ผมเคยอ่านพบมานานมาแล้ว แต่ก็ยังจำได้ลาง ๆ อาจผิดไปบ้าง ก็ขออภัย
เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว
พระพุทธองค์ได้ทรงดำเนินไป แล้วพบกับชายผู้หนี่งที่เดินสวนทางมา
ชายนั้นถามพระพุทธองค์ว่า ท่านเป็นใคร จึงแต่งกายไม่เหมือนคนอื่น
พระพุทธองค์ตอบชายคนนั้นว่า พระองค์คือ ผู้รู้แจ้งในทุกข์
ชายคนนั้นได้ยินคำตอบ ก็ส่ายหัว แล้วก็เดินจากไป
ในยุคปัจจุบัน มีตนตั้งตนเป็นครูบาอาจารย์สอนธรรมกันมากมาย
โดยเฉพาะธรรมปฏิบัติ
ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาธรรมปฏิบัติ ก็จะพบกับคำสอนการปฏิบัติในรูปแบบที่ต่างๆ กัน
จนเกิดความสับสนได้ว่า อย่างไรถึงจะถูกกันแน่
สิ่งหนี่งที่มักตั้งธงไว้แล้วในใจคนใหม่ที่เข้ามาศึกษาธรรมปฏิบัติ ก็คือ คนสอนคนใด มีผู้กล่าวขวัญถึงมาก
คน ๆ นั้นน่าจะสอนถูกแล้ว แล้วคนก็มักมีศรัทธาเชื่อมั่นว่า อาจารย์ผู้สอนคนนั้น จะนำพาตนให้พบธรรมได้จริง
แต่ถ้ามีคนใด มากล่าวพาดพิงว่า อาจารย์คนนี้ ที่ตนศรัทธานั้น สอนผิด เป็นพวกมิจฉาทิฐิ
ก็จะเกิดอาการโกรธแค้นขึ้นมา มีต่อว่าถกเถียงกันว่า อาจารย์ข้านี่ถูก เอ็งนะผิดแล้ว
ซึ่งการถกเถียงแบบนี้ มีมาทุกเวปบอร์ดที่ผ่านมา ไม่ใช่แต่ใน pantip
ผมเป็นสมาชิกพันธ์ทิพย์มานานกว่า 30 ปี และมักอ่านในกระทู้ห้องศาสนา
เดิมห้องศาสนาในพันธ์ทิพย์มีชื่อเรียกว่า ห้องสมุด
และสิ่งที่ผมพบเป็นประจำก็คือ ทุกครั้งทีมีกระทู้เข้ามาถามเกี่ยวกับการปฏิบัติ ก็จะมีผู้รู้เข้ามาตอบมากมาย
ซึ่งคำตอบนั้น ก็มักจะมีหลายแบบ คนไหม่ ๆ ในการปฏิบัติ อ่านแล้วก็จะงง ว่า แบบใดถึงจะตรง
แล้ว ผู้ถาม ก็มักจะเลือกกด like ในบางคำตอบ ซี่งผมเข้าใจว่าที่เขากด Like ก็เพราะว่า คำตอบนั้น ช่างตรงกับทิฐิที่คนเชื่ออยู่
ส่วนคำตอบใด ที่ไม่กด like เพราะคำตอบนั้น ไม่ตรงกับทิฐิของตน
เมื่อก่อน ผมก็เป็นคนหนี่ง ที่ขยันเขียนตอบคำถามการปฏิบัติคนหนี่ง
ผมพบว่า แต่ละคำตอบที่ผมเขียน ใช้เวลาไปค่อนข้างนาน อย่างต่ำก็ 30 นาที ขึ้นไป
บางคำตอบ ผมขยันอธิบายเสียยาว ก็ใข้เวลามากกว่า ชั่วโมงก็ยังมี
มาถึงยุคปัจจุบัน ผมกลับมองไปว่า สิ่งที่ผมพยายามจะตอบคำถามเรื่องการปฏิบัติ
นี่เป็นการเสียเวลาไปเปล่า ๆ หรือไม่
แล้วผมก็สรุปเองว่า ใช่ เสียเวลาเปล่า ๆ
เพราะสิ่งที่ผมเขียนส่วนใหญ่ ถ้าอ่านดู ก็จะพบได้ 2 อย่างคือ
1..คนอ่านแล้ว อ่านไม่รู้เรื่อง เขียนอะไรก็ไม่รู้
2..อ่านแล้ว รู้เรื่อง แต่สิ่งทีเขียน มักจะตรงข้ามกับคำสอนของอาจารย์ที่สอนการปฏฺบัติหลาย ๆ คน
เมื่อผมสรุปเองว่า ผมทำประโยชน์อะไรไม่ได้อีกในการเขียนเรื่องธรรมปฏิบัติ
ผมเขียนไป ก็เสียเวลาผมเปล่า ๆ
มันคงเป็นเวลาแล้ว ที่ผมคงเลิกเขียนตอบอะไรในห้องศาสนานี้อีก
ผมจึงมาขอลา เพื่อน ๆ ในห้องศาสนานี้ครับ
ขอบคุณสมาชิกทุกท่านในห้องศาสนานี้
หลาย login คนในห้องศาสนาทีเคยผ่านเข้ามา ก็หายหน้าไปมากหลายคน
ถึงวันนี้ ก็ถึงคราวของผมบ้างแล้ว
ขอบคุณครับ
เรื่องของศาสนา ทุกอย่างจะเริ่มต้นที่ ศรัทธา (ขอกล่าวถึงเฉพาะพุทธศาสนา เพื่อไม่ให้กระทบถึงศาสนาอื่น)
เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว
พระพุทธองค์ได้ทรงดำเนินไป แล้วพบกับชายผู้หนี่งที่เดินสวนทางมา
ชายนั้นถามพระพุทธองค์ว่า ท่านเป็นใคร จึงแต่งกายไม่เหมือนคนอื่น
พระพุทธองค์ตอบชายคนนั้นว่า พระองค์คือ ผู้รู้แจ้งในทุกข์
ชายคนนั้นได้ยินคำตอบ ก็ส่ายหัว แล้วก็เดินจากไป
ในยุคปัจจุบัน มีตนตั้งตนเป็นครูบาอาจารย์สอนธรรมกันมากมาย
โดยเฉพาะธรรมปฏิบัติ
ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาธรรมปฏิบัติ ก็จะพบกับคำสอนการปฏิบัติในรูปแบบที่ต่างๆ กัน
จนเกิดความสับสนได้ว่า อย่างไรถึงจะถูกกันแน่
สิ่งหนี่งที่มักตั้งธงไว้แล้วในใจคนใหม่ที่เข้ามาศึกษาธรรมปฏิบัติ ก็คือ คนสอนคนใด มีผู้กล่าวขวัญถึงมาก
คน ๆ นั้นน่าจะสอนถูกแล้ว แล้วคนก็มักมีศรัทธาเชื่อมั่นว่า อาจารย์ผู้สอนคนนั้น จะนำพาตนให้พบธรรมได้จริง
แต่ถ้ามีคนใด มากล่าวพาดพิงว่า อาจารย์คนนี้ ที่ตนศรัทธานั้น สอนผิด เป็นพวกมิจฉาทิฐิ
ก็จะเกิดอาการโกรธแค้นขึ้นมา มีต่อว่าถกเถียงกันว่า อาจารย์ข้านี่ถูก เอ็งนะผิดแล้ว
ซึ่งการถกเถียงแบบนี้ มีมาทุกเวปบอร์ดที่ผ่านมา ไม่ใช่แต่ใน pantip
ผมเป็นสมาชิกพันธ์ทิพย์มานานกว่า 30 ปี และมักอ่านในกระทู้ห้องศาสนา
เดิมห้องศาสนาในพันธ์ทิพย์มีชื่อเรียกว่า ห้องสมุด
และสิ่งที่ผมพบเป็นประจำก็คือ ทุกครั้งทีมีกระทู้เข้ามาถามเกี่ยวกับการปฏิบัติ ก็จะมีผู้รู้เข้ามาตอบมากมาย
ซึ่งคำตอบนั้น ก็มักจะมีหลายแบบ คนไหม่ ๆ ในการปฏิบัติ อ่านแล้วก็จะงง ว่า แบบใดถึงจะตรง
แล้ว ผู้ถาม ก็มักจะเลือกกด like ในบางคำตอบ ซี่งผมเข้าใจว่าที่เขากด Like ก็เพราะว่า คำตอบนั้น ช่างตรงกับทิฐิที่คนเชื่ออยู่
ส่วนคำตอบใด ที่ไม่กด like เพราะคำตอบนั้น ไม่ตรงกับทิฐิของตน
เมื่อก่อน ผมก็เป็นคนหนี่ง ที่ขยันเขียนตอบคำถามการปฏิบัติคนหนี่ง
ผมพบว่า แต่ละคำตอบที่ผมเขียน ใช้เวลาไปค่อนข้างนาน อย่างต่ำก็ 30 นาที ขึ้นไป
บางคำตอบ ผมขยันอธิบายเสียยาว ก็ใข้เวลามากกว่า ชั่วโมงก็ยังมี
มาถึงยุคปัจจุบัน ผมกลับมองไปว่า สิ่งที่ผมพยายามจะตอบคำถามเรื่องการปฏิบัติ
นี่เป็นการเสียเวลาไปเปล่า ๆ หรือไม่
แล้วผมก็สรุปเองว่า ใช่ เสียเวลาเปล่า ๆ
เพราะสิ่งที่ผมเขียนส่วนใหญ่ ถ้าอ่านดู ก็จะพบได้ 2 อย่างคือ
1..คนอ่านแล้ว อ่านไม่รู้เรื่อง เขียนอะไรก็ไม่รู้
2..อ่านแล้ว รู้เรื่อง แต่สิ่งทีเขียน มักจะตรงข้ามกับคำสอนของอาจารย์ที่สอนการปฏฺบัติหลาย ๆ คน
เมื่อผมสรุปเองว่า ผมทำประโยชน์อะไรไม่ได้อีกในการเขียนเรื่องธรรมปฏิบัติ
ผมเขียนไป ก็เสียเวลาผมเปล่า ๆ
มันคงเป็นเวลาแล้ว ที่ผมคงเลิกเขียนตอบอะไรในห้องศาสนานี้อีก
ผมจึงมาขอลา เพื่อน ๆ ในห้องศาสนานี้ครับ
ขอบคุณสมาชิกทุกท่านในห้องศาสนานี้
หลาย login คนในห้องศาสนาทีเคยผ่านเข้ามา ก็หายหน้าไปมากหลายคน
ถึงวันนี้ ก็ถึงคราวของผมบ้างแล้ว
ขอบคุณครับ