ชาวพม่าโวยนโยบายจ่ายภาษีให้เผด็จการ เชื่อรีดเงินประชาชนซื้ออาวุธสงคราม
https://prachatai.com/journal/2023/12/107286
ชาวเมียนมาในไทยชุมนุมต้านกองทัพพม่า หลังมีสื่อรายงานสถานทูตจะต่ออายุพาสสปอร์ตเฉพาะแรงงานในต่างประเทศที่ยอมจ่ายภาษี 2% ของรายได้ต่อเดือน ให้เผด็จการทหาร เชื่อเตรียมเอาเงินซื้ออาวุธคร่า ปชช. ขอทั่วโลกช่วยประณาม
18 ธ.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (17 ธ.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) ถนนราชดำเนินนอก ในวาระวันโยกย้ายถิ่นฐานสากล หรือ International Migrants Day 2023 ซึ่งจะตรงกับวันที่ 18 ธ.ค. ของทุกปี กลุ่มไบร์ทฟิวเจอร์ (Bright Future) ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานเมียนมาในประเทศไทย ได้จัดชุมนุมต่อต้านนโยบายของกองทัพพม่า หลังมีสื่อรายงานเมื่อ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา สถานทูตพม่าในไทยและสิงคโปร์ประกาศต่ออายุพาสสปอร์ตเฉพาะคนทำงานที่จ่ายภาษีเงินได้อัตรา 2 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ต่อเดือน ให้กับทางการเมียนมา ทำให้ชาวเมียนมาในไทยไม่พอใจ เพราะกังวลว่าเงินของพวกเขาจะถูกนำไปใช้สนับสนุนกองทัพพม่า และใช้ซื้ออาวุธสงครามคร่าชีวิตประชาชนในเมียนมา
สำนักข่าวสัญชาติเมียนมาอย่าง 'อิรวดี' รายงานวานนี้ (16 ธ.ค.) กองทัพเมียนมา เรียกเก็บภาษีเงินได้จากแรงงานเมียนมาที่ทำงานในต่างประเทศเป็นจำนวน 2 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ต่อเดือน เพื่อแลกกับการต่ออายุพาสสปอร์ตที่สถานทูตเมียนมาในต่างประเทศ
อิรวดี รายงานด้วยว่า เมื่อ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา สถานทูตเมียนมา ประจำประเทศสิงคโปร์ ได้ประกาศว่าจะไม่ต่อเอกสารสำคัญให้กับแรงงานที่ยื่นคำร้อง จนกว่าแรงงานจะจ่ายภาษีเงินได้ ร้อยละ 2 ของรายได้ต่อเดือน ให้กับทางการพม่า และเมื่อ 13 ธ.ค. 2566 สถานทูตพม่าประจำประเทศไทย ก็ได้ประกาศในลักษณะเดียวกัน
ทั้งนี้ อิรวดี ระบุว่า ตอนนี้มีแรงงานพม่าถูกกฎหมายในประเทศไทย ประมาณอย่างน้อย 2 ล้านคน และโดยมีรายได้ขั้นต่ำประมาณ 7,500 บาทต่อคนต่อเดือน ซึ่งหมายความว่า แต่ละคนจะต้องจ่ายให้กองทัพพม่า ราว 150 บาทต่อเดือน และกองทัพพม่าจะได้เงินจากแรงงานข้ามชาติ จำนวนอย่างน้อย 300 ล้านบาท
สุรัช กีรี แกนนำ Bright Future กล่าวว่า วันนี้เขาออกมาต่อต้านการเรียกเก็บเงิน 2 เปอร์เซ็นต์ ของรัฐบาลเมียนมา SAC และอยากให้ทั่วโลกรู้ว่า ชาวพม่าไม่มีวันยอมแพ้ ไม่มีวันให้เงินมันสักแดง
สุรัช กล่าวว่า สถานการณ์ของฝ่ายต่อต้านกองทัพพม่าในขณะนี้ทำให้เขามีความมั่นใจถึง 80% ว่าจะสามารถกำชัยเอาไว้ได้ หลังฝ่ายต่อต้านได้เปรียบไม่ว่าจะเป็นการสู้รบในรัฐกะฉิ่น ภูมิภาคสะไกน์ ตะนาวศรี หรือแม้แต่ในรัฐฉานเหนือ
นอกจากความไม่พอใจต่อนโยบายต่อพาสสปอร์ตใหม่แล้ว แรงงานเมียนมาในไทยยังเรียกร้องให้ บริษัทด้านพลังงานสัญชาติสหรัฐฯ 'Exxon Mobile' หยุดขายเชื้อเพลิงเครื่องบินรบให้กองทัพพม่า เรียกร้องให้อาเซียนกดดันพม่าให้ปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อ เพื่อแก้ไขวิกฤตเมียนมา ช่วยเหลือชาวพม่าที่ได้รับผลกระทบจากสงครามตามแนวชายแดน และอื่นๆ
รายละเอียดหนังสือข้อเรียกร้องของกลุ่ม
วันที่ 16 ธ.ค. 2023 สื่อ The Irrawaddy รายงานว่ารัฐบาลเมียนมาได้สั่งการให้แรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาส่งเงินภาษี 2% จากเงินเดือน โดยสถานทูตเมียนมาจะตรวจสอบทุกครั้งก่อนให้ต่ออายุเอกสารสำคัญ นั่นหมายความว่าแรงงานข้ามชาติในไทยกว่า 2 ล้านคน จะต้องส่งเงินกลับประเทศราว 300 ล้านบาททุกเดือน ซึ่งเงินนี้จะถูกใช้ไปกับการสั่งซื้ออาวุธและเสบียงสงครามเพื่อการสู้รบและการฆ่าล้างประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยในประเทศเมียนมาอย่างแน่นอน
ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา คนธรรมดาได้ร่วมกันต่อต้านรัฐประหารทั้งด้วยสันติวิธีและการประท้วงนัดหยุดงานทั่วประเทศ Civil Disobedience Movement หรือ CDM จนต่อมาเกิดรัฐบาลพลัดถิ่น National Unity Government of Myanmar หรือ NUG และกองกำลังพิทักษ์ประชาชน People's Defense Force หรือ PDF ขึ้นมาเพื่อยกระดับการต่อต้านพวกของมิน อ่อง หล่าย ที่คุมขังนักโทษการเมืองกว่า 25,500 คน ใช้อาวุธปืนไปจนถึงการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินรบ เข่นฆ่าประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 4,256 คน และก่อให้ต้องมีผู้ลี้ภัยอีกนับไม่ถ้วน
เนื่องในวันแรงงานข้ามชาติสากล พวกเราแรงงานเมียนมาในไทยจึงขอแสดงเจตนารมณ์ต่อประชาคมโลกดังนี้ ชักชวนนักประชาธิปไตยทุกแห่งหนร่วมกันปิดฉากเผด็จการมิน อ่อง หล่าย
1. ให้แรงงานทั่วโลกร่วมประณามการปล้นเงินเดือน 2% จากแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา
2. ให้ประเทศอาเซียนเร่งให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตามชายแดนเมียนมาทั้งหมด โดยให้กำหนดเป็นพื้นที่ปลอดภัยและปราศจากปฏิบัติการทางทหาร (Humanitarian Corridor) รวมถึงจัดหาสถานที่พักพิงสำหรับผู้พลัดถิ่นภายในประเทศเมียนมา
3. ให้ประเทศอาเซียนเร่งปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน (Five-point Consensus) โดยเฉพาะข้อที่ 1 "ยุติความรุนแรงทั้งหมดในประเทศเมียนมา”และข้อที่ 4 "เดินหน้าภารกิจด้านมนุษยธรรมในประเทศเมียนมา”
4. ให้รัฐบาลไทยระงับการร่วมมือกับรัฐบาลทหารเมียนมาในทุกระดับและขอให้แต่งตั้งตัวแทนในการร่วมมือกับรัฐบาลพลัดถิ่น National Unity Government of Myanmar (NUG) ในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในระยะยาวต่อไป
5. ให้บริษัท ExxonMobil ในสหรัฐอเมริการะงับการขายเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่นให้กับรัฐบาลทหารเมียนมาตามข้อเรียกร้องโดย "US Campaign 4 Burma" และองค์กรเครือข่าย
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง หรือ AAPP เปิดเผยสถิติล่าสุดว่า นับตั้งแต่มีการทำรัฐประหารเมื่อ 1 ก.พ. 2564 จนถึงเมื่อ 15 ธ.ค. 2566 มีผู้เสียชีวิตจากฝีมือของเผด็จการทหาร สามารถยืนยันตัวเลขจำนวนอย่างน้อย 4,256 ราย ถูกจับกุม 25,559 ราย และยังถูกควบคุมตัว 19,765 ราย
https://twitter.com/aapp_burma/status/1735627880770723896
"หมอธีระ" วิเคราะห์การระบาดโควิดไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น
https://siamrath.co.th/n/500818
วันที่ 18 ธ.ค.66 รศ.นพ.
ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
"วิเคราะห์การระบาดของไทย"
ตัวเลขรายงานรายสัปดาห์ 10-16 ธันวาคม 2023
จำนวนป่วยนอนโรงพยาบาล 514 ราย
เสียชีวิต 6 ราย เพิ่มขึ้นกว่าเดิม โดยที่สัปดาห์ก่อนเสียชีวิต 5 ราย
ปอดอักเสบ 114 ราย สูงกว่าสัปดาห์ก่อน 21.3%
ใส่ท่อช่วยหายใจ 58 ราย สูงกว่าสัปดาห์ก่อน 18.4%
...คาดประมาณการติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันอย่างน้อย 3,672-5,100 ราย...
ถือว่าจำนวนมากที่สุดในรอบ 5 เดือน หรือนับตั้งแต่ 15 กรกฎาคมเป็นต้นมา
การตรวจด้วย ATK ในช่วงวันแรกๆ หลังจากที่เริ่มมีอาการนั้นมีความไวลดลงเหลือ 30-60% จึงมีโอกาสที่จะทำให้ตรวจได้ผลลบปลอม ทั้งๆ ที่ติดเชื้ออยู่ โดยไวรัสจะพีคช่วงวันที่ 4-5 หลังมีอาการ
ดังนั้นหากป่วยและตรวจในช่วง 3 วันแรกแล้วได้ผลลบ อย่าชะล่าใจ ควรตรวจซ้ำในช่วงวันที่ 4-5 ด้วย
...ในสถานการณ์ข้างต้น จำนวนติดเชื้อจริงในแต่ละวัน ประเมินว่าจะมีแนวโน้มที่สูงกว่าเดิมที่คาดประมาณข้างต้นราวเท่าตัว
การติดเชื้อ ทั้งติดใหม่ และติดซ้ำ มีมากขึ้นชัดเจนในช่วงปลายปีนี้
BA.2.86.x มาแทนที่สายพันธุ์เดิมที่ระบาดเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง JN.1 (คือสายพันธุ์ BA.2.86.1.1 นั่นเอง) ซึ่งมีการกลายพันธุ์ต่อยอดจาก BA.2.86 โดยเกิดการเปลี่ยนกรดอมิโนที่ตำแหน่ง L455S ทำให้ดื้อต่อภูมิคุ้มกันอย่างมาก จนทำให้การแพร่ระบาดเป็นไปมากขึ้น
ปลายปีถือเป็นช่วงเทศกาล มีกิจกรรมสังสรรค์กันมาก หากไม่ป้องกันตัว จะติดเชื้อแพร่เชื้อจนป่วยกันได้มาก เสี่ยงปอดอักเสบ ตาย และ Long COVID อีกด้วย
จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบล่าสุดทะลุกว่า 100 รายไปแล้ว ถือว่ามากที่สุดในรอบ 3 เดือน
และจำนวนผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ เกินกว่า 50 ราย สูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมเป็นต้นมา
ควรป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ
ยิ่งหากหน้าเทศกาล ไปแวะเยี่ยมผู้สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัว ยิ่งควรป้องกันตัวให้ดี จะได้ไม่ไปแพร่ให้ท่าน
ความใส่ใจสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ...
https://www.facebook.com/thiraw/posts/pfbid02esADjhPmMEnqZ5xqnWQUT8yZUoghCP9eEJRd4k4f7aoJwE7WLnFNxSoCpakqa8XDl
แอตต้า ชี้จะไต่ถึงเป้าท่องเที่ยวปั้นรายได้ 3.5 ล้านล้านบาท ต่างชาติ 35 ล้านคน รัฐ-เอกชนต้องทุ่มสุดตัว
https://www.matichon.co.th/economy/news_4335613
แอตต้า ชี้จะไต่ถึงเป้าท่องเที่ยวปั้นรายได้ 3.5 ล้านล้านบาท ต่างชาติ 35 ล้านคน รัฐ-เอกชนต้องทุ่มสุดตัว
นาย
ศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า เป้าหมายภาคการท่องเที่ยวไทยในปี 2567 ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งไว้ทั้งปีจะต้องมีตลาดต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทย อยู่ที่ 35 ล้านคน รวมถึงการสร้างรายได้ในภาคการท่องเที่ยวตามเป้าหมายของนาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ไว้อยู่ที่ 3.5 ล้านล้านบาทนั้น สิ่งสำคัญสุดเป็นอันดับแรกคือ จะต้องให้งบประมาณในด้านการทำตลาดร่วมด้วย เพราะถือเป็นเรื่องปกติที่หากต้องการสร้างรายได้หรือกำไรก็ต้องลงทุนเพื่อให้ได้มา โดยภาคเอกชนพร้อมเป็นเครื่องมือในการเดินหน้าภาคการท่องเที่ยวไทย แต่รัฐบาลต้องเป็นส่วนสนับสนุนและเดินหน้าไปพร้อมกัน
“
แนวคิดของภาคเอกชนมีความถึงลูกถึงคนมากกว่า เพราะการสื่อสารของภาครัฐในบางครั้งอาจไม่สามารถพูดบางเรื่องได้ แต่เอกชนสามารถพูดได้ สื่อสารออกไปได้ การทำตลาดจึงเป็นเรื่องระหว่างเอกชนกับเอกชน แต่รัฐบาลจะต้องเข้ามาสนับสนุน” นายศิษฎิวัชร กล่าว
นาย
ศิษฎิวัชร กล่าวว่า ตลาดหลักที่สามารถดันตัวเลขเพิ่มขึ้นได้อีกมาก เพราะมีช่องว่างเหลืออีกเยอะ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นตลาดจีน เนื่องจากเมื่อ 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยกว่า 11 ล้านคน ส่วนปี 2566 คาดการณ์ว่าปิดปีจะมีจีนเข้ามาเที่ยวไทยประมาณ 3.5 ล้านคน ทำให้ปี 2567 ที่ททท. ตั้งเป้าหมายตลาดจีนเที่ยวไทยไว้ที่ 8.2 ล้านคนนั้น แอตต้ามองว่าตัวเลข 7-8 ล้านคน มีความเป็นไปได้ แต่ภาครัฐบาลและเอกชนจะต้องลงแรงกันแบบสุดตัว โดยเฉพาะเทศกาลตรุษจีน 2567 ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ที่มีความสำคัญมาก ทิศทางนักท่องเที่ยวจีนทั้งปีจะดีมากหรือน้อย ประเมินช่วงตรุษจีนก็รู้แนวโน้มแล้ว รัฐบาลจึงต้องเร่งอัดมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพิ่มเติม โดยเฉพาะมาตรการวีซ่าฟรี ที่อยากให้ขยายอายุมาตรการออกไปอีก ยิ่งนานเท่าใดก็ยิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนและชาติอื่นที่ได้วีซ่าฟรีเข้ามามากขึ้น
นาย
ศิษฎิวัชร กล่าวว่า ยกตัวอย่างด้านการทำตลาด แอตต้าและททท. ร่วมกันจัดงานโรดโชว์ที่จีน ใน 2 เมืองสำคัญอย่างเซี่ยงไฮ้และเฉิงตู โดยมีผู้ประกอบการไทยกว่า 76 ราย และเอเจนท์ทัวร์จีนเข้าร่วมงานรวมกว่า 800 คน ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดี สะท้อนได้จากเอเจนท์ทัวร์จีนที่ให้ความสนใจเข้าร่วมกันหลายร้อยคน และผู้ประกอบการไทยช่วยกันสร้างความเชื่อมั่นให้เอเจนท์ทัวร์จีนกลับมาอีกครั้ง จากนั้นบริษัททัวร์เหล่านี้จะไปสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวจีนต่อไป จึงมองว่าการจัดโรดโชว์ระหว่างผู้ประกอบการไทยและเอเจนท์ในแต่ละประเทศมีความสำคัญมาก
JJNY : พม่าโวยจ่ายภาษีให้เผด็จการ│"หมอธีระ"วิเคราะห์โควิด│แอตต้าชี้รัฐ-เอกชนต้องทุ่มสุดตัว│พบบอลลูนจีนข้ามช่องแคบไต้หวัน
https://prachatai.com/journal/2023/12/107286
ชาวเมียนมาในไทยชุมนุมต้านกองทัพพม่า หลังมีสื่อรายงานสถานทูตจะต่ออายุพาสสปอร์ตเฉพาะแรงงานในต่างประเทศที่ยอมจ่ายภาษี 2% ของรายได้ต่อเดือน ให้เผด็จการทหาร เชื่อเตรียมเอาเงินซื้ออาวุธคร่า ปชช. ขอทั่วโลกช่วยประณาม
18 ธ.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (17 ธ.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) ถนนราชดำเนินนอก ในวาระวันโยกย้ายถิ่นฐานสากล หรือ International Migrants Day 2023 ซึ่งจะตรงกับวันที่ 18 ธ.ค. ของทุกปี กลุ่มไบร์ทฟิวเจอร์ (Bright Future) ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานเมียนมาในประเทศไทย ได้จัดชุมนุมต่อต้านนโยบายของกองทัพพม่า หลังมีสื่อรายงานเมื่อ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา สถานทูตพม่าในไทยและสิงคโปร์ประกาศต่ออายุพาสสปอร์ตเฉพาะคนทำงานที่จ่ายภาษีเงินได้อัตรา 2 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ต่อเดือน ให้กับทางการเมียนมา ทำให้ชาวเมียนมาในไทยไม่พอใจ เพราะกังวลว่าเงินของพวกเขาจะถูกนำไปใช้สนับสนุนกองทัพพม่า และใช้ซื้ออาวุธสงครามคร่าชีวิตประชาชนในเมียนมา
สำนักข่าวสัญชาติเมียนมาอย่าง 'อิรวดี' รายงานวานนี้ (16 ธ.ค.) กองทัพเมียนมา เรียกเก็บภาษีเงินได้จากแรงงานเมียนมาที่ทำงานในต่างประเทศเป็นจำนวน 2 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ต่อเดือน เพื่อแลกกับการต่ออายุพาสสปอร์ตที่สถานทูตเมียนมาในต่างประเทศ
อิรวดี รายงานด้วยว่า เมื่อ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา สถานทูตเมียนมา ประจำประเทศสิงคโปร์ ได้ประกาศว่าจะไม่ต่อเอกสารสำคัญให้กับแรงงานที่ยื่นคำร้อง จนกว่าแรงงานจะจ่ายภาษีเงินได้ ร้อยละ 2 ของรายได้ต่อเดือน ให้กับทางการพม่า และเมื่อ 13 ธ.ค. 2566 สถานทูตพม่าประจำประเทศไทย ก็ได้ประกาศในลักษณะเดียวกัน
ทั้งนี้ อิรวดี ระบุว่า ตอนนี้มีแรงงานพม่าถูกกฎหมายในประเทศไทย ประมาณอย่างน้อย 2 ล้านคน และโดยมีรายได้ขั้นต่ำประมาณ 7,500 บาทต่อคนต่อเดือน ซึ่งหมายความว่า แต่ละคนจะต้องจ่ายให้กองทัพพม่า ราว 150 บาทต่อเดือน และกองทัพพม่าจะได้เงินจากแรงงานข้ามชาติ จำนวนอย่างน้อย 300 ล้านบาท
สุรัช กีรี แกนนำ Bright Future กล่าวว่า วันนี้เขาออกมาต่อต้านการเรียกเก็บเงิน 2 เปอร์เซ็นต์ ของรัฐบาลเมียนมา SAC และอยากให้ทั่วโลกรู้ว่า ชาวพม่าไม่มีวันยอมแพ้ ไม่มีวันให้เงินมันสักแดง
สุรัช กล่าวว่า สถานการณ์ของฝ่ายต่อต้านกองทัพพม่าในขณะนี้ทำให้เขามีความมั่นใจถึง 80% ว่าจะสามารถกำชัยเอาไว้ได้ หลังฝ่ายต่อต้านได้เปรียบไม่ว่าจะเป็นการสู้รบในรัฐกะฉิ่น ภูมิภาคสะไกน์ ตะนาวศรี หรือแม้แต่ในรัฐฉานเหนือ
นอกจากความไม่พอใจต่อนโยบายต่อพาสสปอร์ตใหม่แล้ว แรงงานเมียนมาในไทยยังเรียกร้องให้ บริษัทด้านพลังงานสัญชาติสหรัฐฯ 'Exxon Mobile' หยุดขายเชื้อเพลิงเครื่องบินรบให้กองทัพพม่า เรียกร้องให้อาเซียนกดดันพม่าให้ปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อ เพื่อแก้ไขวิกฤตเมียนมา ช่วยเหลือชาวพม่าที่ได้รับผลกระทบจากสงครามตามแนวชายแดน และอื่นๆ
รายละเอียดหนังสือข้อเรียกร้องของกลุ่ม
วันที่ 16 ธ.ค. 2023 สื่อ The Irrawaddy รายงานว่ารัฐบาลเมียนมาได้สั่งการให้แรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาส่งเงินภาษี 2% จากเงินเดือน โดยสถานทูตเมียนมาจะตรวจสอบทุกครั้งก่อนให้ต่ออายุเอกสารสำคัญ นั่นหมายความว่าแรงงานข้ามชาติในไทยกว่า 2 ล้านคน จะต้องส่งเงินกลับประเทศราว 300 ล้านบาททุกเดือน ซึ่งเงินนี้จะถูกใช้ไปกับการสั่งซื้ออาวุธและเสบียงสงครามเพื่อการสู้รบและการฆ่าล้างประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยในประเทศเมียนมาอย่างแน่นอน
ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา คนธรรมดาได้ร่วมกันต่อต้านรัฐประหารทั้งด้วยสันติวิธีและการประท้วงนัดหยุดงานทั่วประเทศ Civil Disobedience Movement หรือ CDM จนต่อมาเกิดรัฐบาลพลัดถิ่น National Unity Government of Myanmar หรือ NUG และกองกำลังพิทักษ์ประชาชน People's Defense Force หรือ PDF ขึ้นมาเพื่อยกระดับการต่อต้านพวกของมิน อ่อง หล่าย ที่คุมขังนักโทษการเมืองกว่า 25,500 คน ใช้อาวุธปืนไปจนถึงการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินรบ เข่นฆ่าประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 4,256 คน และก่อให้ต้องมีผู้ลี้ภัยอีกนับไม่ถ้วน
เนื่องในวันแรงงานข้ามชาติสากล พวกเราแรงงานเมียนมาในไทยจึงขอแสดงเจตนารมณ์ต่อประชาคมโลกดังนี้ ชักชวนนักประชาธิปไตยทุกแห่งหนร่วมกันปิดฉากเผด็จการมิน อ่อง หล่าย
1. ให้แรงงานทั่วโลกร่วมประณามการปล้นเงินเดือน 2% จากแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา
2. ให้ประเทศอาเซียนเร่งให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตามชายแดนเมียนมาทั้งหมด โดยให้กำหนดเป็นพื้นที่ปลอดภัยและปราศจากปฏิบัติการทางทหาร (Humanitarian Corridor) รวมถึงจัดหาสถานที่พักพิงสำหรับผู้พลัดถิ่นภายในประเทศเมียนมา
3. ให้ประเทศอาเซียนเร่งปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน (Five-point Consensus) โดยเฉพาะข้อที่ 1 "ยุติความรุนแรงทั้งหมดในประเทศเมียนมา”และข้อที่ 4 "เดินหน้าภารกิจด้านมนุษยธรรมในประเทศเมียนมา”
4. ให้รัฐบาลไทยระงับการร่วมมือกับรัฐบาลทหารเมียนมาในทุกระดับและขอให้แต่งตั้งตัวแทนในการร่วมมือกับรัฐบาลพลัดถิ่น National Unity Government of Myanmar (NUG) ในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในระยะยาวต่อไป
5. ให้บริษัท ExxonMobil ในสหรัฐอเมริการะงับการขายเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่นให้กับรัฐบาลทหารเมียนมาตามข้อเรียกร้องโดย "US Campaign 4 Burma" และองค์กรเครือข่าย
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง หรือ AAPP เปิดเผยสถิติล่าสุดว่า นับตั้งแต่มีการทำรัฐประหารเมื่อ 1 ก.พ. 2564 จนถึงเมื่อ 15 ธ.ค. 2566 มีผู้เสียชีวิตจากฝีมือของเผด็จการทหาร สามารถยืนยันตัวเลขจำนวนอย่างน้อย 4,256 ราย ถูกจับกุม 25,559 ราย และยังถูกควบคุมตัว 19,765 ราย
https://twitter.com/aapp_burma/status/1735627880770723896
"หมอธีระ" วิเคราะห์การระบาดโควิดไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น
https://siamrath.co.th/n/500818
วันที่ 18 ธ.ค.66 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
"วิเคราะห์การระบาดของไทย"
ตัวเลขรายงานรายสัปดาห์ 10-16 ธันวาคม 2023
จำนวนป่วยนอนโรงพยาบาล 514 ราย
เสียชีวิต 6 ราย เพิ่มขึ้นกว่าเดิม โดยที่สัปดาห์ก่อนเสียชีวิต 5 ราย
ปอดอักเสบ 114 ราย สูงกว่าสัปดาห์ก่อน 21.3%
ใส่ท่อช่วยหายใจ 58 ราย สูงกว่าสัปดาห์ก่อน 18.4%
...คาดประมาณการติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันอย่างน้อย 3,672-5,100 ราย...
ถือว่าจำนวนมากที่สุดในรอบ 5 เดือน หรือนับตั้งแต่ 15 กรกฎาคมเป็นต้นมา
การตรวจด้วย ATK ในช่วงวันแรกๆ หลังจากที่เริ่มมีอาการนั้นมีความไวลดลงเหลือ 30-60% จึงมีโอกาสที่จะทำให้ตรวจได้ผลลบปลอม ทั้งๆ ที่ติดเชื้ออยู่ โดยไวรัสจะพีคช่วงวันที่ 4-5 หลังมีอาการ
ดังนั้นหากป่วยและตรวจในช่วง 3 วันแรกแล้วได้ผลลบ อย่าชะล่าใจ ควรตรวจซ้ำในช่วงวันที่ 4-5 ด้วย
...ในสถานการณ์ข้างต้น จำนวนติดเชื้อจริงในแต่ละวัน ประเมินว่าจะมีแนวโน้มที่สูงกว่าเดิมที่คาดประมาณข้างต้นราวเท่าตัว
การติดเชื้อ ทั้งติดใหม่ และติดซ้ำ มีมากขึ้นชัดเจนในช่วงปลายปีนี้
BA.2.86.x มาแทนที่สายพันธุ์เดิมที่ระบาดเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง JN.1 (คือสายพันธุ์ BA.2.86.1.1 นั่นเอง) ซึ่งมีการกลายพันธุ์ต่อยอดจาก BA.2.86 โดยเกิดการเปลี่ยนกรดอมิโนที่ตำแหน่ง L455S ทำให้ดื้อต่อภูมิคุ้มกันอย่างมาก จนทำให้การแพร่ระบาดเป็นไปมากขึ้น
ปลายปีถือเป็นช่วงเทศกาล มีกิจกรรมสังสรรค์กันมาก หากไม่ป้องกันตัว จะติดเชื้อแพร่เชื้อจนป่วยกันได้มาก เสี่ยงปอดอักเสบ ตาย และ Long COVID อีกด้วย
จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบล่าสุดทะลุกว่า 100 รายไปแล้ว ถือว่ามากที่สุดในรอบ 3 เดือน
และจำนวนผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ เกินกว่า 50 ราย สูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมเป็นต้นมา
ควรป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ
ยิ่งหากหน้าเทศกาล ไปแวะเยี่ยมผู้สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัว ยิ่งควรป้องกันตัวให้ดี จะได้ไม่ไปแพร่ให้ท่าน
ความใส่ใจสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ...
https://www.facebook.com/thiraw/posts/pfbid02esADjhPmMEnqZ5xqnWQUT8yZUoghCP9eEJRd4k4f7aoJwE7WLnFNxSoCpakqa8XDl
แอตต้า ชี้จะไต่ถึงเป้าท่องเที่ยวปั้นรายได้ 3.5 ล้านล้านบาท ต่างชาติ 35 ล้านคน รัฐ-เอกชนต้องทุ่มสุดตัว
https://www.matichon.co.th/economy/news_4335613
แอตต้า ชี้จะไต่ถึงเป้าท่องเที่ยวปั้นรายได้ 3.5 ล้านล้านบาท ต่างชาติ 35 ล้านคน รัฐ-เอกชนต้องทุ่มสุดตัว
นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า เป้าหมายภาคการท่องเที่ยวไทยในปี 2567 ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งไว้ทั้งปีจะต้องมีตลาดต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทย อยู่ที่ 35 ล้านคน รวมถึงการสร้างรายได้ในภาคการท่องเที่ยวตามเป้าหมายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ไว้อยู่ที่ 3.5 ล้านล้านบาทนั้น สิ่งสำคัญสุดเป็นอันดับแรกคือ จะต้องให้งบประมาณในด้านการทำตลาดร่วมด้วย เพราะถือเป็นเรื่องปกติที่หากต้องการสร้างรายได้หรือกำไรก็ต้องลงทุนเพื่อให้ได้มา โดยภาคเอกชนพร้อมเป็นเครื่องมือในการเดินหน้าภาคการท่องเที่ยวไทย แต่รัฐบาลต้องเป็นส่วนสนับสนุนและเดินหน้าไปพร้อมกัน
“แนวคิดของภาคเอกชนมีความถึงลูกถึงคนมากกว่า เพราะการสื่อสารของภาครัฐในบางครั้งอาจไม่สามารถพูดบางเรื่องได้ แต่เอกชนสามารถพูดได้ สื่อสารออกไปได้ การทำตลาดจึงเป็นเรื่องระหว่างเอกชนกับเอกชน แต่รัฐบาลจะต้องเข้ามาสนับสนุน” นายศิษฎิวัชร กล่าว
นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า ตลาดหลักที่สามารถดันตัวเลขเพิ่มขึ้นได้อีกมาก เพราะมีช่องว่างเหลืออีกเยอะ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นตลาดจีน เนื่องจากเมื่อ 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยกว่า 11 ล้านคน ส่วนปี 2566 คาดการณ์ว่าปิดปีจะมีจีนเข้ามาเที่ยวไทยประมาณ 3.5 ล้านคน ทำให้ปี 2567 ที่ททท. ตั้งเป้าหมายตลาดจีนเที่ยวไทยไว้ที่ 8.2 ล้านคนนั้น แอตต้ามองว่าตัวเลข 7-8 ล้านคน มีความเป็นไปได้ แต่ภาครัฐบาลและเอกชนจะต้องลงแรงกันแบบสุดตัว โดยเฉพาะเทศกาลตรุษจีน 2567 ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ที่มีความสำคัญมาก ทิศทางนักท่องเที่ยวจีนทั้งปีจะดีมากหรือน้อย ประเมินช่วงตรุษจีนก็รู้แนวโน้มแล้ว รัฐบาลจึงต้องเร่งอัดมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพิ่มเติม โดยเฉพาะมาตรการวีซ่าฟรี ที่อยากให้ขยายอายุมาตรการออกไปอีก ยิ่งนานเท่าใดก็ยิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนและชาติอื่นที่ได้วีซ่าฟรีเข้ามามากขึ้น
นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า ยกตัวอย่างด้านการทำตลาด แอตต้าและททท. ร่วมกันจัดงานโรดโชว์ที่จีน ใน 2 เมืองสำคัญอย่างเซี่ยงไฮ้และเฉิงตู โดยมีผู้ประกอบการไทยกว่า 76 ราย และเอเจนท์ทัวร์จีนเข้าร่วมงานรวมกว่า 800 คน ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดี สะท้อนได้จากเอเจนท์ทัวร์จีนที่ให้ความสนใจเข้าร่วมกันหลายร้อยคน และผู้ประกอบการไทยช่วยกันสร้างความเชื่อมั่นให้เอเจนท์ทัวร์จีนกลับมาอีกครั้ง จากนั้นบริษัททัวร์เหล่านี้จะไปสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวจีนต่อไป จึงมองว่าการจัดโรดโชว์ระหว่างผู้ประกอบการไทยและเอเจนท์ในแต่ละประเทศมีความสำคัญมาก