทียบผมไม่ได้หรอก” 
 
ครั้ง์พูดเสร็จทั้งห้องบรรยากาศดูเงียบมากขึ้น นักศึกษาในชั้นกำลังลุ้นว่าอาจารย์จะลงโทษอาเมดอย่างไร 
 
“นักศึกษา”  อาจารย์เอ่ยด้วยเสียงอันดังหมายให้นักศึกษาสนใจในสิ่งที่ตนกำลังจะพูดถึง “ผมสื่อสารกับพวกคุณด้วยการมองพวกคุณ แต่อาเมดกลับส่งสายตาให้กระดาษแทน” 
 
อาจารย์พูดเสียงดังอีกครั้ง 
“นักศึกษา”  
 
“ใครพอทราบบ้าง ในขณะที่มิสเตอร์อาเมดกำลังมองที่สมุด ไม่มองหน้าผม นายอาเมดจะรู้เรื่องในสิ่งผมต้องการสื่อสารกับพวกคุณได้อย่างไร” 
 
นักศึกษายกมือหลายคน 
 
“เธอ มิสซาร่า” 
 
“ผ่านทางหูค่ะ” 
 
“ถูกต้อง แม้อาเมดจะไม่มองผมด้วยประสาทตา แต่สมองที่ประกอบด้วยเซลล์ประสาทแสนล้านเซลล์สามารถรับรู้การสื่อสารผ่านทางคลื่นเสียงได้ที่ประสาทหู ซึ่งจะส่งผ่านข้อมูลไปที่สมอง” 
 
“ยังมีอีกไหมที่สมองรับรู้เรื่องราวผ่านทางไหนอีก” 
 
“ผ่านทางผิวหนัง สมองรับความรู้สึกได้ผ่านทางผิวหนังค่ะ” 
 
“เก่งมากมิสจีน่า”  
 
หัวหน้าชมรมเชียร์หันยิ้มซ้ายขวาให้เพื่อนซี้ (มิน่า ซารี) ในขณะที่พูดจบนั้น มือเธอสัมผัสผมใกล้บริเวณหูพร้อมพูดเบาๆ ”ดีมาก” เธอกำลังพูดผ่านเครื่องมือสื่อสารกับทีมงานปะป๋า 
 
(ทีมงานปะป๋าตบมือกันและกันเหมือนรู้สึกพอใจที่นายจ้างแฮปปี้) 
 
“ยังมีอีกสิ่งที่แสดงการสื่อสารได้ นอกจากคำพูด ท่าทาง สีหน้า การเขียนสัญลักษณ์และสุดท้าย” 
 
“หมอกแสงค่ะ” จีน่าพูดแทรกอีกครั้งพร้อมทั้งยิ้มให้เพื่อนซี้ทั้งสองคน เธอรู้สึกพึ่งพอใจที่สามารถเอาชนะซาร่าและมิสซูได้ ทั้งคู่ดูถูกเธอเรื่องเกรด 
 
“ท่านเซอร์ พลตรี ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเดอร์ วีแวงค์ หนูมีเรื่องอยากถามค่ะ” 
 
“เชิญ มิสจีน่า” 
 
“มีใครในนี้เคยโกหกค่ะ เคยบอกหนูว่าเพียงหนึ่งคนสามารถแสดงภาพทั้งภาพได้” 
 
“ถึงพวกเราไม่ใช่เซลล์ประสาทแต่ผมไม่คิดว่าชาวมีสีเพียงคนเดียวจะสามารถแสดงภาพได้ทั้งภาพ” 
 
“ท่านเซอร์ พลตรี ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเดอร์ วีแวงค์ หนูเองค่ะ หนูเคยฉายภาพกับซิสแนเปอร์ด้วยตัวคนเดียว เห็นเป็นภาพด้วยค่ะ” ซาร่ายกมือขึ้นพร้อมยืน 
 
“น่าหัวเราะ” จีน่ายืนขึ้นพร้อมทั้งจับบริเวณหูตัวเอง เธอจะเอาโอกาสนี้แก้แค้นชมรมห้องสมุด ถ้าชนะหัวหน้าได้หมายถึงชนะทุกคนในชมรม 
 
“เดี๋ยวก่อนเด็ก ๆ” อาจารย์พูดห้ามปราบหลังจากเห็นหมอกแดงเกิดขึ้นกับหญิงทั้งสอง “อาจารย์คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ ประวัติศาสตร์ไม่เคยฉายเป็นภาพได้เพียงคนเดียวหรอก” 
 
“บทความอาจารย์หนึ่งเซลล์ประสาทสามารถเก็บความทรงจำได้ แล้วพวกเราหนึ่งคนทำไมถึงฉายเป็นภาพไม่ได้ค่ะ” 
 
“นั้นคือเซลล์ประสาทและเธอกับฉันไม่ใช่เซลล์ประสาท” 
 
“แต่สำหรับหนูคิดว่าเซลล์ประสาทคือการเติมคำในช่องว่าง แต่และช่องจะเก็บคำหนึ่งคำไว้ และจะเป็นคำที่สมบูรณ์ได้ต่อเมื่อเซลล์แต่ละเซลล์ประกอบเป็นคำกันขึ้นมา” 
 “ซึ่งในหนึ่งเซลล์สามารถมีความหมายได้อย่างคำว่าเอ (A) ตัวอักษรตัวเดียวก็สามารถสื่อสารเป็นความหมายได้ โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมเป็นกลุ่มก้อนเซลล์” 
 
อาจารย์ทำหน้าสงสัย  
“หากเก็บได้เยอะขนาดนั้น เซลล์ประสาทคงไม่ต้องมีถึงแสนล้านเซลล์มั้งสาวน้อย เธอเคยฉายออกเป็นภาพด้วยตัวคนเดียวจริงเหรอ”  
 
“จริงค่ะ” ซาร่ายืนยันอย่างหนักแน่น 
 
“เธอเห็นภาพอะไร” อาจารย์ถามต่ออย่างครุ่นคิด 
 
“คือหนู” เธอเงียบได้สักพัก “หนูบอกไม่ได้ค่ะ” เธอตอบพร้อมหมอกที่เต็มด้วยออร่าส้ม 
 
“มิสซาร่า คนโกหกมักจะมีจังหวะการเต้นของหัวใจที่ถี่ขึ้น ลมหายใจไม่ต่อเนื่อง ม่านตาขยาย สำหรับเธอหมอกส้มแสดงถึงความตื่นเต้น เธอกำลังโกหกนะ” 
 
“คือหนูตื่นเต้นเพราะรู้สึกอายค่ะ แต่ไม่ได้โกหก” 
 
“โกหกแน่นอน” จีน่าได้โอกาสแทรกบทสนทธา รู้สึกสะใจที่คู่แข่งโดนประจาน 
 
 
 
 
 
ติ๊งต่อง [เสียงกดอ๊อด]  
เสียงติ๊งต่องจากไหนไม่รู้ดังกึกก้องทั่วท้องฟ้า ทุกคนในห้องเงียบกันหมด  
 
“ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม” อาจารย์กล่าว 
 
 [เฮ] เสียงเฮดังลั้นเต็มห้องเรียน ทุกคนรีบออกจากห้อง 
 
 “เธอโชคดีนะ” จีน่ากระซิบข้างหูหัวหน้าห้องสมุดแล้วหันเข้าทางเพื่อนร่วมห้อง “พวกเธอจงเตรียมตัวให้พร้อม ภาพจากชมรมเชียร์จะเป็นภาพที่ขายได้แน่นอน” 
 
เธอตะโกนด้วยเสียงอันดังแต่ตอนนี้บางคนฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง บางคนรีบออกจากห้องเรียนไปยังระเบียงเพื่อลงทางสไลเดอร์ บางคนรีบใช้ทางบันไดเพื่อรีบออกจากโรงเรียนให้เร็วที่สุด ไม่เพียงแต่นักศึกษาของอาจารย์ท่านเซอร์ พลตรี ศาตราจารย์ ดอกเตอร์วิลเดอร์ วีแวงค์เท่านั้น ยังมีนักศึกษาห้องอื่นๆ รีบออกจากห้องด้วย 
 
ซาร่ามองเพื่อนตนจากทางหน้าต่างเห็นผู้คนมากมายกำลังวิ่งไปทางสนามกีฬา และเห็นเจ้าตัวซิสแนปเปอร์กำลังวิ่งมาที่สนามกีฬานับพันตัวเช่นเดียวกัน 
 
“ซาร่า ซาร่า” มิสซูพยายามเรียกแต่เธอไม่ได้ยิน จนต้องนำมือเขย่าตัวอีกครั้ง  “ซาร่า ซาร่า” 
 
เธอตอบรับเสียงเรียกด้วยความตกใจ 
 
“พวกเรารีบเถอะเดี๋ยวไม่ทัน” มิสซูรีบบอกเพื่อน 
 
        “ลงทางบันไดนะ ฉันไม่อยากลงทางเสา” ซาร่าขอร้องเพื่อน 
 
        “ได้สิ ไปกันเถอะ”  
 
ทั้งคู่รีบออกจากห้องเรียน สัญญาณเตือนติ๋งต้องดังจากท้องฟ้าเหมือนเตือนให้ทุกคนรู้หน้าที่ตนเป็นอย่างดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่