สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนค่ะ วันนี้จะขอมาเล่าประสบการณ์การใช้สิทธิ UCEP ครั้งแรกให้ฟังกันนะคะ
แต่ก่อนจะเล่าให้ฟังก็ขอเกริ่นให้ทราบเล็กน้อยว่าสิทธิ UCEP คืออะไรค่ะ
สิทธิ UCEP (Universal Coverage for Emergency Patients) คือ สิทธิการรักษาตามนโยบายรัฐ เพื่อคุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ให้สามารถ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งที่ใกล้ที่สุดได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจน พ้นวิกฤตและสามารถคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย แต่ไม่เกิน 72 ชั่วโมง
โดยจะมีอาการที่เข้าข่ายสามารถใช้สิทธิ UCEP ได้ ดังนี้ค่ะ
6 อาการที่เข้าข่าย ภาวะฉุกเฉินวิกฤต...
1. หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ
2. หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรงหายใจติดขัดมีเสียงดัง
3. ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น
4. เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน รุนแรง
5. แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีกพูดไม่ชัดแบบปัจจุบันทันด่วนหรือชักต่อเนื่องไม่หยุด
6. อาการอื่นที่มีผลต่อการหายใจ ระบบการไหลเวียนโลหิต และระบบสมองที่เป็นอันตรายต่อชีวิต
ที่มาของข้อมูล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.nhso.go.th/page/coverage_rights_emergency_patients#:~:text=%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%20UCEP%20%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%20UCEP,%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%2072%20%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%87
ทำความรู้จักกันไปแล้ว งั้นเราก็ขอเข้าเรื่องเลยค่ะ โดยคนที่ใช้สิทธิจริงๆ ไม่ใช่เราค่ะ...
วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ช่วงบ่ายๆ
ที่เราก็นั่งทำอะไรก๊อกแก๊กเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องตัวเอง พี่สาวไปทำงาน คุณแม่ดูซีรีย์ และคุณพ่อไปเตะฟุตบอลที่สนามประจำ ดูเป็นวันหยุดที่ปกติดีค่ะ...
เวลาบ่ายสองนิดๆ คุณแม่วิ่งขึ้นมาชั้นบนเพื่อเรียกเราด้วยเสียงแตกตื่น จับใจความได้ว่า " ลุงยามหน้าหมู่บ้านบอกว่าพ่อล้ม ชักที่สนามฟุตบอลให้รีบไปด่วน " โชคดีที่สนามฟุตบอลอยู่ไม่ห่างจากที่บ้านมากนัก ขับรถไปประมาณ 10 กว่านาทีถึง ระหว่างทางเราก็ติดต่อ 1669
ทำให้รู้ว่าเมื่อกด 1669 จะถูกตัดสายเข้า 191 เพื่อแจ้งเหตุฉุกเฉินไปในวันนั้นค่ะ หลังจากโทรแจ้งเหตุเสร็จก็รีบโทรแจ้งพี่สาวให้รีบกลับมาด่วน
พอลงจากรถวิ่งไปสนามฟุตบอล ก็เห็นกลุ่มคนกำลังมุง ยิ่งวิ่งเข้าไปใกล้ก็เห็นคุณพ่อของเรานอนอยู่บนพื้นสนามฟุตบอล โดยมีคนกำลังพยายามปั๊มหัวใจให้อยู่
พอเข้าไปบอกว่าเราเป็นครอบครัวเค้าก็นำของของคุณพ่อมาให้ เพื่อไปนำบัตรประชาชนที่เก็บไว้ที่รถมอเตอร์ไซค์ที่คุณพ่อขี่มาอยู่ เพื่อเตรียมพร้อมให้เจ้าหน้าที่ตอนรถพยาบาลมาถึง
ระหว่างนั้นคนที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าให้ฟังว่า คุณพ่อวูบ หมดสติหลังจากวิ่งมาพักข้างสนาม หัวใจเต้นผิดจังหวะ และมีอาการชักเกร็ง จนคนเห็นและรีบมาปฐมพยาบาลปั๊มหัวใจ
เราจำได้ว่าวันนั้นเป็นการรอคอยที่ทรมาณมาก ไม่ว่าจะรอพี่สาวมา รอรถพยาบาลมา เรากับแม่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากมองคนกำลังปั๊มหัวใจคุณพ่ออยู่
เราได้แต่บีบนวดมือคุณแม่ที่เย็นเฉียบ เพื่อไม่ให้คุณแม่เป็นลมไปซะก่อน พร้อมกับน้ำตาทะลักกันทั้งแม่ทั้งลูก
คนที่ปั๊มหัวใจเป็นแฟนของคนที่อยู่ในสนามฟุตบอลนั้น ซึ่งโชคดีมากที่พี่เค้าเป็นพยาบาล และโชคดีมากที่พี่เค้าไปสนามด้วยในวันนั้น
เพราะตั้งแต่คุณพ่อล้มเมื่อเกือบครึ่งชั่วโมงก่อน พี่เค้าก็ปั๊มหัวใจคุณพ่อมาตลอด... ถ้าไม่ได้พี่เค้าเราก็ไม่กล้าคิดไปต่อเลยค่ะ...
ซึ่งถ้าผู้ป่วยได้รับการปั๊มหัวใจเร็วเท่าไหร่ โอกาสรอดชีวิตจะสูงขึ้นเท่านั้นค่ะ
อีกประมาณ 15 นาทีต่อมา รถกู้ภัยก็เข้ามาถึง พร้อมกับพี่ๆ กู้ภัยที่มีถังออกซิเจนเข้ามา ช่วยสลับกับพี่พยาบาลคนแรกปั๊มหัวใจ...
พร้อมกับพี่สาวของเราที่ตามมาสมทบ ซึ่งพี่สาวเราก็เป็นบุคคลากรทางการแพทย์เช่นเดียวกัน ก็มาถึงคอยดูสถานการณ์และช่วยตัดสินว่าจะทำอย่างไรต่อ
จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 90 นาที นับจากที่คุณพ่อล้ม
รถพยาบาลจึงเข้ามาพร้อมกับเครื่องช็อตกระตุ้นหัวใจ และยาฉีดกระตุ้นหัวใจ ซึ่งระหว่างนั้นก็ยังคงปั๊มหัวใจและปั๊มออกซิเจนกันไม่หยุด
พยาบาลประจำรถเดินมาทางพวกเราสามแม่ลูกและอธิบายให้ฟังว่า เดี๋ยวจะมีการช็อตไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ และฉีดยาให้กับคุณพ่อ แต่มันก็มีความเสี่ยงให้ครอบครัวเราทำใจไว้บ้าง...
แล้วพี่เค้าก็เริ่มไปติดอุปกรณ์ไว้บนหน้าอกคุณพ่อทันที และทำการช็อตกระตุ้นไฟฟ้า สลับกับปั๊มหัวใจ และปั๊มต่อซิเจนต่อค่ะ
หลังจากช็อตครั้งที่ 3 จังหวะการเต้นของหัวใจเริ่มกลับมาเป็นปกติ ตอนนี้คุณพ่อเริ่มได้สติ และหายใจได้เองแล้ว จังหวะนั้นทุกคนในสนามเฮออกมาเลยค่ะ...
หลังจากนั้นทุกอย่างไวมาก พี่พยาบาลรีบพาขึ้นรถพยาบาลไป โดยมีคุณแม่ขึ้นรถไปพร้อมกัน
ส่วนเราต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไปเก็บที่บ้านและไปเอาของที่จำเป้น โดยมีพี่สาวขับรถตามไปถึงที่บ้าน
เรารีบหยิบกระเป๋าตังและอุปกรณ์จำเป็น ก่อนจะตามไปสมทบที่โรงพยาบาล ทุกอย่างใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีค่ะ
ซึ่งตอนนั้นเราใส่นาฬิกาวัดอัตราการเต้นของหัวใจไว้ จังหวะการเต้นของหัวใจเราพุ่งไปถึง 190 กว่าๆ พี่บอกว่าโชคดีแล้วที่ไม่ช็อกไปอีกคน
พอถึงโรงพยาบาลก็ไปเจอกับคุณแม่ ส่วนคุณพ่อไปอยู่ในห้องฉุกเฉินแล้ว คุณแม่บอกว่าคุณพ่อฟื้นสติ และพูดคุยได้บ้างแล้ว
และให้เราไปเดินเอกสารให้คุณพ่อต่อ เมื่อไปยื่นเอกสารเสร็จลงมาเสร็จก็ได้ความว่าน่าจะเกิดจากโรคหัวใจ
และโรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลทุติยภูมิ ไม่มีแพทย์เฉพาะทางที่สามารถรองรับอาการของคุณพ่อได้
จึงจะให้ย้ายไปโรงพยาบาลเอกชนที่เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางโรคหัวใจที่อยู่ใกล้ๆ แทน ซึ่งตรงนี้สิทธิ UCEP จะเข้ามามีบทบาทแล้วค่ะ
เจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลแจ้งว่า เคสคุณพ่อสามารถใช้สิทธิ UCEP ได้ และให้รีบย้ายไปตรวจหัวใจเฉพาะทางเลยจะดีต่อตัวคุณพ่อมากที่สุด
ซึ่งพอได้เอกสารส่งต่อครบถ้วน คุณพ่อก็ถูกย้ายไปทันทีในเย็นวันนั้นเลยค่ะ
พอย้ายมาที่โรงพยาบาลใหม่ คุณพ่อก็ถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉิน โดยมีคุณหมอและพยาบาลเดินมาแจ้งเป็นระยะๆ ว่าตอนนี้ทำอะไรบ้าง
โดยขั้นตอนก็จะเริ่มจาก ฉีดสีเพื่อดูเส้นเลือดหัวใจก่อน ซึ่งก่อนจะฉีดก็ต้องทดสอบก่อนว่าคุณพ่อมีอาการแพ้มั้ย...
พอทดสอบว่าไม่แพ้ ก็ฉีดสีเพื่อดูเส้นเลือดได้... ได้ผลสรุปออกมาว่า... เส้นเลือดหัวใจคุณพ่อตีบตันไปแล้ว 2 เส้น และกำลังจะตันอีก 1 เส้น
ซึ่งเส้นเลือดหัวใจคนเรามีเพียง 4 เส้น ก็ไม่แปลกที่จะทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นเพราะเลือดไปเลี้ยงได้น้อยลง จนวูบไปค่ะ
คุณหมอก็แนะนำว่า ถ้าจะให้ดี คืนนี้คุณหมอจะทำการบอลลูนหัวใจให้เลย 1 เส้น เพื่อขยายหลอดเลือดให้ทำงานได้ดีขึ้น
แต่มันก็มีความเสี่ยงบ้างเพราะหัวใจคุณพ่อบอบช้ำทั้งจากการปั๊มหัวใจ ช็อตกระตุ้นหัวใจอยู่เกือบ 2 ชม. แต่ก็เสี่ยงน้อยกว่าไม่ทำอะไรเลย
และตอนนี้คุณพ่อมีสิทธิ UCEP อยู่สามารถทำได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติม เพราะถ้าบอลลูนปกติที่นี่ต้องเสียเงินขั้นต่ำไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาท ทำให้พวกเราตัดสินใจให้คุณพ่อทำบอลลูนในคืนนั้นเลย เพราะถ้าไม่ทำเลยให้เพียงพักฟื้นดูอาการ
ตอนกลับบ้านจะมีอาการแทรกซ้อนอะไรเกิดขึ้นอีกพวกเราไม่อยากเสี่ยงเพิ่มกว่านี้อีก...
ระหว่างนั้นคุณแม่ให้น้องชายคุณแม่มาอยู่เป็นเพื่อน เพื่อความอุ่นใจ ดีกว่าอยู่กันแค่ 3 แม่ลูก และระหว่างนั้นพยาบาลก็ให้ไปเตรียมของใช้ที่ทำเป็นสำหรับการนอนโรงพยาบาลเอาไว้
เราที่ไม่รู้จะทำอะไรเลยอาสาไปซื้อเอง ดีกว่านั่งเฉยๆ แล้วฟุ้งซ่านไปตอนนั้นค่ะ...
หลังจากซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อเสร็จไม่นาน พอกลับขึ้นมารอต่อ จนเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ คุณหมอก็ออกมาบอกว่าผลการผ่าตัดบอลลูนหัวใจเป็นไปด้วยดี
แต่คืนนี้ต้องให้นอนที่ห้อง CCU เพื่อดูอาการก่อน ตอนนั้นก็เกือบจะร้องไห้อีกรอบด้วยความโล่งใจแล้ว...
และคุณหมอก็ให้พวกเรากลับบ้านไปก่อน เพราะอย่างไรก็ยังพบกันไม่ได้ คุณพยาบาลเข็นคุณพ่อตรงไปที่ห้อง CCU อีกทางแล้ว พร้อมกับบอกว่าให้มาเยี่ยมพรุ่งนี้อีกทีตอนช่วง 10 โมง ถึง เที่ยง
พวกเราจึงแยกย้ายจากคุณน้าที่มาอยู่เป็นเพื่อนและกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้าตอนเวลาเกือบๆ 5 ทุ่ม ซึ่งกว่าจะอาบน้ำนอนก็เกือบเที่ยงคืน
ในคืนนั้นเราก็ไปนอนรวมกัน 3 คนที่ห้องคุณแม่ ซึ่งคืนนั้นก็แทบจะนอนกันไม่หลับ...
วันจันทร์
ซึ่งตอนเช้าพี่สาวต้องไปทำงานเพราะทิ้งเคสไม่ได้ ให้เราอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ 2 คน แต่อย่างน้อยพวกเราก็เบาใจว่าอยู่ที่โรงพยาบาลใกล้คุณหมออยู่แล้วไม่น่าจะมีอะไรอีก
ระหว่างนั้นพี่สาว และน้องสาวคุณพ่อก็ติดต่อมาว่าจะเข้าเยี่ยมคุณพ่อด้วย จึงนัดกันว่างั้นเดี๋ยวมารวมที่บ้านเราก่อน เพื่อเดินทางไปพร้อมกัน
ซึ่งพอไปถึงเราก็ได้แต่มองคุณพ่อจากหน้าห้อง CCU เพราะตอนนั้นเป็นช่วงเพิ่งปลดล็อกโควิด ห้ามเข้าเยี่ยมผู้ป่วย ทำได้แค่เอาของไปให้เพิ่มเติมเท่านั้น
ตอนนั้นเห็นคุณพ่อยิ้มและโบกมือให้เราก็สบายใจขึ้นค่ะ
วันอังคาร
เป็นวันที่คุณพ่อจะออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ซึ่งคุณหมอก็ทำการตรวจเช็คให้เรียบร้อยว่าสามารถกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ไม่อันตราย
เราเลยทำหน้าที่ไปชำระเงิน จำได้ลางๆ ว่าเหมือนจ่ายค่าอุปกรณ์อะไรสักอย่างเพิ่มไปอีกร้อยกว่าบาท ซึ่งส่วนนี้ต้องขอบคุณสิทธิ UCEP ที่คุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง ด้วยค่ะ ที่ทำให้คุณพ่อของเรามีโอกาสได้ทำบอลลูนหัวใจได้ทันที โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะตามมา
และเรื่องเล่าประสบการณ์สิทธิ UCEP เราก็จบแต่เพียงตรงนี้ค่ะ
เรายังคงจำเหตุการณ์วันอาทิตย์ได้ดี เรียกว่าตอนพิมพ์ไปยังคงปวดหัวใจ และน้ำตาไหลอยู่เลยค่ะ
ปัจจุบันคุณพ่อเราพักฟื้นเป็นอย่างดี และไปทำบอลลูนหัวใจเส้นที่เหลือด้วยสิทธิบัตรทองหมดกลับมาแข็งแรงดีแล้วค่ะ
อาจจะเล่าเหตุการณ์ยาวไปหน่อยแต่ก็หวังว่ากระทู้ของเราจะมีประโยชน์กับคนที่อาจจะประสบกับเหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นเดียวกันในอนาคตนะคะ
และทั้งนี้
ขอบคุณลุงยามที่มาแจ้งให้คุณแม่ทราบว่าคุณพ่อล้มที่บ้าน
ขอบคุณพี่พยาบาลคนแรกที่เข้ามาช่วยปั๊มหัวใจคุณพ่อทันที ทำให้มีโอกาสรอดชีวิตสูงมาก
ขอบคุณพี่ๆ กู้ภัยทุกท่านที่มาสลับกันปั๊มหัวใจและให้ออกซิเจนค่ะ
ขอบคุณพี่พยาบาลที่มาพร้อมรถกู้ภัยที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างรวดเร็วทันทีที่มาถึง
ขอบคุณคุณหมอและบุคลากรโรงพยาบาลแห่งแรกที่ช่วยตรวจอาการเบื้องต้นและส่งต่อไปให้โรงพยาบาลเฉพาะทาง
ขอบคุณคุณหมอและบุคลากรโรงพยาบาลเฉพาะทางที่ดูแลผ่าตัดคุณพ่อและดูแลจนสามารถออกจากโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัย
และขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่เข้ามาอ่านกระทู้ของเรานะคะ
ขอบคุณค่ะ
ป.ล. ของติด Tag สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เนื่องจากไม่ที Tag USEP ตรงๆ นะคะ
แชร์ประสบการณ์ การใช้สิทธิ UCEP ที่จดจำ...ไม่มีวันลืม
แต่ก่อนจะเล่าให้ฟังก็ขอเกริ่นให้ทราบเล็กน้อยว่าสิทธิ UCEP คืออะไรค่ะ
สิทธิ UCEP (Universal Coverage for Emergency Patients) คือ สิทธิการรักษาตามนโยบายรัฐ เพื่อคุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ให้สามารถ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งที่ใกล้ที่สุดได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจน พ้นวิกฤตและสามารถคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย แต่ไม่เกิน 72 ชั่วโมง
โดยจะมีอาการที่เข้าข่ายสามารถใช้สิทธิ UCEP ได้ ดังนี้ค่ะ
6 อาการที่เข้าข่าย ภาวะฉุกเฉินวิกฤต...
1. หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ
2. หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรงหายใจติดขัดมีเสียงดัง
3. ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น
4. เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน รุนแรง
5. แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีกพูดไม่ชัดแบบปัจจุบันทันด่วนหรือชักต่อเนื่องไม่หยุด
6. อาการอื่นที่มีผลต่อการหายใจ ระบบการไหลเวียนโลหิต และระบบสมองที่เป็นอันตรายต่อชีวิต
ที่มาของข้อมูล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทำความรู้จักกันไปแล้ว งั้นเราก็ขอเข้าเรื่องเลยค่ะ โดยคนที่ใช้สิทธิจริงๆ ไม่ใช่เราค่ะ...
วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ช่วงบ่ายๆ
ที่เราก็นั่งทำอะไรก๊อกแก๊กเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องตัวเอง พี่สาวไปทำงาน คุณแม่ดูซีรีย์ และคุณพ่อไปเตะฟุตบอลที่สนามประจำ ดูเป็นวันหยุดที่ปกติดีค่ะ...
เวลาบ่ายสองนิดๆ คุณแม่วิ่งขึ้นมาชั้นบนเพื่อเรียกเราด้วยเสียงแตกตื่น จับใจความได้ว่า " ลุงยามหน้าหมู่บ้านบอกว่าพ่อล้ม ชักที่สนามฟุตบอลให้รีบไปด่วน " โชคดีที่สนามฟุตบอลอยู่ไม่ห่างจากที่บ้านมากนัก ขับรถไปประมาณ 10 กว่านาทีถึง ระหว่างทางเราก็ติดต่อ 1669
ทำให้รู้ว่าเมื่อกด 1669 จะถูกตัดสายเข้า 191 เพื่อแจ้งเหตุฉุกเฉินไปในวันนั้นค่ะ หลังจากโทรแจ้งเหตุเสร็จก็รีบโทรแจ้งพี่สาวให้รีบกลับมาด่วน
พอลงจากรถวิ่งไปสนามฟุตบอล ก็เห็นกลุ่มคนกำลังมุง ยิ่งวิ่งเข้าไปใกล้ก็เห็นคุณพ่อของเรานอนอยู่บนพื้นสนามฟุตบอล โดยมีคนกำลังพยายามปั๊มหัวใจให้อยู่
พอเข้าไปบอกว่าเราเป็นครอบครัวเค้าก็นำของของคุณพ่อมาให้ เพื่อไปนำบัตรประชาชนที่เก็บไว้ที่รถมอเตอร์ไซค์ที่คุณพ่อขี่มาอยู่ เพื่อเตรียมพร้อมให้เจ้าหน้าที่ตอนรถพยาบาลมาถึง
ระหว่างนั้นคนที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าให้ฟังว่า คุณพ่อวูบ หมดสติหลังจากวิ่งมาพักข้างสนาม หัวใจเต้นผิดจังหวะ และมีอาการชักเกร็ง จนคนเห็นและรีบมาปฐมพยาบาลปั๊มหัวใจ
เราจำได้ว่าวันนั้นเป็นการรอคอยที่ทรมาณมาก ไม่ว่าจะรอพี่สาวมา รอรถพยาบาลมา เรากับแม่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากมองคนกำลังปั๊มหัวใจคุณพ่ออยู่
เราได้แต่บีบนวดมือคุณแม่ที่เย็นเฉียบ เพื่อไม่ให้คุณแม่เป็นลมไปซะก่อน พร้อมกับน้ำตาทะลักกันทั้งแม่ทั้งลูก
คนที่ปั๊มหัวใจเป็นแฟนของคนที่อยู่ในสนามฟุตบอลนั้น ซึ่งโชคดีมากที่พี่เค้าเป็นพยาบาล และโชคดีมากที่พี่เค้าไปสนามด้วยในวันนั้น
เพราะตั้งแต่คุณพ่อล้มเมื่อเกือบครึ่งชั่วโมงก่อน พี่เค้าก็ปั๊มหัวใจคุณพ่อมาตลอด... ถ้าไม่ได้พี่เค้าเราก็ไม่กล้าคิดไปต่อเลยค่ะ...
ซึ่งถ้าผู้ป่วยได้รับการปั๊มหัวใจเร็วเท่าไหร่ โอกาสรอดชีวิตจะสูงขึ้นเท่านั้นค่ะ
อีกประมาณ 15 นาทีต่อมา รถกู้ภัยก็เข้ามาถึง พร้อมกับพี่ๆ กู้ภัยที่มีถังออกซิเจนเข้ามา ช่วยสลับกับพี่พยาบาลคนแรกปั๊มหัวใจ...
พร้อมกับพี่สาวของเราที่ตามมาสมทบ ซึ่งพี่สาวเราก็เป็นบุคคลากรทางการแพทย์เช่นเดียวกัน ก็มาถึงคอยดูสถานการณ์และช่วยตัดสินว่าจะทำอย่างไรต่อ
จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 90 นาที นับจากที่คุณพ่อล้ม
รถพยาบาลจึงเข้ามาพร้อมกับเครื่องช็อตกระตุ้นหัวใจ และยาฉีดกระตุ้นหัวใจ ซึ่งระหว่างนั้นก็ยังคงปั๊มหัวใจและปั๊มออกซิเจนกันไม่หยุด
พยาบาลประจำรถเดินมาทางพวกเราสามแม่ลูกและอธิบายให้ฟังว่า เดี๋ยวจะมีการช็อตไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ และฉีดยาให้กับคุณพ่อ แต่มันก็มีความเสี่ยงให้ครอบครัวเราทำใจไว้บ้าง...
แล้วพี่เค้าก็เริ่มไปติดอุปกรณ์ไว้บนหน้าอกคุณพ่อทันที และทำการช็อตกระตุ้นไฟฟ้า สลับกับปั๊มหัวใจ และปั๊มต่อซิเจนต่อค่ะ
หลังจากช็อตครั้งที่ 3 จังหวะการเต้นของหัวใจเริ่มกลับมาเป็นปกติ ตอนนี้คุณพ่อเริ่มได้สติ และหายใจได้เองแล้ว จังหวะนั้นทุกคนในสนามเฮออกมาเลยค่ะ...
หลังจากนั้นทุกอย่างไวมาก พี่พยาบาลรีบพาขึ้นรถพยาบาลไป โดยมีคุณแม่ขึ้นรถไปพร้อมกัน
ส่วนเราต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไปเก็บที่บ้านและไปเอาของที่จำเป้น โดยมีพี่สาวขับรถตามไปถึงที่บ้าน
เรารีบหยิบกระเป๋าตังและอุปกรณ์จำเป็น ก่อนจะตามไปสมทบที่โรงพยาบาล ทุกอย่างใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีค่ะ
ซึ่งตอนนั้นเราใส่นาฬิกาวัดอัตราการเต้นของหัวใจไว้ จังหวะการเต้นของหัวใจเราพุ่งไปถึง 190 กว่าๆ พี่บอกว่าโชคดีแล้วที่ไม่ช็อกไปอีกคน
พอถึงโรงพยาบาลก็ไปเจอกับคุณแม่ ส่วนคุณพ่อไปอยู่ในห้องฉุกเฉินแล้ว คุณแม่บอกว่าคุณพ่อฟื้นสติ และพูดคุยได้บ้างแล้ว
และให้เราไปเดินเอกสารให้คุณพ่อต่อ เมื่อไปยื่นเอกสารเสร็จลงมาเสร็จก็ได้ความว่าน่าจะเกิดจากโรคหัวใจ
และโรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลทุติยภูมิ ไม่มีแพทย์เฉพาะทางที่สามารถรองรับอาการของคุณพ่อได้
จึงจะให้ย้ายไปโรงพยาบาลเอกชนที่เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางโรคหัวใจที่อยู่ใกล้ๆ แทน ซึ่งตรงนี้สิทธิ UCEP จะเข้ามามีบทบาทแล้วค่ะ
เจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลแจ้งว่า เคสคุณพ่อสามารถใช้สิทธิ UCEP ได้ และให้รีบย้ายไปตรวจหัวใจเฉพาะทางเลยจะดีต่อตัวคุณพ่อมากที่สุด
ซึ่งพอได้เอกสารส่งต่อครบถ้วน คุณพ่อก็ถูกย้ายไปทันทีในเย็นวันนั้นเลยค่ะ
พอย้ายมาที่โรงพยาบาลใหม่ คุณพ่อก็ถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉิน โดยมีคุณหมอและพยาบาลเดินมาแจ้งเป็นระยะๆ ว่าตอนนี้ทำอะไรบ้าง
โดยขั้นตอนก็จะเริ่มจาก ฉีดสีเพื่อดูเส้นเลือดหัวใจก่อน ซึ่งก่อนจะฉีดก็ต้องทดสอบก่อนว่าคุณพ่อมีอาการแพ้มั้ย...
พอทดสอบว่าไม่แพ้ ก็ฉีดสีเพื่อดูเส้นเลือดได้... ได้ผลสรุปออกมาว่า... เส้นเลือดหัวใจคุณพ่อตีบตันไปแล้ว 2 เส้น และกำลังจะตันอีก 1 เส้น
ซึ่งเส้นเลือดหัวใจคนเรามีเพียง 4 เส้น ก็ไม่แปลกที่จะทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นเพราะเลือดไปเลี้ยงได้น้อยลง จนวูบไปค่ะ
คุณหมอก็แนะนำว่า ถ้าจะให้ดี คืนนี้คุณหมอจะทำการบอลลูนหัวใจให้เลย 1 เส้น เพื่อขยายหลอดเลือดให้ทำงานได้ดีขึ้น
แต่มันก็มีความเสี่ยงบ้างเพราะหัวใจคุณพ่อบอบช้ำทั้งจากการปั๊มหัวใจ ช็อตกระตุ้นหัวใจอยู่เกือบ 2 ชม. แต่ก็เสี่ยงน้อยกว่าไม่ทำอะไรเลย
และตอนนี้คุณพ่อมีสิทธิ UCEP อยู่สามารถทำได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติม เพราะถ้าบอลลูนปกติที่นี่ต้องเสียเงินขั้นต่ำไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาท ทำให้พวกเราตัดสินใจให้คุณพ่อทำบอลลูนในคืนนั้นเลย เพราะถ้าไม่ทำเลยให้เพียงพักฟื้นดูอาการ
ตอนกลับบ้านจะมีอาการแทรกซ้อนอะไรเกิดขึ้นอีกพวกเราไม่อยากเสี่ยงเพิ่มกว่านี้อีก...
ระหว่างนั้นคุณแม่ให้น้องชายคุณแม่มาอยู่เป็นเพื่อน เพื่อความอุ่นใจ ดีกว่าอยู่กันแค่ 3 แม่ลูก และระหว่างนั้นพยาบาลก็ให้ไปเตรียมของใช้ที่ทำเป็นสำหรับการนอนโรงพยาบาลเอาไว้
เราที่ไม่รู้จะทำอะไรเลยอาสาไปซื้อเอง ดีกว่านั่งเฉยๆ แล้วฟุ้งซ่านไปตอนนั้นค่ะ...
หลังจากซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อเสร็จไม่นาน พอกลับขึ้นมารอต่อ จนเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ คุณหมอก็ออกมาบอกว่าผลการผ่าตัดบอลลูนหัวใจเป็นไปด้วยดี
แต่คืนนี้ต้องให้นอนที่ห้อง CCU เพื่อดูอาการก่อน ตอนนั้นก็เกือบจะร้องไห้อีกรอบด้วยความโล่งใจแล้ว...
และคุณหมอก็ให้พวกเรากลับบ้านไปก่อน เพราะอย่างไรก็ยังพบกันไม่ได้ คุณพยาบาลเข็นคุณพ่อตรงไปที่ห้อง CCU อีกทางแล้ว พร้อมกับบอกว่าให้มาเยี่ยมพรุ่งนี้อีกทีตอนช่วง 10 โมง ถึง เที่ยง
พวกเราจึงแยกย้ายจากคุณน้าที่มาอยู่เป็นเพื่อนและกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้าตอนเวลาเกือบๆ 5 ทุ่ม ซึ่งกว่าจะอาบน้ำนอนก็เกือบเที่ยงคืน
ในคืนนั้นเราก็ไปนอนรวมกัน 3 คนที่ห้องคุณแม่ ซึ่งคืนนั้นก็แทบจะนอนกันไม่หลับ...
วันจันทร์
ซึ่งตอนเช้าพี่สาวต้องไปทำงานเพราะทิ้งเคสไม่ได้ ให้เราอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ 2 คน แต่อย่างน้อยพวกเราก็เบาใจว่าอยู่ที่โรงพยาบาลใกล้คุณหมออยู่แล้วไม่น่าจะมีอะไรอีก
ระหว่างนั้นพี่สาว และน้องสาวคุณพ่อก็ติดต่อมาว่าจะเข้าเยี่ยมคุณพ่อด้วย จึงนัดกันว่างั้นเดี๋ยวมารวมที่บ้านเราก่อน เพื่อเดินทางไปพร้อมกัน
ซึ่งพอไปถึงเราก็ได้แต่มองคุณพ่อจากหน้าห้อง CCU เพราะตอนนั้นเป็นช่วงเพิ่งปลดล็อกโควิด ห้ามเข้าเยี่ยมผู้ป่วย ทำได้แค่เอาของไปให้เพิ่มเติมเท่านั้น
ตอนนั้นเห็นคุณพ่อยิ้มและโบกมือให้เราก็สบายใจขึ้นค่ะ
วันอังคาร
เป็นวันที่คุณพ่อจะออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ซึ่งคุณหมอก็ทำการตรวจเช็คให้เรียบร้อยว่าสามารถกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ไม่อันตราย
เราเลยทำหน้าที่ไปชำระเงิน จำได้ลางๆ ว่าเหมือนจ่ายค่าอุปกรณ์อะไรสักอย่างเพิ่มไปอีกร้อยกว่าบาท ซึ่งส่วนนี้ต้องขอบคุณสิทธิ UCEP ที่คุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง ด้วยค่ะ ที่ทำให้คุณพ่อของเรามีโอกาสได้ทำบอลลูนหัวใจได้ทันที โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะตามมา
และเรื่องเล่าประสบการณ์สิทธิ UCEP เราก็จบแต่เพียงตรงนี้ค่ะ
เรายังคงจำเหตุการณ์วันอาทิตย์ได้ดี เรียกว่าตอนพิมพ์ไปยังคงปวดหัวใจ และน้ำตาไหลอยู่เลยค่ะ
ปัจจุบันคุณพ่อเราพักฟื้นเป็นอย่างดี และไปทำบอลลูนหัวใจเส้นที่เหลือด้วยสิทธิบัตรทองหมดกลับมาแข็งแรงดีแล้วค่ะ
อาจจะเล่าเหตุการณ์ยาวไปหน่อยแต่ก็หวังว่ากระทู้ของเราจะมีประโยชน์กับคนที่อาจจะประสบกับเหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นเดียวกันในอนาคตนะคะ
และทั้งนี้
ขอบคุณลุงยามที่มาแจ้งให้คุณแม่ทราบว่าคุณพ่อล้มที่บ้าน
ขอบคุณพี่พยาบาลคนแรกที่เข้ามาช่วยปั๊มหัวใจคุณพ่อทันที ทำให้มีโอกาสรอดชีวิตสูงมาก
ขอบคุณพี่ๆ กู้ภัยทุกท่านที่มาสลับกันปั๊มหัวใจและให้ออกซิเจนค่ะ
ขอบคุณพี่พยาบาลที่มาพร้อมรถกู้ภัยที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างรวดเร็วทันทีที่มาถึง
ขอบคุณคุณหมอและบุคลากรโรงพยาบาลแห่งแรกที่ช่วยตรวจอาการเบื้องต้นและส่งต่อไปให้โรงพยาบาลเฉพาะทาง
ขอบคุณคุณหมอและบุคลากรโรงพยาบาลเฉพาะทางที่ดูแลผ่าตัดคุณพ่อและดูแลจนสามารถออกจากโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัย
และขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่เข้ามาอ่านกระทู้ของเรานะคะ
ขอบคุณค่ะ
ป.ล. ของติด Tag สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เนื่องจากไม่ที Tag USEP ตรงๆ นะคะ