ก่อนอื่นผมต้องขออภัย คุณสมาชิกหมายเลข 2151156 ที่ผมจำเป็นต้องตั้งกระทู้ใหม่ เพื่อตอบกระทู้
https://ppantip.com/topic/42393648 ของคุณ เพราะ มีคำอธิบายที่ค่อนข้างยาวแต่จำเป็นที่จะต้องนำมาอธิบาย
จริยธรรมของการแลกเปลี่ยนระหว่างกันซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "กฎทอง(Golden rule)" เป็นข้อกำหนดทางศีลธรรมใดๆ ที่กระตุ้นให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่น เช่นเดียวกันกับที่เขาต้องการให้ผู้อื่นกระทำแก่เขาเช่นเดียวกัน หลักการนี้มีอยู่ในคัมภีร์ของศาสนาของโลกทุกๆศาสนา รวมถึงงานเขียนของนักปรัชญาฆราวาสของศาสนาต่างๆ เนื่องจากความแพร่หลายในหลายบริบท การสนทนากันในเรื่องศาสนาได้กลายมาเป็นจุดสนใจของผู้ที่มีจริยาธรรมสูง อย่างที่คุณๆ กำลังกระทำอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับการพัฒนาบรรทัดฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
ศาสนาอิสลามในฐานะศาสนาโลกที่มีผู้นับถือเกือบสองพันล้านคน กฏทองนี้ทำให้มุสลิมมีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกในการสนทนาและความร่วมมือกับกลุ่มอื่นๆ ในโลกปัจจุบัน
มันเป็นภูมิปัญญาและความรักเพื่อสันติภาพและการปรองดองของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด
ท่านได้เสนอคำแนะนำที่สำคัญให้กับผู้ต่างศาสนาทุกๆฝ่ายที่จะไม่แสดงให้เห็นว่าศาสดาของศาสนาใดเหนือกว่ากันและกัน คือไม่ให้มีการเหยียดหยามดูหมิ่นศาสดาของกันและกัน การทำเช่นนั้นเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่กลมกลืนกันระหว่างประเพณีศรัทธาที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นการวางรากฐานที่จะลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างความมีศรัทธาที่ต่างกัน อัลกุรอานได้ บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า:
อัลกุรอานบัญญัติที่ {4:36} บัญญัติไว้ดังนี้:
"และจงเคารพสักการะอัลลอฮฺเถิด และอย่าตั้งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์ และจงทำความดีต่อบิดามารดา และต่อเหล่าญาติที่ใกล้ชิดและเหล่าเด็กกำพร้า รวมทั้งเหล่าผู้ขัดสน และเพื่อนบ้านใกล้เคียง และเพื่อนบ้านที่ห่างไกล และเพื่อนใกล้ชิด และคนเดินทาง และเหล่าผู้ที่เป็นทาสเชลยศึก ของพวกเธอ แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงชอบผู้ยะโส ผู้โอ้อวด"
สิ่งสำคัญที่ควรทราบในที่นี่คือ บัญญัตินี้ไม่ได้บ่งว่าจะต้องมีความเมตตากรุณาเฉพาะ"มุสลิม", ในบัญญัตินี้แสดงให้เห็นว่าเป็นคำสั่งต่อมุสลิมให้มีความเมตตากรุณาต่อผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจของมุสลิมจะต้องขยายไปถึงผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมและเราไม่ควรแยกแยะ เขาเหล่านั้นจะเป็นใครนับศาสนา อะไร นอกเหนือสิ่งอื่นใดบัญญัตินี้ แสดงให้เห็นว่าทุกๆคนสมควรได้รับความเมตตาไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ใดก็ตาม และถึงแม้ว่าเขาได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับ มุสลิมแล้วก็ตาม
ในกรณี Non-Muslims ที่เป็นมิตรกับสังคมมุสลิม อิสลามบังคับให้มุสลิมทำความดีและให้ความยุติธรรมแก่ผู้ต่างศาสนา ซึ่งมีบัญญัติไว้ดังนี้:
{60:8} อัลลอฮฺไม่ได้ทรงห้ามพวกเธอเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ไม่ได้ต่อต้านพวกเธอในเรื่องศาสนา และพวกเขาก็ไม่ได้ขับไล่พวกเธอออกจากบ้านเรือนของพวกเธอ ในการที่พวกเธอจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม
มีบ่อยครั้งผู้ที่ Ignorant หรือมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อศาสนาอิสลาม หรือผู้ที่ต่อต้านการขยายตัวของศาสนาอิสลามมักจะอ้างอิงบัญญัติข้างล่างนี้มาทำลายความเชื่อถือในหลักการของศาสนาอิสลาม คือ:
لَا يَتَّخِذِ الْمُؤْمِنُونَ الْكَافِرِينَ أَوْلِيَاءَ مِنْ دُونِ الْمُؤْمِنِينَ ۖ وَمَنْ يَفْعَلْ ذَٰلِكَ فَلَيْسَ مِنَ اللَّهِ فِي شَيْءٍ إِلَّا أَنْ تَتَّقُوا مِنْهُمْ تُقَاةً ۗ وَيُحَذِّرُكُمُ اللَّهُ نَفْسَهُ ۗ وَإِلَى اللَّهِ الْمَصِيرُ {28}
[Shakir 3:28] Let not the believers take the unbelievers for friends rather than believers; and whoever does this, he shall have nothing of (the guardianship of) Allah, but you should guard yourselves against them, guarding carefully; and Allah makes you cautious of (retribution from) Himself; and to Allah is the eventual coming.
{3:28} ศรัทธาชนจะต้องไม่ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตร อื่นจากศรัทธาชน และผู้ใดกระทำเช่นนั้น เขาย่อมไม่อยู่ในสิ่งใดที่มาจากอัลลอฮฺ
นอกจากว่าพวกเธอ(ทำเพื่อ)ป้องกันตัวจากพวกเขา และอัลลอฮฺทรงเตือนพวกเธอให้ยำเกรงพระองค์ และยังอัลลอฮฺคือที่กลับคืน
เนื่องจากว่า เมื่อเริ่มประกาศอัลกุรอาน คือ ศาสนาอิสลามในระยะแรกๆนั้น มีอรับบูชาเจว็ด ยิว และคริสเตียนรอบด้านต่อต้าน การเทศนาอัลกุรอาน, และการเผยแพร่ศาสนาอิสลามของท่านศาสนฑูตมูฮัมมัด,
ชนผู้ที่เป็นศัตรูพวกนี้ต่างหาก,ที่บัญญัตินี้ห้ามคบค้าด้วย เพราะว่ามุสลิมอาจจะถูกฆ่าหรือเป็นอัน ตราย ถึงชีวิต ศัตรูเหล่านี้เรียกผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามหรือมุสลิมว่า "ชาวอัลกุรอาน" หรือผู้ที่นิยมอัลกุรอาน กล่าวหาว่าท่านศาสนทูตเป็นบ้า จะเห็นว่าในบัญญัตินี้ได้ให้เงื่อนไขไว้ว่า "นอกจากจำต้องเป็นมิตรด้วยเพื่อรักษาชีวิต" และเหตุร้ายที่อาจจะเกิดกับครอบครัว ดังนั้นการที่จะอ้างอิงบัญญัตินี้อย่างถูกต้อง จะต้องอ่านบริบททั้งหมด ไม่ใช่แต่ว่ายกมาอ้างอิง เพื่อความต้องการดูหมิ่นศาสนาอิสลามเท่านั้น (การห้ามนี้ในสมัยเมื่อ 1400 กว่าปีเมื่อเริ่มประกาศอิสลาม ผู้อ่านที่ใช้สติปัญญาเท่านั้นที่จะไม่คิดเป็นอื่น)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับฮาดีษนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมากทีเดียวที่เกี่ยวกับคำสอนในบริบทของอัลกุรอานในเรื่องความกรุณาปราณีต่อ Non-Muslim
1. Allah’s Messenger (SAWS) informed them that when he (SAWS) was sleeping, the bedouin took his sword, which was hanging on the tree, out of its sheath. When he (SAWS) woke up, the bedouin said to the Prophet (SAWS) while the naked sword was in his hand: ‘Who can save you from me?’ The prophet (SAWS) replied: ‘Allah.’ The Prophet (SAWS) didn’t punish him for that but rather let him go back. (Sahih Bukhari: 4135)
2. The companions said: ‘O Messenger of Allah (SAWS)! Thaqif has razed us with their arrows. So, supplicate to Allah against them!’ The Prophet (SAWS) replied: ‘O Allah! Guide The Thaqif!’ (Then the whole tribe embraced Islam.) (Sunan Tirmidhi: 3942)
3. ท่านศาสดามูฮัมมัด (ﷺ) ไม่ยอมให้ความเป็นปฏิปักษ์ของผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมที่มีอยู่เป็นจำนวนมากต่อชาวมุสลิม, เป็นเหตุให้ไม่ได้รับความยุติธรรมจากมุสลิม ซึ่งไม่เคยเป็นปัญหาของท่านในการปกครอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้What did Muhammad say about non-Muslims?
The Prophet (ﷺ) did not allow the enmity of many non-Muslims towards the Muslims to cause him to be unfair towards them in administering the state's affairs. All of these had never been his concern in running the affairs of the state.
4. Narrated by Anas:
“A young Jewish boy used to serve the Prophet and he became sick. So the Prophet went to visit him. He sat near his head and asked him to embrace Islam. The boy looked at his father, who was sitting there. The latter told him to obey the Prophet and the boy embraced Islam. The Prophet came out saying: “Praise be to Allah Who saved the boy from the Hell-fire” (Al-Bukhari)
จากเรื่องราวต่างๆทั้งในคัมภีร์อัลกุรอาน และจากฮาดีษ ที่กล่าวมา พอที่จะสรุปได้ว่าศาสนาอิสลามสอนให้มุสลิม มีความเมตตากรุณาต่อ ผู้ต่างศาสนา ซึ่งรวมถึง การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อชาวบ้าน, เพื่อนบ้าน และบุคลทั่วๆไป โดยไม่คำนึงถึงว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นใคร นับถือศาสนาใดๆ รวมทั้งให้ความเมตตากรุณาต่อข้าศึก เมื่อเขาแพ้ก็หยุดการฆ่าฟันทรมาณ , ให้มีความเมตตาต่อเชลยศึก ข้าทาสบริวาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องวางรากฐานอยู่บนความยุติธรรมเท่านั้น
ตอบกระทู้ "สอบถามคุณแมทท์ และผู้มีความรู้ด้านฮะดิษครับ เกี่ยวกับการทำความดีกับเพื่อนต่างศาสนา"
จริยธรรมของการแลกเปลี่ยนระหว่างกันซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "กฎทอง(Golden rule)" เป็นข้อกำหนดทางศีลธรรมใดๆ ที่กระตุ้นให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่น เช่นเดียวกันกับที่เขาต้องการให้ผู้อื่นกระทำแก่เขาเช่นเดียวกัน หลักการนี้มีอยู่ในคัมภีร์ของศาสนาของโลกทุกๆศาสนา รวมถึงงานเขียนของนักปรัชญาฆราวาสของศาสนาต่างๆ เนื่องจากความแพร่หลายในหลายบริบท การสนทนากันในเรื่องศาสนาได้กลายมาเป็นจุดสนใจของผู้ที่มีจริยาธรรมสูง อย่างที่คุณๆ กำลังกระทำอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับการพัฒนาบรรทัดฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ศาสนาอิสลามในฐานะศาสนาโลกที่มีผู้นับถือเกือบสองพันล้านคน กฏทองนี้ทำให้มุสลิมมีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกในการสนทนาและความร่วมมือกับกลุ่มอื่นๆ ในโลกปัจจุบัน
มันเป็นภูมิปัญญาและความรักเพื่อสันติภาพและการปรองดองของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ท่านได้เสนอคำแนะนำที่สำคัญให้กับผู้ต่างศาสนาทุกๆฝ่ายที่จะไม่แสดงให้เห็นว่าศาสดาของศาสนาใดเหนือกว่ากันและกัน คือไม่ให้มีการเหยียดหยามดูหมิ่นศาสดาของกันและกัน การทำเช่นนั้นเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่กลมกลืนกันระหว่างประเพณีศรัทธาที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นการวางรากฐานที่จะลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างความมีศรัทธาที่ต่างกัน อัลกุรอานได้ บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า:
"และจงเคารพสักการะอัลลอฮฺเถิด และอย่าตั้งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์ และจงทำความดีต่อบิดามารดา และต่อเหล่าญาติที่ใกล้ชิดและเหล่าเด็กกำพร้า รวมทั้งเหล่าผู้ขัดสน และเพื่อนบ้านใกล้เคียง และเพื่อนบ้านที่ห่างไกล และเพื่อนใกล้ชิด และคนเดินทาง และเหล่าผู้ที่เป็นทาสเชลยศึก ของพวกเธอ แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงชอบผู้ยะโส ผู้โอ้อวด"
สิ่งสำคัญที่ควรทราบในที่นี่คือ บัญญัตินี้ไม่ได้บ่งว่าจะต้องมีความเมตตากรุณาเฉพาะ"มุสลิม", ในบัญญัตินี้แสดงให้เห็นว่าเป็นคำสั่งต่อมุสลิมให้มีความเมตตากรุณาต่อผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจของมุสลิมจะต้องขยายไปถึงผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมและเราไม่ควรแยกแยะ เขาเหล่านั้นจะเป็นใครนับศาสนา อะไร นอกเหนือสิ่งอื่นใดบัญญัตินี้ แสดงให้เห็นว่าทุกๆคนสมควรได้รับความเมตตาไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ใดก็ตาม และถึงแม้ว่าเขาได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับ มุสลิมแล้วก็ตาม
ในกรณี Non-Muslims ที่เป็นมิตรกับสังคมมุสลิม อิสลามบังคับให้มุสลิมทำความดีและให้ความยุติธรรมแก่ผู้ต่างศาสนา ซึ่งมีบัญญัติไว้ดังนี้:
{60:8} อัลลอฮฺไม่ได้ทรงห้ามพวกเธอเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ไม่ได้ต่อต้านพวกเธอในเรื่องศาสนา และพวกเขาก็ไม่ได้ขับไล่พวกเธอออกจากบ้านเรือนของพวกเธอ ในการที่พวกเธอจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม
มีบ่อยครั้งผู้ที่ Ignorant หรือมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อศาสนาอิสลาม หรือผู้ที่ต่อต้านการขยายตัวของศาสนาอิสลามมักจะอ้างอิงบัญญัติข้างล่างนี้มาทำลายความเชื่อถือในหลักการของศาสนาอิสลาม คือ:
لَا يَتَّخِذِ الْمُؤْمِنُونَ الْكَافِرِينَ أَوْلِيَاءَ مِنْ دُونِ الْمُؤْمِنِينَ ۖ وَمَنْ يَفْعَلْ ذَٰلِكَ فَلَيْسَ مِنَ اللَّهِ فِي شَيْءٍ إِلَّا أَنْ تَتَّقُوا مِنْهُمْ تُقَاةً ۗ وَيُحَذِّرُكُمُ اللَّهُ نَفْسَهُ ۗ وَإِلَى اللَّهِ الْمَصِيرُ {28}
[Shakir 3:28] Let not the believers take the unbelievers for friends rather than believers; and whoever does this, he shall have nothing of (the guardianship of) Allah, but you should guard yourselves against them, guarding carefully; and Allah makes you cautious of (retribution from) Himself; and to Allah is the eventual coming.
{3:28} ศรัทธาชนจะต้องไม่ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตร อื่นจากศรัทธาชน และผู้ใดกระทำเช่นนั้น เขาย่อมไม่อยู่ในสิ่งใดที่มาจากอัลลอฮฺ นอกจากว่าพวกเธอ(ทำเพื่อ)ป้องกันตัวจากพวกเขา และอัลลอฮฺทรงเตือนพวกเธอให้ยำเกรงพระองค์ และยังอัลลอฮฺคือที่กลับคืน
เนื่องจากว่า เมื่อเริ่มประกาศอัลกุรอาน คือ ศาสนาอิสลามในระยะแรกๆนั้น มีอรับบูชาเจว็ด ยิว และคริสเตียนรอบด้านต่อต้าน การเทศนาอัลกุรอาน, และการเผยแพร่ศาสนาอิสลามของท่านศาสนฑูตมูฮัมมัด, ชนผู้ที่เป็นศัตรูพวกนี้ต่างหาก,ที่บัญญัตินี้ห้ามคบค้าด้วย เพราะว่ามุสลิมอาจจะถูกฆ่าหรือเป็นอัน ตราย ถึงชีวิต ศัตรูเหล่านี้เรียกผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามหรือมุสลิมว่า "ชาวอัลกุรอาน" หรือผู้ที่นิยมอัลกุรอาน กล่าวหาว่าท่านศาสนทูตเป็นบ้า จะเห็นว่าในบัญญัตินี้ได้ให้เงื่อนไขไว้ว่า "นอกจากจำต้องเป็นมิตรด้วยเพื่อรักษาชีวิต" และเหตุร้ายที่อาจจะเกิดกับครอบครัว ดังนั้นการที่จะอ้างอิงบัญญัตินี้อย่างถูกต้อง จะต้องอ่านบริบททั้งหมด ไม่ใช่แต่ว่ายกมาอ้างอิง เพื่อความต้องการดูหมิ่นศาสนาอิสลามเท่านั้น (การห้ามนี้ในสมัยเมื่อ 1400 กว่าปีเมื่อเริ่มประกาศอิสลาม ผู้อ่านที่ใช้สติปัญญาเท่านั้นที่จะไม่คิดเป็นอื่น)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับฮาดีษนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมากทีเดียวที่เกี่ยวกับคำสอนในบริบทของอัลกุรอานในเรื่องความกรุณาปราณีต่อ Non-Muslim
1. Allah’s Messenger (SAWS) informed them that when he (SAWS) was sleeping, the bedouin took his sword, which was hanging on the tree, out of its sheath. When he (SAWS) woke up, the bedouin said to the Prophet (SAWS) while the naked sword was in his hand: ‘Who can save you from me?’ The prophet (SAWS) replied: ‘Allah.’ The Prophet (SAWS) didn’t punish him for that but rather let him go back. (Sahih Bukhari: 4135)
2. The companions said: ‘O Messenger of Allah (SAWS)! Thaqif has razed us with their arrows. So, supplicate to Allah against them!’ The Prophet (SAWS) replied: ‘O Allah! Guide The Thaqif!’ (Then the whole tribe embraced Islam.) (Sunan Tirmidhi: 3942)
3. ท่านศาสดามูฮัมมัด (ﷺ) ไม่ยอมให้ความเป็นปฏิปักษ์ของผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมที่มีอยู่เป็นจำนวนมากต่อชาวมุสลิม, เป็นเหตุให้ไม่ได้รับความยุติธรรมจากมุสลิม ซึ่งไม่เคยเป็นปัญหาของท่านในการปกครอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
4. Narrated by Anas:
“A young Jewish boy used to serve the Prophet and he became sick. So the Prophet went to visit him. He sat near his head and asked him to embrace Islam. The boy looked at his father, who was sitting there. The latter told him to obey the Prophet and the boy embraced Islam. The Prophet came out saying: “Praise be to Allah Who saved the boy from the Hell-fire” (Al-Bukhari)
จากเรื่องราวต่างๆทั้งในคัมภีร์อัลกุรอาน และจากฮาดีษ ที่กล่าวมา พอที่จะสรุปได้ว่าศาสนาอิสลามสอนให้มุสลิม มีความเมตตากรุณาต่อ ผู้ต่างศาสนา ซึ่งรวมถึง การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อชาวบ้าน, เพื่อนบ้าน และบุคลทั่วๆไป โดยไม่คำนึงถึงว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นใคร นับถือศาสนาใดๆ รวมทั้งให้ความเมตตากรุณาต่อข้าศึก เมื่อเขาแพ้ก็หยุดการฆ่าฟันทรมาณ , ให้มีความเมตตาต่อเชลยศึก ข้าทาสบริวาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องวางรากฐานอยู่บนความยุติธรรมเท่านั้น