JJNY : พิธาคุยผู้บริหาร YG│วิโรจน์ ซัดตำรวจ รับใช้‘ทุนจีน’ │วิกฤตบ้านสูงวัย “คนจนมีสิทธิ์มั้ยครับ”│คิม จองอึน หลั่งน้ำตา

พิธา คุยผู้บริหาร YG ในวันที่มีข่าวดี BLACKPINK ต่อสัญญาวง ปลื้มมีคนไทยในค่ายถึง 3 คน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4317767
 
 
พิธา คุยผู้บริหาร YG ในวันที่มีข่าวดี BP ต่อสัญญาวง ปลื้มมีคนไทยในค่ายถึง 3 คน
 
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ภายหลังจากที่สื่อเกาหลีรายงานว่า สมาชิก BLACKPINK ทั้ง 4 คน ตัดสินใจต่อสัญญา ทำกิจกรรมกลุ่มต่อกับ “วายจี เอ็นเตอร์เทนเมนต์” อย่างเป็นทางการ โดยเตรียมปล่อยเพลงใหม่ และจัดเวิลด์ทัวร์ด้วยนั้น
 
ล่าสุด นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ได้โพสต์ภาพผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว ขณะถ่ายภาพคู่กับผู้บริหารของค่ายวายจีฯ โดยระบุว่า
 
มาเรียนรู้กับประธานของ YG Entertainment ในวันที่มีข่าวดี ได้แวะดู facility ที่มึ talent ไทย จาก Blackpink กับ Babymonster ถึง 3 คน ดีใจแทนครับ


 
ฟาดแรง! วิโรจน์ ซัดตำรวจ รับใช้‘ทุนจีน’ ย้อนถ้าเป็นชาวบ้าน มีเซอร์วิสมายด์หรือไม่
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7996542

วิโรจน์ ซัดตำรวจ รับใช้‘ทุนจีน’ หลังนักท่องเที่ยวโพสต์ภาพใส่เครื่องแบบ เหน็บเวลาชาวบ้านไปแจ้งความ จะมีเซอร์วิสมายด์หรือไม่ ชี้เป็นผลพวงรับเงินทุนจีนเทาซื้อตำแหน่ง สุดท้ายต้องถอนทุน
 
เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2566 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีนักท่องเที่ยวจีนโพสต์ภาพใส่ชุดตำรวจว่า แม้โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงเจ้าตัว จะออกมาชี้แจงแล้ว แต่ตนตั้งคำถามว่าวันนี้ ถ้าตนไปขอใส่ชุดบ้าง ตำรวจจะมีเซอร์วิสมายด์หรือไม่
 
หากชาวบ้าน ประชาชนเดินไปเจอตำรวจขอลองใส่เสื้อบ้างได้หรือไม่ เพราะขนาดไปซื้อเอง ยังโดนจับที่แต่งตัวคล้ายตำรวจ อาจจะไปหลอกคนอื่นหรือไม่ ตนมองว่าคำชี้แจงดังกล่าวฟังไม่ขึ้น สุดท้ายทำให้ย้อนนึกถึงกรณีนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเที่ยวประเทศไทยแล้วมีบริการ VIP จากตำรวจ
 
เรื่องนี้สะท้อนว่าถ้าคุณมีเงิน มีเส้น คุณจ้างตำรวจให้เป็นลูกสมุน เป็นคนรับใช้ เป็นอะไรก็ได้ แต่ถ้าประชาชนเดือดร้อนขึ้นโรงพัก ถูกลักวิ่งชิงปล้น ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาหลอกลวงฉ้อโกงเอาเงิน คุณจะไม่ได้บริการอะไร วันนี้ตั้งคำถาม เวลาชาวบ้านเขาประสบทุกข์ เจอแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก เขาเดินขึ้นโรงพักไปแจ้งความ คุณกระวีกระวาด มีเซอร์วิสมายด์แบบนี้หรือไม่” นายวิโรจน์ กล่าว

เมื่อถามว่าเชื่อมโยงไปถึงส่วยจีนได้หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า อาจจะเกี่ยวพันกับเรื่องมาเฟียทุนจีนสีเทา วันนี้ที่บอกว่าตำรวจจำนวนไม่น้อยก็เป็นลูกสมุนของผู้มีอิทธิพล มาเฟียข้ามชาติไปแล้ว
 
ก็เอาเงินเขาไปซื้อตำแหน่งถูกไหม สุดท้ายก็ต้องรับใช้พรรคพวกพวกพ้องของเขา ถ้าพูดอย่างง่ายๆเปรียบเทียบง่ายๆ แรงๆ ก็เหมือนสุนัขที่ไปกินอาหารเม็ดของเจ้าของ เจ้าของมาก็ต้องกระโดดใส่เอาหน้าเอาตาไปคลอเคลียเขา” นายวิโรจน์ กล่าว
 
เมื่อถามว่าหากประชาชนยังสงสัย จะมีวิธีตรวจสอบใดได้บ้าง นายวิโรจน์ กล่าวว่า จะต้องเป็นหน้าที่ของกรรมาธิการ(กมธ.)ตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ที่นำเรื่องนี้เข้าตรวจสอบ แต่เชื่อว่าคงสาวไปไม่ถึง เพราะมันเข้าไม่ถึงจิตสำนึกของตำรวจ
 
ผมจะบอกตรงๆ ว่าถ้าวงการตำรวจไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นโรค แล้วปฏิเสธทุกเรื่องทั้งที่ประชาชนชาวบ้าน เขารู้ว่ามีอยู่จริง อย่างกรณีพัทยา ล่าสุด ก็ปฏิเสธว่าไม่มีการรับผลประโยชน์ ไม่มีส่วยเลย ไม่มีการค้าประเวณีเด็กเลย ไม่มีสิ่งที่ไม่ดีอะไรเลยเกิดขึ้นในไทย ผมถามนักข่าว ถามแม่ค้าขายข้าวแกงว่าเชื่อไหม ถามคนเดินดินว่าเชื่อไหม ตราบใดที่คุณไม่ยอมรับความจริง ถ้าคุณเอาความฟอนเฟะ สกปรกโสโครกไว้ใต้พรมขนาดนี้ ผมบอกเลยว่าภาพลักษณ์ของประเทศไทยไม่มีทางดีขึ้น และจะเป็นที่กล่าวขานของนายาอารยประเทศว่าประเทศนี้เต็มไปด้วยธุรกิจสีเทา” นายวิโรจน์ กล่าว
 
นายวิโรจน์ ระบุว่า หลังจากนี้ประเทศจะดึงดูดธุรกิจผิดกฎหมายข้ามชาติ แล้วจะริดรอนสิทธิเสรีภาพ ความมั่นคง ความปลอดภัยของประชาชน
 
ส่วนเมื่อเปรียบเทียบกับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือว่ามีปัญหาเรื่องตำรวจมากขึ้นหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ปัญหามีอยู่แล้ว ปัญหาในวันนี้ไม่ได้เกิดจากวันนี้ มันเกิดจากอดีต และตนบอกเลยว่าต้นตอของปัญหาเกิดจากระบบอุปถัมภ์ ระบบเส้น ระบบฝาก ยอมรับว่าตนผิดหวังกับคำตอบของนายกฯ ที่ชี้แจงเรื่องเหล่านี้
 
มันสะท้อนเลยว่าถ้าตราบใดก็ตามที่มีระบบเส้น ระบบฝาก เข้ามาปุ๊บ ถ้าซื้อตำแหน่งก็ต้องถอนทุน เงินคุณจะเอามาจากมาเฟียข้ามชาติ จีนสีเทา คุณก็ต้องเป็นสมุนรับใช้เขา” นายวิโรจน์ กล่าว



วิกฤตบ้านสูงวัย ผู้มีรายได้น้อย “คนจนมีสิทธิ์มั้ยครับ” โจทย์ใหญ่รัฐบาลเศรษฐา
https://www.prachachat.net/property/news-1453570

เหมือนกับต้องการจะบอกรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ว่า นโยบายที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ …มองไปข้างหน้า อย่าลืมหันมาดูข้างหลังด้วย
 
โดยล่าสุด “REIC-ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์” ทำการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุทั่วประเทศ ปี 2566 เพราะตระหนักถึงเมกะเทรนด์ที่ประเทศไทยกำลังนับถอยหลังสู่การเป็นสังคมประชากรผู้สูงวัยเต็มรูปแบบในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ประชากรผู้มีอายุเกิน 60 ปี จะมีสัดส่วน 20% ของประชากรไทยทั้งหมด และคาดการณ์สัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 28% ภายในปี 2578

แต่…การพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับผู้สูงอายุในปัจจุบัน ยังคงเติบโตช้า และไม่เพียงพอต่อความต้องการ
 
บ้านพักคนชรา Waiting List ล้นทะลัก
 
“ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์” ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการ REIC ระบุว่า ผู้สูงอายุของไทยปัจจุบันมีจำนวน 12.9 ล้านคน คัดสัดส่วนเพียง 5% ที่คาดว่าเป็นผู้สูงอายุที่ต้องการที่อยู่อาศัย หรือเท่ากับ 650,000 คน แต่คาดการณ์ว่าอาจมีเพียง 1% หรือ 130,000 คนเท่านั้น ที่สามารถเข้าสู่ระบบการบริการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ
 
ขณะที่ในปัจจุบัน มีที่อยู่อาศัยรองรับผู้สูงอายุได้ไม่เกิน 20,000 คน แถมในจำนวนนี้ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลมากถึง 435 แห่ง คิดเป็นสัดส่วนการกระจุกตัว 57% รองรับได้ไม่เกิน 12,000 คน สัดส่วน 61.4% ของภาพรวมทั่วประเทศ
 
อีกทั้งโครงการที่มีการพัฒนาขึ้นส่วนใหญ่เป็นการรองรับกลุ่มคน “ฐานะปานกลางค่อนข้างดี” และ “ฐานะดี” ขึ้นไป ทำให้กลุ่มผู้สูงอายุที่มีฐานะปานกลางและฐานะไม่ดีนัก ยังคงมีการขาดแคลนอย่างมาก
 
สถิติน่าตกใจอีกตัว มาจากบ้านพักคนชราของรัฐที่จัดให้บางแห่ง (และอาจจะหลายแห่ง) มีผู้ลงชื่อเป็น waiting list ขอเข้าอยู่อาศัย 2,500-3,000 คน แต่ยังไม่มีหน่วยงานรัฐหน่วยงานใดสามารถจัดที่อยู่อาศัยรองรับได้ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นโจทย์ที่สำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาลในการหาแนวทางพัฒนาที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุได้เพียงพอสำหรับทุกกลุ่ม
 
สถานสงเคราะห์ 26 แห่ง รับได้แค่ 2,681 คน
 
ผลสำรวจยังระบุมีโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุในปัจจุบันมี 758 แห่ง รองรับได้ 19,490 คน มีอัตราการเข้าพัก 69.3% แบ่งเป็น 1.ประเภทเนิร์สซิ่งโฮม หรือสถานบริบาลผู้สูงอายุ 708 แห่ง รองรับได้ 15,324 คน สัดส่วน 78.6% มีอัตราการเข้าพัก 63.7%
 
2.ประเภท Residential หรือที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุแต่ยังสามารถดูแลตัวเองได้ ออกแบบโดยใช้หลักการ universal design 19 แห่ง รองรับ 1,328 คน เช่น สวางคนิเวศ สภากาชาดไทย, โครงการเวลเนสซิตี้ และบุศยานิเวศน์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น มีอัตราเข้าพัก 73.0%
 
3.ประเภทสถานสงเคราะห์/มูลนิธิ 26 แห่ง รองรับได้ 2,681 คน อัตราเข้าพัก 100% และ 4.โรงพยาบาล 4 แห่ง รองรับได้ 155 คน มีอัตราเข้าพัก 53.5% และ 5.ประเภท day care จำนวน 1 แห่ง
ท็อป 10 กระจุกตัวกรุงเทพฯ-เมืองใหญ่
 
ทั้งนี้ สถิติท็อป 10 จังหวัดที่มีโครงการที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุ รวมกัน 574 แห่ง หรือ 75.7% ของภาพรวม ดังนี้
1.กรุงเทพฯ 257 แห่ง รองรับได้รวม 7,140 คน มีอัตราเข้าพัก 68.2% 2.นนทบุรี 78 แห่ง รองรับ 1,759 คน อัตราเข้าพัก 68.3% 3.เชียงใหม่ 54 แห่ง รองรับ 688 คน อัตราเข้าพัก 81.8% 4.ชลบุรี 42 แห่ง รองรับ 822 คน อัตราเข้าพัก 64.6% 5.ปทุมธานี 39 แห่ง รองรับ 877 คน อัตราเข้าพัก 72.5%
 
6.นครปฐม 30 แห่ง รองรับ 876 คน อัตราเข้าพัก 59.1% 7.สมุทรปราการ 24 แห่ง รองรับ 1,206 คน อัตราเข้าพัก 40.1% 8.ขอนแก่น 19 แห่ง รองรับ 669 คน อัตราเข้าพัก 88.9% 9.ราชบุรี 16 แห่ง รองรับ 425 คน อัตราเข้าพัก 39.1% และ 10.พิษณุโลก 15 แห่ง รองรับ 21
 คน อัตราเข้าพัก 79.1%
 
ผู้สูงวัย 92% ไร้กำลังซื้อ-ได้แต่เช่ารายเดือน
 
ฟาก “สิทธิครอบครองที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ” ส่วนใหญ่เป็นสิทธิแบบเช่ารายเดือน 699 แห่ง สัดส่วน 92.5% รองลงมา สิทธิแบบอยู่อาศัยตลอดชีวิต 34 แห่ง 4.5% สิทธิแบบมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย 14 แห่ง 1.9% และสิทธิการเช่าระยะยาว 9 แห่ง 1.2% ของโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยทั้งหมด
 
ประเภทที่พักอาศัยผู้สูงวัย พบว่า ส่วนใหญ่เป็นอาคารแบบบ้านเดี่ยว สัดส่วน 56.6% รองลงมาอาคารพักอาศัยรวม รูปแบบหอพัก อพาร์ตเมนต์ 33.3%  โดยจำแนกเป็นโครงการไม่เกิน 20 เตียง 54.8% จำนวนเกิน 20 เตียง 343 แห่ง สัดส่วน 45.2%
 
และพบด้วยว่า สัดส่วน 99.1% เน้นรองรับผู้สูงอายุคนไทยเป็นหลัก นำมาสู่การตั้งข้อสังเกตว่า “แม้ว่าโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุในปัจจุบันมีการขยายตัวขึ้นอย่างมากในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา แต่ที่อยู่อาศัยที่พัฒนาขึ้นกระจุกตัวในบางพื้นที่ ยังไม่ได้กระจายตัวไปครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง ทำให้ไม่สามารถมีที่อยู่อาศัยที่รองรับกลุ่มผู้สูงอายุได้อย่างทั่วถึง และในภาพรวมก็ยังมีจำนวนไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับความต้องการในปัจจุบัน
เนิร์สซิ่งโฮมค่าเช่าต่ำ 1 หมื่นมีแค่ 1.5%
 
เนิร์สซิ่งโฮม หรือ สถานบริบาลผู้สูงอายุ เป็นประเภทที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุที่มีการพัฒนาอย่างมากในปัจจุบัน โดย ณ ไตรมาส 2 ปี 2566 พบว่าทั่วประเทศมีจำนวน 708 แห่ง จำนวน 15,324 เตียง กระจายตัวอยู่ใน 55 จังหวัด ส่วนใหญ่เป็นจังหวัดหลักและจังหวัดหัวเมืองภูมิภาค เช่น กรุงเทพฯและปริมณฑล เชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี ชลบุรี ระยอง นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี เป็นต้น
 
และพบว่า ช่วงราคาเช่าที่โครงการกำหนดไว้ ฐานใหญ่อยู่ที่เดือนละ 10,001-20,000 บาท สัดส่วน 42.6% รองลงมาราคา 20,001-30,000 บาท สัดส่วน 36.1%, ราคา 30,001-50,000 บาท สัดส่วน 14.2% และ 50,000 บาทขึ้นไป สัดส่วน 5.7%
 
มีข้อสังเกตว่า ช่วงราคาไม่เกิน 10,000 บาท มีสัดส่วน 1.5% เท่านั้น สะท้อนให้เห็นเนิร์สซิ่งโฮมที่เข้าถึงได้ (affordable nursing home) สำหรับผู้สูงอายุโดยส่วนใหญ่ยังมีอยู่อย่างจำกัด
 
ร้อยเอ็ด-สกลนคร-สุรินทร์ สูงวัยเช็กอิน 100%
 
ในด้านดีมานด์พบว่า ภาพรวมเตียงที่เปิดให้บริการ 12,093 เตียง มีอัตราเข้าพัก 76.0% โดยโครงการที่น้อยกว่า 20 เตียง มีอัตราเข้าพักสูงกว่าโครงการที่มี 20 เตียงขึ้นไป โดยพบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราเข้าพักสูงสุด 81.4%, ภาคเหนือ 70.9%, ภาคกลาง 68.6% และภาคตะวันตก 51.3% เป็นที่น่าสังเกตว่ากรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีอัตราเข้าพัก 63.1%
 
เมื่อแยกตามรายจังหวัดพบว่า “ร้อยเอ็ด สกลนคร สุรินทร์” มีอัตราเข้าพักเต็ม 100% เนื่องจากมีจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุเพียง 1 โครงการเท่านั้น สะท้อนถึงดีมานด์เนิร์สซิ่งโฮมมีสูงมาก แต่มีซัพพลายไม่เพียงพอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่