JJNY : วิโรจน์ชี้ประเทศตกอยู่ใน 9 หลุมดำ│ประเสริฐพงษ์จี้กรมโยธาฯ│บาททยอยแข็งค่า│แบงก์ชาติจีนออกโรงสกัดเงินหยวนอ่อนค่า

วิโรจน์ เปิดตัวเลข ยอดทุจริต 3 แสนล้านต่อปี ชี้ ประเทศตกอยู่ใน 9 หลุมดำ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4321333
 
 
‘วิโรจน์’ ลั่น ขนลุกตัวเลขทุจริตต่อปีสูงถึง 3 แสนล้าน มองประเทศตกหลุมดำกับระบบอุปถัมภ์-ขาดความโปร่งใส-ใช้กฎหมายปิดปาก เหน็บ ‘เศรษฐา’ เรียกข้าราชการไปนั่งด่าก่อนขึ้นเครื่องไม่ช่วยอะไร ห่วงประเทศไทยเป็นประเทศต้องสาป
 
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 8 ธันวาคม ที่พรรคก้าวไกล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อและนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล แถลงข่าวประจำสัปดาห์ในหัวข้อก้าวไกล Policy Watch ชำระปัญหา-เสนอทางแก้คอร์รัปชัน
 
โดยนายวิโรจน์กล่าวว่า หลายคนคงไม่ทราบว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นวันต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งมูลค่าการทุจริตคอร์รัปชั่นมีมูลค่าสูงถึง 3 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ 1 ปี ดังนั้น หากเราจะจัดการเงินทุจริตนี้ สามารถเอาเงินมาอุดหนุนเด็กยากจนได้ถึง 3 ช่วงอายุ หรือหากเปรียบเทียบกับเบี้ยผู้สูงอายุ ก็เทียบได้เป็น 3 เท่า นี่เป็นภัยร้ายที่ตนเห็นแล้วรู้สึกขนลุก
 
นายวิโรจน์กล่าวว่า การรัฐประหาร ทำให้สถานการณ์แย่ลง แผนปฏิรูปประเทศเป็นเพียงกระดาษปึกหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย นอกจากนี้ ระบบอุปถัมภ์ยังหยั่งรากลึกจนแก้ไม่ได้อีกด้วย การปล้นทุจริตคอร์รัปชั่นจากผู้ประกอบการ ทำให้ประเทศด้อยลง
 
ถ้าเกิดประเทศเต็มไปด้วยคอร์รัปชั่น หากนักลงทุนต้องจ่ายเงินสีเทา จ่ายเงินใต้โต๊ะ เราจะดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศได้อย่างไร เราจะกระตุ้นให้คนในประเทศที่มีความคิดสร้างสรรค์กล้าลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ได้อย่างไร ถ้าสังคมนี้เต็มไปด้วยระบบอุปถัมภ์และระบบผูกขาดที่ทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจและมีกฎหมายหนุนหลังให้ทุนผูกขาดมีความได้เปรียบ
 
นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า ตนคิดว่าประเทศวนเวียนอยู่กับหลุมดำ 9 หลุม ได้แก่
 
1. ระบบอุปถัมภ์ และการซื้อขายตำแหน่ง ซึ่งเป็นปฐมบทแห่งการคอร์รัปชั่น
2. การขาดความโปร่งใส และอุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูล
3. กฎหมายปิดปาก การคุกคามสื่อ และการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก
4. การใช้อำนาจขององค์กรอิสระ ที่ขาดการตรวจสอบถ่วงดุล
5. กฎหมายที่ล้าสมัย ที่เจ้าหน้าที่สามารถใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ
6. การบังคับใช้กฎหมายอย่าง 2 มาตรฐาน การตั้งชงทำนิติสงครามกับคนที่คิดต่าง
7. ความไม่จริงจังในการบังคับใช้กฎหมายในการปราบปรามคอร์รัปชั่น
8. การตอบสนองต่อการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ล่าช้า ไม่ยอมรับความจริง จับได้แต่ราชการชั้นผู้น้อย
9. การที่สังคมมองว่าการรีดไถ ส่งส่วย เป็นเรื่องปกติที่ต้องยอมรับ
 
นายวิโรจน์ย้ำว่า หากประเทศไทยยังอยู่ในระบบนิเวศแบบนี้ ประเทศไทยไม่มีทางดีขึ้นได้เลย ปัจจุบันปัญหาคอร์รัปชั่นประเทศไทย การโกง แทรกซึมอยู่ทุกอณูจนเป็นรากฐานของปัญหาที่ร้ายแรงของสังคม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอาชญากรรม ธุรกิจผิดกฎหมาย ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น จีนสีเทา และมาเฟียข้ามชาติ
 
นายวิโรจน์ ยังแบ่งการคอร์รัปชั่นในประเทศ ออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ การซื้อขายตำแหน่ง, การเรียกรับส่วย, การใช้ช่องทางทางกฎหมายและดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ในการรีดไถ และการล็อกสเปก
 
ผมเรียนท่านนายกรัฐมนตรี ว่าต้องแก้ไขที่โครงสร้าง ตลอดจนแก้ไขข้อกฎหมายที่ล้าสมัยคู่กันไป ด้วยมีการดำเนินนโยบายและตรากฎหมายที่ส่งเสริมความโปร่งใส คุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วม ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง” นายวิโรจน์ กล่าว
 
นายวิโรจน์กล่าวอีกว่า ตัวอย่างที่สามารถทำได้เลย เช่น การจัดการ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง, พ.ร.บ.โรงแรม, พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง, พ.ร.บ.มาตรการการฟ้องปิดปาก เป็นต้น
 
สภาพของความขึงขัง เรียกข้าราชการไปนั่งบ่นนั่งด่า ก่อนที่จะขึ้นเครื่องบิน หรือเรียกจัดอีเวนต์ในการปราบปราม อย่างดีที่สุดก็ทำให้การทุจริตคอร์รัปชั่นหายไปช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก สิ่งโสโครกเหล่านี้ก็จะผุดกลับขึ้นมาใหม่ ด้วยวิธีการที่แยบยล ตรวจสอบได้ยากกว่าเดิม ที่สำคัญกว่านี้จีนสีเทา มาเฟียข้ามชาติ ธุรกิจผิดกฎหมาย ก็จะมาลงหลักปักฐานที่ประเทศไทย การรีดไถเก็บส่วยก็จะมีเต็มบ้านเต็มเมือง โจษจันกันไปยังทั่วโลก ขัดขวางการลงทุนในธุรกิจทุจริต ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ถ้าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น New S Curve จะเป็นอย่างไร เราอยากให้ New S Curve เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นพนันออนไลน์หรือไม่ ถ้าบ้านเมืองยังเต็มไปด้วยคอร์รัปชั่น ผมกังวลว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศต้องสาปที่ไม่มีการพัฒนาได้ดีกว่านี้ หรือประเทศที่พัฒนาแต่ได้แค่นี้” นายวิโรจน์กล่าว
 
ขณะที่นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตอนนี้เกือบ 90 วันในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว วันนี้หมดเวลาฮันนีมูนแล้ว เรื่องที่ตนจะพูดเป็นเรื่องงงบประมาณ โดยที่ผ่านมา มีคนบอกว่าพรรคก้าวไกลระบุว่าฝั่งรัฐบาลส่งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 หรืองบ 67 มาสภาล่าช้า แต่เราเข้าใจดีว่าเป็นผลมาจากการเลือกตั้ง ทำให้วาระนี้นี้จะถูกพิจารณาในช่วงวันหยุดปีใหม่ ซึ่งตนมีข้อเสนอแนะว่างบ 67 นายกรัฐมนตรีสามารถอาศัยกลไกของพรรคร่วมรัฐบาล เลื่อนกำหนดพิจารณาวาระงบประมาณปี 67 ซึ่งตนมั่นใจว่าไม่สายเกินไป และไม่กระทบกับการบังคับใช้ เพราะจะได้มีเวลาให้ฝั่งสภา สื่อมวลชน และประชาชนได้มีเวลาตรวจสอบ มองว่าประชาชนควรมีส่วนร่วมในการพิจารณางบด้วย
 
ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับการวัดดัชนีการจัดทำงบประมาณเปิดก็อยู่ในอันดับท้ายๆ จาก 120 ประเทศ ในการสำรวจของ International Budget Partnership หรือ IDP โดยเป็นหน่วยงานสากลที่ทำผลสำรวจการทำงบประมาณเปิดเผยต่อสาธารณะ และในงบประมาณปีนี้ มีข้อน่าสังเกตว่าอาจมีการทุจริตหรือไม่ที่งบประมาณจัดทำฝายเอลนีโญ จำนวน 2 พันล้านบาท จำนวน 4,000 แห่ง ที่มีการตั้ง ชง อนุมัติภายใน 1 เดือน
 
นายณัฐพงษ์ ยังเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ประกาศเข้าร่วมเป็นสมาชิกรัฐบาลโปร่งใส OGP หรือ Open Government Partnership ภายใน 2 ปี ที่ตนเชื่อมั่นว่าทำได้



ประเสริฐพงษ์ จี้ กรมโยธาฯ ขนย้ายกองหิน-เหล็ก ออกจากชายหาดม่วงงาม เสี่ยงเกิดอันตราย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4321411

ประเสริฐพงษ์ จี้ กรมโยธาฯ ขนย้ายกองหิน-เหล็ก ออกจากชายหาดม่วงงาม เสี่ยงเกิดอันตราย
 
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 8 ธันวาคม ที่รัฐสภา นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล แถลงว่า ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน ต.ม่วงงาม อ.สิงหนคร จ.สงขลา เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเล พร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์ พื้นที่ชายฝั่งหาดม่วงงาม ต.ม่วงงาม อ.สิงหนคร จ.สงขลา ซึ่งพบว่า โครงการดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับชายฝั่ง โดยมีกองหินและเศษเหล็ก ทำให้เด็กไม่สามารถลงไปเล่นน้ำได้เนื่องจากกลัวอันตราย โดยโครงการนี้อยู่ในความรับผิดชอบของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย จึงขออาศัยช่องทางการแถลงข่าวเพื่อให้เรื่องดังกล่าวถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อย่างไรก็ตามเบื้องต้นชาวบ้านในพื้นที่ไม่ยินยอมให้ก่อสร้างโครงการดังกล่าว และที่ผ่านมาอดีตรองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะขนย้ายกองหินและเศษเหล็กออกจากชายหาดม่วงงาม แต่ปัจจุบันยังไม่ได้ดำเนินการแต่อย่างใด จึงขอเรียกร้องไปยังอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองให้ขนย้ายกองหินและเหล็กออกจากพื้นที่ชายหาดม่วงงาม
 

 
บาททยอยแข็งค่า ตามทิศทางดอลลาร์อ่อนลง หลังผู้เล่นในตลาดคาดเฟด อาจลดดอกเบี้ยช่วงปีหน้า
https://www.matichon.co.th/economy/news_4321250

บาททยอยแข็งค่า ตามทิศทางดอลลาร์อ่อนลง หลังผู้เล่นในตลาดคาดเฟด อาจลดดอกเบี้ยช่วงปีหน้า
 
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.14 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”
 
จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.17 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.00-35.25 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดรับรู้ยอดการจ้างงานสหรัฐ และประเมินกรอบ 34.90-35.40 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงตลาดทยอยรับรู้ยอดการจ้างงานสหรัฐ

นายพูนกล่าวว่า โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideway (แกว่งตัวในช่วง 35.11-35.26 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลง ตามการย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับระยะสั้นของราคาทองคำ ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ทั้งนี้ โดยรวมเงินบาทสามารถทยอยแข็งค่าขึ้นได้เล็กน้อย ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในการประชุมเดือนมีนาคมและอาจลดดอกเบี้ยลง -1.25% ในปีหน้า ขณะเดียวกัน บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐ ที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ก็มีส่วนกดดันเงินดอลลาร์ ตามความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ลดลงบ้าง
 
ทั้งนี้ สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญที่ควรจับตาอย่างใกล้ชิด คือ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐ ทั้งยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม ( Nonfarm Payrolls) อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) โดยเฉพาะในส่วนของคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะสั้นและระยะยาว

นายพูนกล่าวว่า สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท อาจแกว่งตัว sideway ในกรอบไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐในคืนนี้ อย่างไรก็ดี ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทก็อาจผันผวนไปตาม ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ที่อาจเริ่มชะลอการขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นได้บ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น
 
นอกจากนี้ ควรจับตาทิศทางเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อย่างใกล้ชิดเช่นกัน หลังล่าสุด เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ได้ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจนหลุดระดับ 145 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นเป้า ณ สิ้นปีนี้ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจพิจารณาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น หรือ ส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้ในการประชุมที่จะถึงนี้
 
โดยการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ดังกล่าว อาจกระทบต่อเงินบาทผ่าน การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมขายเงินเยนญี่ปุ่น หลังล่าสุด เงินเยนญี่ปุ่นเทียบเงินบาท (JPYTHB) ได้ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 24.25 บาทต่อ 100 เยน” นายพูนกล่าว
 
ทั้งนี้ ควรระมัดระวังความผันผวนของเงินบาทในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐ เพราะหากออกมาดีกว่าคาดไปมาก ก็อาจหนุนให้เงินดอลลาร์ พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ซึ่งจะกดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้พอสมควร ขณะที่ หากยอดการจ้างงานออกมาแย่กว่าคาด หรือ ตามคาด ก็อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดมากนัก ยกเว้นจะเห็นยอดการจ้างงานลดลงชัดเจน ต่ำกว่า 1 แสนราย
 
ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลาก
หลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง” นายพูนกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่