สวัสดีค่ะ เรื่องที่จะเล่าเป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ตามหัวข้อเลยคือ บ้านพักเด็กบ้านไกล
ย้อนกลับไป 10 ปีก่อน ตอนนั้นเราน่าจะ ม.5-ม.6 ได้ ณ ตอนนั้นกำลังนั่งทานข้าวเย็นกับพ่อแม่ พึ่งเริ่มกินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีเสียงรถมอเตอร์ไซค์ขับขึ้นมาจอดอยู่หน้าบ้าน พร้อมเสียงของครูผู้หญิงที่ตะโกนเรียกแม่เรา อย่างดูเป็นกังวล ตั้งชื่อแทนแม่เราว่า เอ พี่เอ พี่เอ ช่วยด้วย เด็กหญิง บี หายไปปปปปป แม่เราก็รีบบอกครูที่ขับรถมาตามว่า ไปๆ ไปที่โรงเรียนก่อน เดี๋ยวตามไปป แล้วแม่เราก็รีบคว้าหุญแจรถเก๋งขับรถตามไป
จากที่แม่มาเล่าให้ฟังว่า พอแม่ถึงโรงเรียน ได้สอบถามครูเวร ได้ความว่า ช่วงเวลา 18.00 น โดยประมาณ จะทำการเช็คเด็กที่นอนค้างที่โรงเรียน ซึ่งเด็กที่นอนค้างที่โรงเรียนจะเรียกว่าเด็กบ้านไกล (ซึ่งเด็กบ้าานไกล คือเด็กที่บ้านอยู่ห่างไกลจากโรงเรียน เด็กยากจน เด็กที่บ้านไม่มีกำลังดูแล) ทำการเช็ค เพื่อจะรับประทานอาหารเย็น และแยกย้ายกันไปพัก แต่เช็คเท่าไหร่ ก็พบว่ามีเด็กขาดหายไป เด็กคนนั้นเป็นเด็กผู้หญิง ซึ่งอายุประมาณ7 ขวบ คณูเวรได้แจ้งว่า ได้ทำการแจ้งครูในโรงเรียนให้ช่วยกันตามหาแล้วก็ไม่พบ จึงไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านให้ช่วยกันตามหา ชาวบ้านนับ30 คนช่วยกันตะโดนเรียกเด็กหญิง ที่หายตัวไป วนหากันหลายรอบ บ้านพักเด็กบ้านไกล ก็เข้าไปตรวจเช็คแล้ว ไม่พบ จึงทำการล็อคห้องไว้ จนครูเวรไม่รู้จะทำยังไงจึงไปตามแม่เรา มาช่วยอีกแรง
วันนั้นเราเองก็จำได้ว่า เป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ซึ่งมันสว่างมาก จนสามารถมองเห็นทางเดินด้วยตาเปล่าได้ พอแม่เราไปถึงโรงเรียน แม่เรานึกขึ้นได้ว่า แถวบ้านจะมีหมอดูอยู่ ซึ่งหมูดูคนนี้จะรับดูดวง ร่างทรง แต่เป็นหมอดูพม่า กุมารที่หมอดูพม่าเลี้ยงไว้ชอบกินลูกอบกาแฟรสโกปิโก้ ในวันนั้นแม่ได้ไปหาหมอดู เวลาน่าจะราวๆ 22.00น. แม่ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้หมอดูที่เป็นพม่าฟัง หมอดูพม่าจึงพูดพร้อมยื่นธูปมาให้หนึ่งกำ และบอกว่า ให้ท่องตามนี้นะ แล้วเอาธูปที่ยื่นให้ ไปปักกลางสนามหญ้า แล้วลองวนหาดูอีกรอบ เด็กไม่ได้ไปไหนไกล อยู่แถวๆโรงเรียนนั่นแหละ ลองดูอีกรอบนะครู ท่องข้อความที่ฉันให้ พร้อมปักธูปกลางสนามหญ้านะ
หลังจากที่หาาหมอดูพม่าเสร็จ แม่รีบขับรถกลับมาที่โรงเรียนอีกครั้งพร้อมทั้งทำตามที่หมอดูหม่าบอก แม่เองก็คิดในใจว่าเอ้อวันนี้พระจันทร์เต็มดวงนะ สว่างมาก พร้อมทั้งท่องบทสวดที่หมอดูพม่าให้มา พอสวดจบแม่ก็เอาธูปปักลงกลางสนามหญ้าที่โรงเรียน และบอกชาวบ้านให้ช่วยกันตามหาอีกรอบ
แม่เรากับชาวบ้านกลุ่มหนึ่งได้ทำการเดินหาหลังอาคารเรียน โดยมีเด็กนักเรียนชายที่พักที่โรงเรียนตามไปด้วย (ขออธิบายลักษณะโรงเรียนอีกนิด โรงเรียนเป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา มีแค่อนุบาล ถึง ป.6 เท่านั้น โรงเรียนอยู่ติดวัด หลังอาคารเรียนเป็นเนินเขา) แม่เราได้ไปหยุดอยู่หลังอาคารเรียน ซึ่งมีต้นสักปลูกเป็นแถวด้านหลักอาคาร ต้นสักนี่ปลูกมานาน ต้นสูงใหญ่พอประมาณ เด็กผู้ชายที่ตามแม่เรามาก็หยุดตามไปด้วย และได้เงยหน้ามองต้นสัก อาการของเด็กดูหวาดกลัว ขาสั่น เหมือนคนจะก้าวขาไม่ออก ระหว่างนั้นแม่เราและชาวบ้านก็ได้เดินหาไปเรื่อย จนสักพักได้มีเสียงตะโดนมาว่า เจอเด็กแล้ว เจอเด็กแล้ววว น้ำเสียงดูดีใจ ทุกคนจึงไปรวมกันเป็นจุดเดียว จุดที่เจอเด็ก
เจอเด็กหญิงวัย7 ขวบแล้ว ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ พบเด็กนอนอยู่ในอาคารบ้านพักเด็กบ้านไกล ซึ่งครูเวรได้เข้าไปหา และแจ้งว่าไม่พบเด็กและทำการล็อคประตูแล้ว แต่มีอะไรดลใจให้เปิดเข้าไปดูอีกรอบ และพบว่าเด็นอนอยู่บนที่นอน ท่านอนคือนอนตะแคง ทุกคนจึงกรูกันเข้าไปถามอาการเด็กและถามว่าหายไปไหนมา เด็กน่าจะนอนได้สักพักแล้วเนื่องจากว่ารองเท้า หรือที่นอนยังดูอุ่นๆ บวกกับดูเด็กมีอาการเหนื่อยหอบ นิดหน่อย ครูเวรสอบถามเด็ก หายไปไหนมาลูกกก เด็กหญิงอายุ7 ขวบตอบกลับมาว่า ยายพาไปเที่ยวมาค่ะ ทุกคนงงมากแต่ก็ถือว่ายังโชคดีที่เด็กกลับมาแล้ว หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน แม่เรากลับบ้านมาก็เที่ยงคืนเห็นจะได้
วันต่อมา แม่ได้ทำงานอยู่ที่โต๊ะ ก็มีเด็กผู้ชายที่ตามแม่ไป เดินเข้ามาคุยเด็กอายุเพียง9 ขวบ เด็กเดินมาคุยกับแม่เรา
เด็กชาย : ครูครับครูรู้ไหมเมื่อคืนที่เราไปเดินหาน้อง หลังอาคารเรียน ผมได้เงยหน้าขึ้นไปที่ต้นสัก ผมเห็นยายแก่ๆ ผมขาวทั้งหัว ห้อยหัวลงมา ผมไม่กล้าบอกใคร เพราะถ้าผมพูด ทุกคนจะตกใจและวิ่งหนี ไปหมด ตอนนั้นผมก้าวขาไม่ค่อยออกเลยย
แม่เรา : แม่เราเขาได้แต่รับฟัง และคิดตามว่าเอ้อ เด็กคนนั้นคงไม่ได้โกหก เพราะเมื่อคืนแสงจากพระจันทร์มันสว่างมากจริงๆ
เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ถึงจะผ่านมานานมากแล้ว แต่เรายังจำได้ดี และเป็นเรื่องเล่าที่เรามักจะเล่าให้เพื่อนๆได้ฟัง
บ้านพักเด็กบ้านไกล !!!
ย้อนกลับไป 10 ปีก่อน ตอนนั้นเราน่าจะ ม.5-ม.6 ได้ ณ ตอนนั้นกำลังนั่งทานข้าวเย็นกับพ่อแม่ พึ่งเริ่มกินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีเสียงรถมอเตอร์ไซค์ขับขึ้นมาจอดอยู่หน้าบ้าน พร้อมเสียงของครูผู้หญิงที่ตะโกนเรียกแม่เรา อย่างดูเป็นกังวล ตั้งชื่อแทนแม่เราว่า เอ พี่เอ พี่เอ ช่วยด้วย เด็กหญิง บี หายไปปปปปป แม่เราก็รีบบอกครูที่ขับรถมาตามว่า ไปๆ ไปที่โรงเรียนก่อน เดี๋ยวตามไปป แล้วแม่เราก็รีบคว้าหุญแจรถเก๋งขับรถตามไป
จากที่แม่มาเล่าให้ฟังว่า พอแม่ถึงโรงเรียน ได้สอบถามครูเวร ได้ความว่า ช่วงเวลา 18.00 น โดยประมาณ จะทำการเช็คเด็กที่นอนค้างที่โรงเรียน ซึ่งเด็กที่นอนค้างที่โรงเรียนจะเรียกว่าเด็กบ้านไกล (ซึ่งเด็กบ้าานไกล คือเด็กที่บ้านอยู่ห่างไกลจากโรงเรียน เด็กยากจน เด็กที่บ้านไม่มีกำลังดูแล) ทำการเช็ค เพื่อจะรับประทานอาหารเย็น และแยกย้ายกันไปพัก แต่เช็คเท่าไหร่ ก็พบว่ามีเด็กขาดหายไป เด็กคนนั้นเป็นเด็กผู้หญิง ซึ่งอายุประมาณ7 ขวบ คณูเวรได้แจ้งว่า ได้ทำการแจ้งครูในโรงเรียนให้ช่วยกันตามหาแล้วก็ไม่พบ จึงไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านให้ช่วยกันตามหา ชาวบ้านนับ30 คนช่วยกันตะโดนเรียกเด็กหญิง ที่หายตัวไป วนหากันหลายรอบ บ้านพักเด็กบ้านไกล ก็เข้าไปตรวจเช็คแล้ว ไม่พบ จึงทำการล็อคห้องไว้ จนครูเวรไม่รู้จะทำยังไงจึงไปตามแม่เรา มาช่วยอีกแรง
วันนั้นเราเองก็จำได้ว่า เป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ซึ่งมันสว่างมาก จนสามารถมองเห็นทางเดินด้วยตาเปล่าได้ พอแม่เราไปถึงโรงเรียน แม่เรานึกขึ้นได้ว่า แถวบ้านจะมีหมอดูอยู่ ซึ่งหมูดูคนนี้จะรับดูดวง ร่างทรง แต่เป็นหมอดูพม่า กุมารที่หมอดูพม่าเลี้ยงไว้ชอบกินลูกอบกาแฟรสโกปิโก้ ในวันนั้นแม่ได้ไปหาหมอดู เวลาน่าจะราวๆ 22.00น. แม่ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้หมอดูที่เป็นพม่าฟัง หมอดูพม่าจึงพูดพร้อมยื่นธูปมาให้หนึ่งกำ และบอกว่า ให้ท่องตามนี้นะ แล้วเอาธูปที่ยื่นให้ ไปปักกลางสนามหญ้า แล้วลองวนหาดูอีกรอบ เด็กไม่ได้ไปไหนไกล อยู่แถวๆโรงเรียนนั่นแหละ ลองดูอีกรอบนะครู ท่องข้อความที่ฉันให้ พร้อมปักธูปกลางสนามหญ้านะ
หลังจากที่หาาหมอดูพม่าเสร็จ แม่รีบขับรถกลับมาที่โรงเรียนอีกครั้งพร้อมทั้งทำตามที่หมอดูหม่าบอก แม่เองก็คิดในใจว่าเอ้อวันนี้พระจันทร์เต็มดวงนะ สว่างมาก พร้อมทั้งท่องบทสวดที่หมอดูพม่าให้มา พอสวดจบแม่ก็เอาธูปปักลงกลางสนามหญ้าที่โรงเรียน และบอกชาวบ้านให้ช่วยกันตามหาอีกรอบ
แม่เรากับชาวบ้านกลุ่มหนึ่งได้ทำการเดินหาหลังอาคารเรียน โดยมีเด็กนักเรียนชายที่พักที่โรงเรียนตามไปด้วย (ขออธิบายลักษณะโรงเรียนอีกนิด โรงเรียนเป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา มีแค่อนุบาล ถึง ป.6 เท่านั้น โรงเรียนอยู่ติดวัด หลังอาคารเรียนเป็นเนินเขา) แม่เราได้ไปหยุดอยู่หลังอาคารเรียน ซึ่งมีต้นสักปลูกเป็นแถวด้านหลักอาคาร ต้นสักนี่ปลูกมานาน ต้นสูงใหญ่พอประมาณ เด็กผู้ชายที่ตามแม่เรามาก็หยุดตามไปด้วย และได้เงยหน้ามองต้นสัก อาการของเด็กดูหวาดกลัว ขาสั่น เหมือนคนจะก้าวขาไม่ออก ระหว่างนั้นแม่เราและชาวบ้านก็ได้เดินหาไปเรื่อย จนสักพักได้มีเสียงตะโดนมาว่า เจอเด็กแล้ว เจอเด็กแล้ววว น้ำเสียงดูดีใจ ทุกคนจึงไปรวมกันเป็นจุดเดียว จุดที่เจอเด็ก
เจอเด็กหญิงวัย7 ขวบแล้ว ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ พบเด็กนอนอยู่ในอาคารบ้านพักเด็กบ้านไกล ซึ่งครูเวรได้เข้าไปหา และแจ้งว่าไม่พบเด็กและทำการล็อคประตูแล้ว แต่มีอะไรดลใจให้เปิดเข้าไปดูอีกรอบ และพบว่าเด็นอนอยู่บนที่นอน ท่านอนคือนอนตะแคง ทุกคนจึงกรูกันเข้าไปถามอาการเด็กและถามว่าหายไปไหนมา เด็กน่าจะนอนได้สักพักแล้วเนื่องจากว่ารองเท้า หรือที่นอนยังดูอุ่นๆ บวกกับดูเด็กมีอาการเหนื่อยหอบ นิดหน่อย ครูเวรสอบถามเด็ก หายไปไหนมาลูกกก เด็กหญิงอายุ7 ขวบตอบกลับมาว่า ยายพาไปเที่ยวมาค่ะ ทุกคนงงมากแต่ก็ถือว่ายังโชคดีที่เด็กกลับมาแล้ว หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน แม่เรากลับบ้านมาก็เที่ยงคืนเห็นจะได้
วันต่อมา แม่ได้ทำงานอยู่ที่โต๊ะ ก็มีเด็กผู้ชายที่ตามแม่ไป เดินเข้ามาคุยเด็กอายุเพียง9 ขวบ เด็กเดินมาคุยกับแม่เรา
เด็กชาย : ครูครับครูรู้ไหมเมื่อคืนที่เราไปเดินหาน้อง หลังอาคารเรียน ผมได้เงยหน้าขึ้นไปที่ต้นสัก ผมเห็นยายแก่ๆ ผมขาวทั้งหัว ห้อยหัวลงมา ผมไม่กล้าบอกใคร เพราะถ้าผมพูด ทุกคนจะตกใจและวิ่งหนี ไปหมด ตอนนั้นผมก้าวขาไม่ค่อยออกเลยย
แม่เรา : แม่เราเขาได้แต่รับฟัง และคิดตามว่าเอ้อ เด็กคนนั้นคงไม่ได้โกหก เพราะเมื่อคืนแสงจากพระจันทร์มันสว่างมากจริงๆ
เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ถึงจะผ่านมานานมากแล้ว แต่เรายังจำได้ดี และเป็นเรื่องเล่าที่เรามักจะเล่าให้เพื่อนๆได้ฟัง