การที่ บุคคลจะขออนุญาต มีและใช้อาวุธปืนเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน
1. บุคคลควรต้องมีการอบรม สอบวัดความรู้ความเข้าใจข้อกฎหมาย ไว้บ้าง แบบที่ กรมการขนส่ง ทำเพื่อขอมีใบอนุญาตขับขี่ คงไม่จำเป็นต้องออกแบบทดสอบ ยากถึงขนาดสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือต้องไปเรียนยิงปืนกับโรงเรียนก่อน เพราะเป็นต้นทุนสำหรับประชาชนมากเกินไป
กรมการปกครอง ควรเปิดให้ ประชาชน ผู้ต้องการยื่นขออนุญาตทำการลงทะเบียนออนไลน์ด้วยเลขบัตรประชาชน ปัจจุบัน การลงทะเบียนเลขบัตรประจำตัวประชาชน ก็น่าจะสามารถตรวจสอบได้ถึงประวัติอาชาญากรรมได้เบื้องต้น แต่เพื่อความมั่นใจ ก็ยังไม่ควรยกเลิกการพิมพ์และส่งลายนิ้วมือไปตรวจประวัติตามขั้นตอนปัจจุบันอยู่
รับฟังอบรมให้ครบตามที่หน้าเวปจับเวลาค้างหน้าจอเพื่อฟังบรรยาย
ทำแบบทดสอบ สัก 20 ข้อ เกี่ยวกับความรู้อาวุธปืนและการใช้ ความปลอดภัย และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่ต้องยากลึกล้ำกับคำถามมากเกินไป ทำแบบทดสอบ ต้องผ่านตั้งแต่ 15 ข้อขึ้นไป ระบบมีคำถาม 3-4 ชุด (แบบสุ่ม) และทำแบบประเมินสุขภาพจิตด้วยแบบสอบถามเบื้องต้น เพื่อยื่นประกอบ
เมื่อผ่านการทดสอบ จึง พิมพ์ หลักฐาน พร้อมระบุเลขที่ผ่านการทดสอบไว้ มีอายุ 90 วัน ไป กรอกเอกสาร ขอ ป.3 พร้อมเอกสารอื่นยื่นต่อนายทะเบียนต่อไป
ใครสะดวกที่บ้านก็ทำไป ใครสะดวกที่ร้านค้าอาวุธปืนมีคอมพิวเตอร์ให้บริการ ก็แล้วแต่ ไม่เป็นไร ต่อให้มีคนแอบบกระซิบ บอกคำตอบ ก็ยังดีกว่าปัจจุบันที่ยังไม่มีขั้นตอนตรงนี้ อย่างน้อยแสดงให้เห็นถึงมาตรการรัดกุมมากขึ้น
ความรู้ความเข้าใจถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการมีและใช้อาวุธปืน ถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ จะได้ตระหนักรู้ เข้าใจ ไว้แต่เนิ่น
2. เงื่อนไขและคุณสมบัติของผู้ที่ต้องการยื่นขอมีและใช้อาวุธปืน เงื่อนไขขั้นต่ำ เมื่อครบถ้วนแล้ว เช่น บุคคล ไม่มีประวัติอาชาญากรรมตามเงื่อนไขต้องห้าม มีหลักแหล่งที่อยู่ ที่ทำงาน หนังสือรับรองความประพฤติ หลักฐานทรัพย์สิน รายการบัญชีเงินฝากหรือทำธุรกรรม ควรต้องพิจารณาอนุญาต ไม่ใช่ เพิ่มเติมเงื่อนไขอื่นตามอำเภอใจ และควรมีห้วงเวลาพิจารณาอนุญาตให้ชัดเจน เช่น ไม่เกิน 30 วันหลังยื่นขออนุญาต
3. ประเภทการขอ เพื่อ วัตถุประสงค์อะไร จะเพื่อปกป้องชีวิตทรัพย์สิน หรือ การกีฬา ต่างกันตรงไหนในบริบท ปัจจุบัน?
ขนาดกระสุนหน้าตัดใหญ่ ต้องขอเพื่อการกีฬา?? หน้าตัดขนาดเล็กเพื่อชีวิตและทรัพย์สิน? ตรงนี้รบกวนขอผู้รู้จริงช่วยตอบด้วย
ส่วนตัวไม่คิดว่าแตกต่างอย่างไร เว้นแต่เพิ่มเงื่อนไข ใบสมาชิกสนามเข้าไปประกอบคำขอ (ขออนุญาตไม่กล่าวถึงค่าดำเนินการขอ)
ทั้งที่ ส่วนใหญ่แล้ว ในการแข่งขันยิงปืน ขนาด 9 มม. มักจะเป็นขนาดนิยมในปัจจุบัน?
จะเป็น ขนาดกระสุน ขนาดใด ก็ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ได้ทั้งสองประเภทไม่ใช่หรือ? ซึ่งจะมีเหตุผลต่อเนื่องไปยังข้อที่ 4
4. ผู้มีไว้ในครอบครองหรือผู้ใช้ร่วมที่บ้านคนในครอบครัว ควรได้รับการฝึกฝนการใช้อย่างถูกวิธีและปลอดภัย โดยเฉพาะการได้มีครูผู้ฝึกสอนที่สนามฯ ให้คำแนะนำ
ไม่ควรทำให้เกิดสภาวะความไม่เป็นธรรมถูกดำเนินคดี ในการที่จะนำพา อาวุธปืน ออกจากเคหะสถานไปยังสนามฝึกซ้อมได้ โดย มี เจ้าหน้าที่ฯ ไปดักรอที่ทางเข้าสนาม สังเกตทะเบียนรถเข้าออก พฤติกรรม แล้วแจ้งให้เกิดการตรวจค้น ดำเนินคดี ปรับ
บุคคล ควรมีสิทธิในการนำพา ซึ่งไม่ใช่ พกพาอาวุธ ออกไป โดยมีวัตถุประสงค์คือไปฝึกซ้อมยิงที่สนาม โดยชัดเจนว่าการแสดงพฤติการณ์ ไม่ได้เตรียมพร้อมใช้อาวุธปืนเพื่อก่อเหตุ บรรจุกระสุนไว้พร้อมใช้ และนำสำเนาใบอนุญาตมีและใช้อาวุธปืนไปพร้อมด้วย ก็ควรจะเพียงพอ
หากจำเป็นที่จะให้แสดงถึงบัตรสมาชิกของสนามหรือใบเสร็จรับเงินค่าใช้สนาม ก็ประกาศมาให้ชัดเจนว่าต้องมีมาแสดงด้วย
5. นโยบายการรับซื้ออาวุธปืนคืน
กรณีที่ ทายาท ผู้มีสิทธิได้รับโอนอาวุธปืนตกทอดไม่ประสงค์จะครอบครองอาวุธปืน หรือ กรณีมีผู้เก็บได้ซึ่งอาวุธปืนที่ทั้งมีและไม่มีทะเบียน รัฐอาจจัดสรรงบประมาณ เพื่อรับซื้อาวุธปืนเหล่านี้ กลับมาเป็นของรัฐก่อน เช่น กระบอกละไม่เกิน 20,000 บาท อย่างที่ใน ต่างประเทศ และ บางรัฐทำ
แล้วนำอาวุธปืนเหล่านี้ ไปประมูลขายทอดตลาด เพื่อจดทะเบียนใหม่ให้แก่ผู้สนใจหรือจำหน่ายในราคาสวัสดิการแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของรัฐ ก็สุดแท้แต่ ส่วนอาวุธปืนดัดแปลง ให้นำส่ง มีรางวัลให้ เช่น กระบอกละ 1000 บาท เป็นต้น เพื่อทำลายทิ้งต่อไป
เหล่านี้เป็นข้อเสนอ เพื่อหวังให้เกิดการจัดการที่ดีขึ้น
ข้อเสนอต่อ กรมการปกครอง เกี่ยวกับการยื่นขอมีและใช้อาวุธปืน
1. บุคคลควรต้องมีการอบรม สอบวัดความรู้ความเข้าใจข้อกฎหมาย ไว้บ้าง แบบที่ กรมการขนส่ง ทำเพื่อขอมีใบอนุญาตขับขี่ คงไม่จำเป็นต้องออกแบบทดสอบ ยากถึงขนาดสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือต้องไปเรียนยิงปืนกับโรงเรียนก่อน เพราะเป็นต้นทุนสำหรับประชาชนมากเกินไป
กรมการปกครอง ควรเปิดให้ ประชาชน ผู้ต้องการยื่นขออนุญาตทำการลงทะเบียนออนไลน์ด้วยเลขบัตรประชาชน ปัจจุบัน การลงทะเบียนเลขบัตรประจำตัวประชาชน ก็น่าจะสามารถตรวจสอบได้ถึงประวัติอาชาญากรรมได้เบื้องต้น แต่เพื่อความมั่นใจ ก็ยังไม่ควรยกเลิกการพิมพ์และส่งลายนิ้วมือไปตรวจประวัติตามขั้นตอนปัจจุบันอยู่
รับฟังอบรมให้ครบตามที่หน้าเวปจับเวลาค้างหน้าจอเพื่อฟังบรรยาย
ทำแบบทดสอบ สัก 20 ข้อ เกี่ยวกับความรู้อาวุธปืนและการใช้ ความปลอดภัย และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่ต้องยากลึกล้ำกับคำถามมากเกินไป ทำแบบทดสอบ ต้องผ่านตั้งแต่ 15 ข้อขึ้นไป ระบบมีคำถาม 3-4 ชุด (แบบสุ่ม) และทำแบบประเมินสุขภาพจิตด้วยแบบสอบถามเบื้องต้น เพื่อยื่นประกอบ
เมื่อผ่านการทดสอบ จึง พิมพ์ หลักฐาน พร้อมระบุเลขที่ผ่านการทดสอบไว้ มีอายุ 90 วัน ไป กรอกเอกสาร ขอ ป.3 พร้อมเอกสารอื่นยื่นต่อนายทะเบียนต่อไป
ใครสะดวกที่บ้านก็ทำไป ใครสะดวกที่ร้านค้าอาวุธปืนมีคอมพิวเตอร์ให้บริการ ก็แล้วแต่ ไม่เป็นไร ต่อให้มีคนแอบบกระซิบ บอกคำตอบ ก็ยังดีกว่าปัจจุบันที่ยังไม่มีขั้นตอนตรงนี้ อย่างน้อยแสดงให้เห็นถึงมาตรการรัดกุมมากขึ้น
ความรู้ความเข้าใจถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการมีและใช้อาวุธปืน ถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ จะได้ตระหนักรู้ เข้าใจ ไว้แต่เนิ่น
2. เงื่อนไขและคุณสมบัติของผู้ที่ต้องการยื่นขอมีและใช้อาวุธปืน เงื่อนไขขั้นต่ำ เมื่อครบถ้วนแล้ว เช่น บุคคล ไม่มีประวัติอาชาญากรรมตามเงื่อนไขต้องห้าม มีหลักแหล่งที่อยู่ ที่ทำงาน หนังสือรับรองความประพฤติ หลักฐานทรัพย์สิน รายการบัญชีเงินฝากหรือทำธุรกรรม ควรต้องพิจารณาอนุญาต ไม่ใช่ เพิ่มเติมเงื่อนไขอื่นตามอำเภอใจ และควรมีห้วงเวลาพิจารณาอนุญาตให้ชัดเจน เช่น ไม่เกิน 30 วันหลังยื่นขออนุญาต
3. ประเภทการขอ เพื่อ วัตถุประสงค์อะไร จะเพื่อปกป้องชีวิตทรัพย์สิน หรือ การกีฬา ต่างกันตรงไหนในบริบท ปัจจุบัน?
ขนาดกระสุนหน้าตัดใหญ่ ต้องขอเพื่อการกีฬา?? หน้าตัดขนาดเล็กเพื่อชีวิตและทรัพย์สิน? ตรงนี้รบกวนขอผู้รู้จริงช่วยตอบด้วย
ส่วนตัวไม่คิดว่าแตกต่างอย่างไร เว้นแต่เพิ่มเงื่อนไข ใบสมาชิกสนามเข้าไปประกอบคำขอ (ขออนุญาตไม่กล่าวถึงค่าดำเนินการขอ)
ทั้งที่ ส่วนใหญ่แล้ว ในการแข่งขันยิงปืน ขนาด 9 มม. มักจะเป็นขนาดนิยมในปัจจุบัน?
จะเป็น ขนาดกระสุน ขนาดใด ก็ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ได้ทั้งสองประเภทไม่ใช่หรือ? ซึ่งจะมีเหตุผลต่อเนื่องไปยังข้อที่ 4
4. ผู้มีไว้ในครอบครองหรือผู้ใช้ร่วมที่บ้านคนในครอบครัว ควรได้รับการฝึกฝนการใช้อย่างถูกวิธีและปลอดภัย โดยเฉพาะการได้มีครูผู้ฝึกสอนที่สนามฯ ให้คำแนะนำ
ไม่ควรทำให้เกิดสภาวะความไม่เป็นธรรมถูกดำเนินคดี ในการที่จะนำพา อาวุธปืน ออกจากเคหะสถานไปยังสนามฝึกซ้อมได้ โดย มี เจ้าหน้าที่ฯ ไปดักรอที่ทางเข้าสนาม สังเกตทะเบียนรถเข้าออก พฤติกรรม แล้วแจ้งให้เกิดการตรวจค้น ดำเนินคดี ปรับ
บุคคล ควรมีสิทธิในการนำพา ซึ่งไม่ใช่ พกพาอาวุธ ออกไป โดยมีวัตถุประสงค์คือไปฝึกซ้อมยิงที่สนาม โดยชัดเจนว่าการแสดงพฤติการณ์ ไม่ได้เตรียมพร้อมใช้อาวุธปืนเพื่อก่อเหตุ บรรจุกระสุนไว้พร้อมใช้ และนำสำเนาใบอนุญาตมีและใช้อาวุธปืนไปพร้อมด้วย ก็ควรจะเพียงพอ
หากจำเป็นที่จะให้แสดงถึงบัตรสมาชิกของสนามหรือใบเสร็จรับเงินค่าใช้สนาม ก็ประกาศมาให้ชัดเจนว่าต้องมีมาแสดงด้วย
5. นโยบายการรับซื้ออาวุธปืนคืน
กรณีที่ ทายาท ผู้มีสิทธิได้รับโอนอาวุธปืนตกทอดไม่ประสงค์จะครอบครองอาวุธปืน หรือ กรณีมีผู้เก็บได้ซึ่งอาวุธปืนที่ทั้งมีและไม่มีทะเบียน รัฐอาจจัดสรรงบประมาณ เพื่อรับซื้อาวุธปืนเหล่านี้ กลับมาเป็นของรัฐก่อน เช่น กระบอกละไม่เกิน 20,000 บาท อย่างที่ใน ต่างประเทศ และ บางรัฐทำ
แล้วนำอาวุธปืนเหล่านี้ ไปประมูลขายทอดตลาด เพื่อจดทะเบียนใหม่ให้แก่ผู้สนใจหรือจำหน่ายในราคาสวัสดิการแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของรัฐ ก็สุดแท้แต่ ส่วนอาวุธปืนดัดแปลง ให้นำส่ง มีรางวัลให้ เช่น กระบอกละ 1000 บาท เป็นต้น เพื่อทำลายทิ้งต่อไป
เหล่านี้เป็นข้อเสนอ เพื่อหวังให้เกิดการจัดการที่ดีขึ้น